JJNY : เอกชนส่อขึ้นราคาสินค้า│ผักราคาลด ‘น้ำมันปาล์ม’แพงแทน│ดัชนีราคาที่อยู่กทม. ต่ำสุด19ไตรมาส│ม็อบรถบรรทุกจ่อยกระดับ

เอกชนส่อขึ้นราคาสินค้าอั้นไม่อยู่ วอนรัฐแก้ปัญหาพลังงาน-ตรึงค่าไฟฟ้า
https://www.prachