ผมเชื่อว่าผู้อ่านหลายๆ คนคงจะเคยได้ยินคำกล่าวที่ว่า “มีลูกสาวเหมือนมีส้วมหน้าบ้าน” กันมาบ้าง และออกจะขุ่นข้องใจกับสำนวนนี้ไม่น้อย
บทความนี้จะพูดถึงกลุ่มคนไทยเชื้อสายจีน ซึ่งเดินทางมาตั้งรกรากในเมืองไทย พร้อมกับคำสอนแบบขงจื๊อ ที่ว่า “ชายหญิงล้วนแตกต่าง” (男女有别) ซึ่งคอยย้ำบทบาทที่ไม่เหมือนกันของทั้งสองเพศ ...หากพูดง่ายๆ ขงจื้อก็มองว่าผู้ชายอยู่สูงกว่าตามมุมมองปิตาธิปไตยของจีนโบราณ
ในบทความนี้ ผมจะพาทุกคนไปดูเรื่องราวความไม่เท่าเทียมของหญิงชายในประเทศจีนตั้งแต่ยุคโบราณจนถึงปัจจุบัน รวมไปถึงอิทธิพลที่ส่งมายังกลุ่มคนจีนโพ้นทะเล ว่ามันได้ฝังรากและก่อปัญหาอะไรไว้บ้าง

*** ความไม่เท่าเทียมจากอดีต ***
ตั้งแต่โบราณมา ชาวจีนมีความเชื่อเรื่อง “หยินหยาง” เปรียบดังความสมดุลพลังในจักรวาล หยิน (แทนด้วยสีดำ) หมายถึง พลังด้านลบ ธาตุเย็น และความเป็นหญิง ส่วนหยาง (แทนด้วยสีขาว) หมายถึงพลังด้านบวก ธาตุร้อน และความเป็นชาย
...ทั้งนี้หยินหยางต้องสมดุลกันหากมีอันใดอันหนึ่งมากไปก็จะไม่เกิดผลดี...

อย่างไรก็ตาม แนวคิดจีนแต่นานมามองว่าผู้หญิงมีธรรมชาติสงบ ไม่ใช่ผู้เข้มแข็งที่นำพาการสร้างสรรค์ จึงควรหน้าที่ไม่กี่อย่าง คือถ้าไม่เป็นเมียก็เป็นแม่ และต้องรับใช้ดูแลตระกูลสามี
ผู้หญิงส่วนมากไม่ได้เรียนหนังสือ จะมีก็แต่ชนชั้นกลาง-สูงซึ่งมีอาจารย์มาสอนในบ้าน โดยทำเพื่อเป็นการเชิดชูวงศ์ตระกูลมากกว่าต้องการให้ลูกสาวมีความรู้จริงๆ
ภาพแนบ: ขงจื๊อ
*** คำสอนของขงจื้อ ***
ขงจื้อสอนว่าผู้คนอาจถูกวัดคุณค่าได้จากความสามารถในการบรรลุหน้าที่สังคมคาดหวัง เช่นผู้ชายจะต้องทำหน้าที่เป็นพ่อและสามีที่ดี เป็นผู้นำ คอยรับใช้บ้านเมือง ส่วนผู้หญิงก็ต้องเป็นแม่และภรรยาที่ดี เป็นผู้รับใช้สนับสนุนฝ่ายชาย
ตามแนวคิดนี้ผู้ชายจะเป็นผู้ดูแลกิจการต่างๆ นอกบ้าน ส่วนผู้หญิงเป็นผู้ดูแลในบ้าน และมีสถานะต่ำกว่าชาย ตามหลักปิตาธิปไตย
ลูกผู้หญิงถูกมองว่าเป็น “สมาชิกชั่วคราวที่เดี๋ยวก็จะต้องแต่งงานออก” แนวคิดดังกล่าวสร้างความลำบากแก่ผู้หญิงมาก
ภาพแนบ: ละคร "มงกุฎดอกส้ม" ของช่อง 3 เล่าเรื่องหญิงสาวที่ต้องตกอยู่ในการแก่งแย่งชิงดี เพราะถูกส่งมาเป็นภรรยาน้อยคนจีนเพื่อขัดหนี้ (ดัดแปลงมาจากนิยายจีนเรื่อง Wives and Concubines อีกที)
ในจีนโบราณนั้นผู้หญิงจำนวนมากโดนครอบครัวส่งเข้าหอนางโลม หรือไม่ก็ถูกขายเป็นทาส โดยมักเป็นการตัดสินใจของพ่อ
นอกจากนั้นการที่ผู้ชายสามารถมีภรรยาหลายคน ทำให้ผู้หญิงถูกบีบให้กลั่นแกล้งทำร้ายกันเองด้วยความริษยาคล้ายกับในละครไทยที่เราดูหลังข่าว
ภาพแนบ: เหย่าเหนียง
*** ประเพณีรัดเท้า ***
เชื่อกันว่าในยุคห้าราชวงศ์สิบรัฐ (ค.ศ. 907 - 960) จักรพรรดิมีสนมนามเหย่าเหนียง มีเท้าเล็กกระจุ๋มกระจิ๋มมาก
วันหนึ่งกษัตริย์ได้สร้างดอกบัวทองคำสูงหกฟุตประดับด้วยเพชรนิลจินดา และให้นางขึ้นไปร่ายรำบนดอกบัวนั้น เหย่าเหนียงจึงเอาผ้าขาวรัดเท้าให้โค้งดังจันทร์เสี้ยว ร่ายรำอย่างงดงามยิ่ง แสดงทั้งกายภาพว่ามีเท้าเล็กมาก และมีทักษะดีมาก ทำให้ผู้ชมต่างประทับใจ ทุกคนจึงเอาอย่าง ให้ผู้หญิงรัดเท้าให้เล็กลงเกิดเป็นธรรมเนียม “รัดเท้า” ขึ้น
ภาพแนบ: ขนาดรองเท้าของผู้ถูกรัด เทียบกับฝ่ามือ
ผู้ชายจีนสมัยก่อนมีอารมณ์กับผู้หญิงเท้าเล็กๆ เหมือนผู้ชายสมัยนี้มีอารมณ์กับผู้หญิงหน้าอกใหญ่ๆ ผู้หญิงยิ่งเท้าเล็กยิ่งมีเสน่ห์ ยิ่งมีโอกาสเป็นที่หมายปองของชายสูงศักดิ์
นั่นเป็นการกดดันให้ครอบครัวที่อยากให้ลูกสาวได้สามีดี ต้อง “ทำศัลยกรรม” ลูก รัดเท้าพวกเธอจนพิการตั้งแต่เล็กแต่น้อย ต้องเจ็บปวดทรมานเป็นอย่างยิ่ง
และเมื่อได้เท้าพิการผิดรูปแล้ว ก็ต้องพันเท้าไว้ตลอดเวลา (เพราะผู้ชายชอบเห็นเท้าที่พันไว้แล้วจินตนาการ มากกว่าจะมองของจริงที่บิดเบี้ยว) จนเท้านั้นเหม็นอับเป็นโรคผิวหนังกันมาก
...ด้านหนึ่งให้เหตุผลว่าเพราะการเดินด้วยเท้าเล็กๆ จะนวยนาดดูเซ็กซี่ แต่อีกเหตุผลคือ เมื่อเท้าเล็กก็จะเดินลำบาก ทำให้ต้องอยู่แต่ในบ้าน ไม่ออกไปไหนให้วุ่นวาย และยากต่อการมีชู้
ภาพแนบ: เหมาสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีน
*** สิทธิสตรียุคคอมมิวนิสต์ของเหมา ***
เหมาเจ๋อตงสถาปนา “สาธารณรัฐประชาชนจีน” ขึ้นในปี 1949 เปลี่ยนระบอบการปกครองจีนสู่ระบบคอมมิวนิสต์ที่เชิดชูอุดมการณ์ “คนเท่าเทียมกัน”
เหมาให้ความสำคัญกับสิทธิสตรีมากขึ้นตามหลักที่เหมาเรียกว่า “ประชาธิปไตยใหม่” (New Democracy) เช่น ออกกฎหมายให้การบังคับอยู่กินโดยไม่ได้สมรสเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย, ต้องเป็นผัวเดียวเมียเดียว
(คอมมิวนิสต์ยุคนั้นยังไม่ก้าวหน้าขนาดให้สิทธิเพศทางเลือก อย่างไรก็ตามได้มีการพูดถึงมากขึ้นในยุคหลัง)

มุมมองต่อผู้หญิงของพรรคคอมมิวนิสต์ช่วงยุค 50 - 60s นับว่าดีขึ้น พวกเธอได้กลายมาเป็นแรงงานที่แข็งขัน เป็นนักรบผู้กล้าหาญ สามารถลุกขึ้นมาสู้เพื่อประเทศจีนและพรรค แต่กระนั้นยุคคอมมิวนิสต์ก็เป็นยุคที่กดขี่แนวคิดอื่นที่ไม่ใช่คอมมิวนิสต์ด้วย
ปลายยุคเหมานั้นมีการ “ปฏิวัติวัฒนธรรม” หากใครอุทิศตนให้อุดมการณ์คอมมิวนิสต์ไม่พอก็จะโดนกลั่นแกล้งประจาน และในทางปฏิบัตินั้น หลายๆ กรณี ผู้หญิงยังถูกกีดกันทางการงานอยู่ แม้เรียนสูงเท่าผู้ชาย ก็มักไม่ก้าวหน้าเท่า
ภาพแนบ: เหมากับครอบครัว
นอกจากนั้นหากมองชีวิตส่วนตัวของเหมาเจ๋อตง จะพบว่าแม้ภรรยาทั้งสี่คนของเขาล้วนอุทิศตนให้เขาอย่างยิ่งยวด แต่เขาก็เคยหักหลัง หรือทำผิดต่อพวกเธอทั้งสี่ ลูกสาวของเหมาเองก็ไม่ได้ถือว่ามีชีวิตสุขสบาย หากเทียบกับลูกของผู้นำรายอื่นๆ ในประวัติศาสตร์
ภาพแนบ: เหมากับเจียงชิง ภรรยาคนที่ 4 และลูกสาว หลี่นา
...แต่นักการเมืองทั้งหลายที่ขึ้นมามีอำนาจหลังยุคเหมาพยายามไม่กล่าวถึงความเจ็บช้ำของพวกเธอ คาดว่าเพราะไม่อยากให้กระทบภาพลักษณ์พรรคคอมมิวนิสต์…
(อ่านบทความเรื่องของ “ผู้หญิงของเหมา” ได้ใน link ในคอมเมนต์ของโพสต์นี้นะครับ)

*** ส้วมหน้าบ้านยุคใหม่ และนโยบายลูกคนเดียว ***
หลังยุคเหมา เติ้งเสี่ยวผิงได้ปฏิรูปจีนเป็นทุนนิยม และสนับสนุนความเท่าเทียม ซึ่งทำให้ผู้หญิงมีงานทำมากกว่ายุคก่อนๆ
แต่กระนั้นเองหลังจากนั้นก็เกิดปัญหาขึ้นอีก เพราะนายจ้างไม่อยากจ่ายค่าแรงให้เยอะ จึงไปจ้างแรงงานหญิงต่างชาติด้วยค่าแรงถูกๆ มาทำงานแทน ทำให้หญิงชาวจีนโดนแย่งงาน หญิงต่างชาติก็โดนกดให้แต่ทำงานที่ไม่ต้องใช้ความสามารถนัก

จากผลสำรวจของ Chinese Women's Press ในปี 1990 ผู้หญิงที่ทำงานในเมือง จะได้ค่าจ้างเฉลี่ยค่า 77.4% ของผู้ชายในย่านเดียวกัน และผู้หญิงที่ทำงานต่างจังหวัด จะได้ค่าจ้างเฉลี่ย 81.4% ของผู้ชาย
ส่วนข้อมูลของวารสารวิชาการ Contemporary Economic Policy ในปี 2013 ระบุว่า เทียบกับผู้ชายแล้ว ผู้หญิงได้ค่าจ้างเฉลี่ยเพียง 75.4%

นอกจากนี้ชายจีนยังติดกับความคิดเดิมๆ อยู่มาก อิงจากบทความ "Goodbye Career, Hello Housekeeping" บนเว็บไซต์ China News Service ในปี 2012 ผู้ชายจีน 80% ยังหวังให้ภรรยาตัวเองลาออกจากงานมาเป็นแม่บ้านเต็มเวลา ชีวิตแต่งงานจะได้ราบรื่น ครอบครัวมีคนดูแล
...นี่สะท้อนให้เห็นความเชื่อเรื่องผู้หญิงแต่งงานแล้วต้องอยู่บ้านแบบขงจื๊อ ที่แม้จะถูกกวาดล้างไปในยุคปฏิวัติวัฒนธรรมแล้ว แต่ก็ยังแพร่หลายอยู่
ยิ่งไปกว่านั้น พอแต่งงานไปแล้ว ครอบครัวก็หวังให้แต่หญิงผู้นั้นมีลูกชายไว้สืบสกุล ดังเห็นได้จากตอนประเทศจีนดำเนินนโยบายลูกคนเดียว เรามักจะได้ยินข่าวคนทำแท้งเพราะได้ลูกสาว หรือหากคลอดออกมาแล้วก็นำไปทิ้งอยู่เรื่อยๆ จนจีนมีประชากรชายมากกว่าหญิงมากในช่วงหนึ่ง
ซึ่งเรื่องนี้กลายเป็นปัญหาในยุคปัจจุบัน เพราะเมื่อเด็กเหล่านั้นเติบโตถึงวัยครองคู่ก็หาคนมาแต่งยาก กลายเป็นไม่สามารถทำตามความคาดหวังแบบขงจื๊อที่ฝังอยู่ใน DNA ได้อีก
*** ค่านิยมขงจื๊อที่แฝงอยู่นอกเมืองจีน ***
ประเทศอย่าง เวียดนาม เกาหลี หรือ ญี่ปุ่นนั้นเปิดรับวัฒนธรรมจีนมาเต็มๆ เป็นเวลานับร้อยนับพันปี
พวกเขารับ ตัวอักษร, ศาสนา, ธรรมเนียมปฏิบัติต่างๆ รวมทั้งแนวคิดแบบขงจื๊อเข้ามาด้วย ทำให้ยังมีกรอบแนวคิดนี้อยู่อย่างยากสลัดหลุด
ภาพแนบ: อามาเทระสุ
จะขอยกตัวอย่างเรื่องญี่ปุ่น มีหลักฐานบ่งชี้หลายประการว่า แต่ก่อนความเชื่อดั้งเดิมของญี่ปุ่นยกให้ “ผู้หญิงเป็นใหญ่” สังเกตได้จากเทพสูงสุดในศาสนาชินโตคือ “อามาเทระสุ” เทพีแห่งดวงอาทิตย์
ทั้งนี้ ในประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่น ยังมีพระจักรพรรดินีถึง 6 องค์ เช่น จักรพรรดินีฮิมิโกะในกลางศตวรรษที่ 3 หรือ จักรพรรดินีซุยโกะ ซึ่งขึ้นครองราชย์ใน ค.ศ. 592
ภาพแนบ: ศาลเจ้าขงจื๊อที่นางาซากิ
อย่างไรก็ตามความขงจื๊อได้ถูกโปรโมทเรื่อยมา จนยุคหนึ่งผู้หญิงขาดสิทธิหลายๆ อย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเลือกคู่ และการหย่าเองก็ทำไม่ได้ แถมยังถูกคาดหวังว่าต้องเป็นแม่ศรีเรือนที่ดีอีกด้วย
ภาพแนบ: โมกะ
ตลอดเวลาที่ผ่านมา แม้ผู้หญิงญี่ปุ่นจะถูกค่านิยมดังกล่าวกดไว้ แต่หลายครั้งพวกพยายามเธอลุกขึ้นมาใช้ชีวิตในแบบของตัวเอง
ยกตัวอย่างเช่นในยุคโชวะ (1926 - 1989) มีกลุ่มผู้หญิงเรียกว่า “โมกะ” หรือ Modern Girl เกิดขึ้น พวกเธอแต่งตัวทันสมัย, เลือกคู่เอง, ทำงานหาเงินเลี้ยงตัวเอง ทำให้มักถูกวิจารณ์จากสังคมญี่ปุ่นส่วนใหญ่ว่าเป็นพวกนิยมฝรั่ง ทำตัวไม่เป็นธรรมชาติ
ภาพแนบ: ญี่ปุ่นสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2
น่าเสียดายว่า ยุคของโมกะต้องจบลงเมื่อญี่ปุ่นเผชิญปัญหาเศรษฐกิจและสงคราม ทำให้กระแส "เมียที่ดี แม่ที่ฉลาด" (良妻賢母 - Good Wife, Wise Mother) ที่เน้นให้ผู้หญิงเป็นแม่ศรีเรือน เลี้ยงลูกเพื่อเป็นกำลังของชาติกลับขึ้นมาแทน
(กระแสนี้มีต้นกำเนิดมาตั้งแต่ยุคเมจิ (1868 - 1912) ก่อนหน้านั้น)
แม้ญี่ปุ่นจะเจริญไปเพียงไหน แต่ปัจจุบันยังมีค่านิยมที่บอกให้ผู้หญิงเรียนจบแล้วไม่ต้องทำงานนาน แต่งงานแล้วก็ให้ลาออกไปเป็นแม่บ้านกันมาก
ผู้หญิงที่ทำงานในออฟฟิศแม้จะเรียนสูงมาแค่ไหน แต่กลับมีแนวโน้มได้เงินเดือนน้อยกว่าชาย บริษัทไม่กล้าโปรโมทมาก กลัวว่าเดี๋ยวเธอแต่งงานขึ้นมาก็ลาออกไปเป็นแม่บ้านอีก
...จะเห็นว่าไม่ว่าที่ไหนที่รับวัฒนธรรมขงจื๊อมาก็มักเกิดปัญหาคล้ายๆ กัน รวมไปถึงในประเทศไทย...
*** อ่านต่อใน comment นะครับ ***
*** ส้วมหน้าบ้าน ใครต้องการลูกสาว? ***
บทความนี้จะพูดถึงกลุ่มคนไทยเชื้อสายจีน ซึ่งเดินทางมาตั้งรกรากในเมืองไทย พร้อมกับคำสอนแบบขงจื๊อ ที่ว่า “ชายหญิงล้วนแตกต่าง” (男女有别) ซึ่งคอยย้ำบทบาทที่ไม่เหมือนกันของทั้งสองเพศ ...หากพูดง่ายๆ ขงจื้อก็มองว่าผู้ชายอยู่สูงกว่าตามมุมมองปิตาธิปไตยของจีนโบราณ
ในบทความนี้ ผมจะพาทุกคนไปดูเรื่องราวความไม่เท่าเทียมของหญิงชายในประเทศจีนตั้งแต่ยุคโบราณจนถึงปัจจุบัน รวมไปถึงอิทธิพลที่ส่งมายังกลุ่มคนจีนโพ้นทะเล ว่ามันได้ฝังรากและก่อปัญหาอะไรไว้บ้าง
*** ความไม่เท่าเทียมจากอดีต ***
ตั้งแต่โบราณมา ชาวจีนมีความเชื่อเรื่อง “หยินหยาง” เปรียบดังความสมดุลพลังในจักรวาล หยิน (แทนด้วยสีดำ) หมายถึง พลังด้านลบ ธาตุเย็น และความเป็นหญิง ส่วนหยาง (แทนด้วยสีขาว) หมายถึงพลังด้านบวก ธาตุร้อน และความเป็นชาย
...ทั้งนี้หยินหยางต้องสมดุลกันหากมีอันใดอันหนึ่งมากไปก็จะไม่เกิดผลดี...
อย่างไรก็ตาม แนวคิดจีนแต่นานมามองว่าผู้หญิงมีธรรมชาติสงบ ไม่ใช่ผู้เข้มแข็งที่นำพาการสร้างสรรค์ จึงควรหน้าที่ไม่กี่อย่าง คือถ้าไม่เป็นเมียก็เป็นแม่ และต้องรับใช้ดูแลตระกูลสามี
ผู้หญิงส่วนมากไม่ได้เรียนหนังสือ จะมีก็แต่ชนชั้นกลาง-สูงซึ่งมีอาจารย์มาสอนในบ้าน โดยทำเพื่อเป็นการเชิดชูวงศ์ตระกูลมากกว่าต้องการให้ลูกสาวมีความรู้จริงๆ
ภาพแนบ: ขงจื๊อ
*** คำสอนของขงจื้อ ***
ขงจื้อสอนว่าผู้คนอาจถูกวัดคุณค่าได้จากความสามารถในการบรรลุหน้าที่สังคมคาดหวัง เช่นผู้ชายจะต้องทำหน้าที่เป็นพ่อและสามีที่ดี เป็นผู้นำ คอยรับใช้บ้านเมือง ส่วนผู้หญิงก็ต้องเป็นแม่และภรรยาที่ดี เป็นผู้รับใช้สนับสนุนฝ่ายชาย
ตามแนวคิดนี้ผู้ชายจะเป็นผู้ดูแลกิจการต่างๆ นอกบ้าน ส่วนผู้หญิงเป็นผู้ดูแลในบ้าน และมีสถานะต่ำกว่าชาย ตามหลักปิตาธิปไตย
ลูกผู้หญิงถูกมองว่าเป็น “สมาชิกชั่วคราวที่เดี๋ยวก็จะต้องแต่งงานออก” แนวคิดดังกล่าวสร้างความลำบากแก่ผู้หญิงมาก
ภาพแนบ: ละคร "มงกุฎดอกส้ม" ของช่อง 3 เล่าเรื่องหญิงสาวที่ต้องตกอยู่ในการแก่งแย่งชิงดี เพราะถูกส่งมาเป็นภรรยาน้อยคนจีนเพื่อขัดหนี้ (ดัดแปลงมาจากนิยายจีนเรื่อง Wives and Concubines อีกที)
ในจีนโบราณนั้นผู้หญิงจำนวนมากโดนครอบครัวส่งเข้าหอนางโลม หรือไม่ก็ถูกขายเป็นทาส โดยมักเป็นการตัดสินใจของพ่อ
นอกจากนั้นการที่ผู้ชายสามารถมีภรรยาหลายคน ทำให้ผู้หญิงถูกบีบให้กลั่นแกล้งทำร้ายกันเองด้วยความริษยาคล้ายกับในละครไทยที่เราดูหลังข่าว
ภาพแนบ: เหย่าเหนียง
*** ประเพณีรัดเท้า ***
เชื่อกันว่าในยุคห้าราชวงศ์สิบรัฐ (ค.ศ. 907 - 960) จักรพรรดิมีสนมนามเหย่าเหนียง มีเท้าเล็กกระจุ๋มกระจิ๋มมาก
วันหนึ่งกษัตริย์ได้สร้างดอกบัวทองคำสูงหกฟุตประดับด้วยเพชรนิลจินดา และให้นางขึ้นไปร่ายรำบนดอกบัวนั้น เหย่าเหนียงจึงเอาผ้าขาวรัดเท้าให้โค้งดังจันทร์เสี้ยว ร่ายรำอย่างงดงามยิ่ง แสดงทั้งกายภาพว่ามีเท้าเล็กมาก และมีทักษะดีมาก ทำให้ผู้ชมต่างประทับใจ ทุกคนจึงเอาอย่าง ให้ผู้หญิงรัดเท้าให้เล็กลงเกิดเป็นธรรมเนียม “รัดเท้า” ขึ้น
ภาพแนบ: ขนาดรองเท้าของผู้ถูกรัด เทียบกับฝ่ามือ
ผู้ชายจีนสมัยก่อนมีอารมณ์กับผู้หญิงเท้าเล็กๆ เหมือนผู้ชายสมัยนี้มีอารมณ์กับผู้หญิงหน้าอกใหญ่ๆ ผู้หญิงยิ่งเท้าเล็กยิ่งมีเสน่ห์ ยิ่งมีโอกาสเป็นที่หมายปองของชายสูงศักดิ์
นั่นเป็นการกดดันให้ครอบครัวที่อยากให้ลูกสาวได้สามีดี ต้อง “ทำศัลยกรรม” ลูก รัดเท้าพวกเธอจนพิการตั้งแต่เล็กแต่น้อย ต้องเจ็บปวดทรมานเป็นอย่างยิ่ง
และเมื่อได้เท้าพิการผิดรูปแล้ว ก็ต้องพันเท้าไว้ตลอดเวลา (เพราะผู้ชายชอบเห็นเท้าที่พันไว้แล้วจินตนาการ มากกว่าจะมองของจริงที่บิดเบี้ยว) จนเท้านั้นเหม็นอับเป็นโรคผิวหนังกันมาก
...ด้านหนึ่งให้เหตุผลว่าเพราะการเดินด้วยเท้าเล็กๆ จะนวยนาดดูเซ็กซี่ แต่อีกเหตุผลคือ เมื่อเท้าเล็กก็จะเดินลำบาก ทำให้ต้องอยู่แต่ในบ้าน ไม่ออกไปไหนให้วุ่นวาย และยากต่อการมีชู้
ภาพแนบ: เหมาสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีน
*** สิทธิสตรียุคคอมมิวนิสต์ของเหมา ***
เหมาเจ๋อตงสถาปนา “สาธารณรัฐประชาชนจีน” ขึ้นในปี 1949 เปลี่ยนระบอบการปกครองจีนสู่ระบบคอมมิวนิสต์ที่เชิดชูอุดมการณ์ “คนเท่าเทียมกัน”
เหมาให้ความสำคัญกับสิทธิสตรีมากขึ้นตามหลักที่เหมาเรียกว่า “ประชาธิปไตยใหม่” (New Democracy) เช่น ออกกฎหมายให้การบังคับอยู่กินโดยไม่ได้สมรสเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย, ต้องเป็นผัวเดียวเมียเดียว
(คอมมิวนิสต์ยุคนั้นยังไม่ก้าวหน้าขนาดให้สิทธิเพศทางเลือก อย่างไรก็ตามได้มีการพูดถึงมากขึ้นในยุคหลัง)
มุมมองต่อผู้หญิงของพรรคคอมมิวนิสต์ช่วงยุค 50 - 60s นับว่าดีขึ้น พวกเธอได้กลายมาเป็นแรงงานที่แข็งขัน เป็นนักรบผู้กล้าหาญ สามารถลุกขึ้นมาสู้เพื่อประเทศจีนและพรรค แต่กระนั้นยุคคอมมิวนิสต์ก็เป็นยุคที่กดขี่แนวคิดอื่นที่ไม่ใช่คอมมิวนิสต์ด้วย
ปลายยุคเหมานั้นมีการ “ปฏิวัติวัฒนธรรม” หากใครอุทิศตนให้อุดมการณ์คอมมิวนิสต์ไม่พอก็จะโดนกลั่นแกล้งประจาน และในทางปฏิบัตินั้น หลายๆ กรณี ผู้หญิงยังถูกกีดกันทางการงานอยู่ แม้เรียนสูงเท่าผู้ชาย ก็มักไม่ก้าวหน้าเท่า
ภาพแนบ: เหมากับครอบครัว
นอกจากนั้นหากมองชีวิตส่วนตัวของเหมาเจ๋อตง จะพบว่าแม้ภรรยาทั้งสี่คนของเขาล้วนอุทิศตนให้เขาอย่างยิ่งยวด แต่เขาก็เคยหักหลัง หรือทำผิดต่อพวกเธอทั้งสี่ ลูกสาวของเหมาเองก็ไม่ได้ถือว่ามีชีวิตสุขสบาย หากเทียบกับลูกของผู้นำรายอื่นๆ ในประวัติศาสตร์
ภาพแนบ: เหมากับเจียงชิง ภรรยาคนที่ 4 และลูกสาว หลี่นา
...แต่นักการเมืองทั้งหลายที่ขึ้นมามีอำนาจหลังยุคเหมาพยายามไม่กล่าวถึงความเจ็บช้ำของพวกเธอ คาดว่าเพราะไม่อยากให้กระทบภาพลักษณ์พรรคคอมมิวนิสต์…
(อ่านบทความเรื่องของ “ผู้หญิงของเหมา” ได้ใน link ในคอมเมนต์ของโพสต์นี้นะครับ)
*** ส้วมหน้าบ้านยุคใหม่ และนโยบายลูกคนเดียว ***
หลังยุคเหมา เติ้งเสี่ยวผิงได้ปฏิรูปจีนเป็นทุนนิยม และสนับสนุนความเท่าเทียม ซึ่งทำให้ผู้หญิงมีงานทำมากกว่ายุคก่อนๆ
แต่กระนั้นเองหลังจากนั้นก็เกิดปัญหาขึ้นอีก เพราะนายจ้างไม่อยากจ่ายค่าแรงให้เยอะ จึงไปจ้างแรงงานหญิงต่างชาติด้วยค่าแรงถูกๆ มาทำงานแทน ทำให้หญิงชาวจีนโดนแย่งงาน หญิงต่างชาติก็โดนกดให้แต่ทำงานที่ไม่ต้องใช้ความสามารถนัก
จากผลสำรวจของ Chinese Women's Press ในปี 1990 ผู้หญิงที่ทำงานในเมือง จะได้ค่าจ้างเฉลี่ยค่า 77.4% ของผู้ชายในย่านเดียวกัน และผู้หญิงที่ทำงานต่างจังหวัด จะได้ค่าจ้างเฉลี่ย 81.4% ของผู้ชาย
ส่วนข้อมูลของวารสารวิชาการ Contemporary Economic Policy ในปี 2013 ระบุว่า เทียบกับผู้ชายแล้ว ผู้หญิงได้ค่าจ้างเฉลี่ยเพียง 75.4%
นอกจากนี้ชายจีนยังติดกับความคิดเดิมๆ อยู่มาก อิงจากบทความ "Goodbye Career, Hello Housekeeping" บนเว็บไซต์ China News Service ในปี 2012 ผู้ชายจีน 80% ยังหวังให้ภรรยาตัวเองลาออกจากงานมาเป็นแม่บ้านเต็มเวลา ชีวิตแต่งงานจะได้ราบรื่น ครอบครัวมีคนดูแล
...นี่สะท้อนให้เห็นความเชื่อเรื่องผู้หญิงแต่งงานแล้วต้องอยู่บ้านแบบขงจื๊อ ที่แม้จะถูกกวาดล้างไปในยุคปฏิวัติวัฒนธรรมแล้ว แต่ก็ยังแพร่หลายอยู่
ยิ่งไปกว่านั้น พอแต่งงานไปแล้ว ครอบครัวก็หวังให้แต่หญิงผู้นั้นมีลูกชายไว้สืบสกุล ดังเห็นได้จากตอนประเทศจีนดำเนินนโยบายลูกคนเดียว เรามักจะได้ยินข่าวคนทำแท้งเพราะได้ลูกสาว หรือหากคลอดออกมาแล้วก็นำไปทิ้งอยู่เรื่อยๆ จนจีนมีประชากรชายมากกว่าหญิงมากในช่วงหนึ่ง
ซึ่งเรื่องนี้กลายเป็นปัญหาในยุคปัจจุบัน เพราะเมื่อเด็กเหล่านั้นเติบโตถึงวัยครองคู่ก็หาคนมาแต่งยาก กลายเป็นไม่สามารถทำตามความคาดหวังแบบขงจื๊อที่ฝังอยู่ใน DNA ได้อีก
*** ค่านิยมขงจื๊อที่แฝงอยู่นอกเมืองจีน ***
ประเทศอย่าง เวียดนาม เกาหลี หรือ ญี่ปุ่นนั้นเปิดรับวัฒนธรรมจีนมาเต็มๆ เป็นเวลานับร้อยนับพันปี
พวกเขารับ ตัวอักษร, ศาสนา, ธรรมเนียมปฏิบัติต่างๆ รวมทั้งแนวคิดแบบขงจื๊อเข้ามาด้วย ทำให้ยังมีกรอบแนวคิดนี้อยู่อย่างยากสลัดหลุด
ภาพแนบ: อามาเทระสุ
จะขอยกตัวอย่างเรื่องญี่ปุ่น มีหลักฐานบ่งชี้หลายประการว่า แต่ก่อนความเชื่อดั้งเดิมของญี่ปุ่นยกให้ “ผู้หญิงเป็นใหญ่” สังเกตได้จากเทพสูงสุดในศาสนาชินโตคือ “อามาเทระสุ” เทพีแห่งดวงอาทิตย์
ทั้งนี้ ในประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่น ยังมีพระจักรพรรดินีถึง 6 องค์ เช่น จักรพรรดินีฮิมิโกะในกลางศตวรรษที่ 3 หรือ จักรพรรดินีซุยโกะ ซึ่งขึ้นครองราชย์ใน ค.ศ. 592
ภาพแนบ: ศาลเจ้าขงจื๊อที่นางาซากิ
อย่างไรก็ตามความขงจื๊อได้ถูกโปรโมทเรื่อยมา จนยุคหนึ่งผู้หญิงขาดสิทธิหลายๆ อย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเลือกคู่ และการหย่าเองก็ทำไม่ได้ แถมยังถูกคาดหวังว่าต้องเป็นแม่ศรีเรือนที่ดีอีกด้วย
ภาพแนบ: โมกะ
ตลอดเวลาที่ผ่านมา แม้ผู้หญิงญี่ปุ่นจะถูกค่านิยมดังกล่าวกดไว้ แต่หลายครั้งพวกพยายามเธอลุกขึ้นมาใช้ชีวิตในแบบของตัวเอง
ยกตัวอย่างเช่นในยุคโชวะ (1926 - 1989) มีกลุ่มผู้หญิงเรียกว่า “โมกะ” หรือ Modern Girl เกิดขึ้น พวกเธอแต่งตัวทันสมัย, เลือกคู่เอง, ทำงานหาเงินเลี้ยงตัวเอง ทำให้มักถูกวิจารณ์จากสังคมญี่ปุ่นส่วนใหญ่ว่าเป็นพวกนิยมฝรั่ง ทำตัวไม่เป็นธรรมชาติ
ภาพแนบ: ญี่ปุ่นสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2
น่าเสียดายว่า ยุคของโมกะต้องจบลงเมื่อญี่ปุ่นเผชิญปัญหาเศรษฐกิจและสงคราม ทำให้กระแส "เมียที่ดี แม่ที่ฉลาด" (良妻賢母 - Good Wife, Wise Mother) ที่เน้นให้ผู้หญิงเป็นแม่ศรีเรือน เลี้ยงลูกเพื่อเป็นกำลังของชาติกลับขึ้นมาแทน
(กระแสนี้มีต้นกำเนิดมาตั้งแต่ยุคเมจิ (1868 - 1912) ก่อนหน้านั้น)
แม้ญี่ปุ่นจะเจริญไปเพียงไหน แต่ปัจจุบันยังมีค่านิยมที่บอกให้ผู้หญิงเรียนจบแล้วไม่ต้องทำงานนาน แต่งงานแล้วก็ให้ลาออกไปเป็นแม่บ้านกันมาก
ผู้หญิงที่ทำงานในออฟฟิศแม้จะเรียนสูงมาแค่ไหน แต่กลับมีแนวโน้มได้เงินเดือนน้อยกว่าชาย บริษัทไม่กล้าโปรโมทมาก กลัวว่าเดี๋ยวเธอแต่งงานขึ้นมาก็ลาออกไปเป็นแม่บ้านอีก
...จะเห็นว่าไม่ว่าที่ไหนที่รับวัฒนธรรมขงจื๊อมาก็มักเกิดปัญหาคล้ายๆ กัน รวมไปถึงในประเทศไทย...
*** อ่านต่อใน comment นะครับ ***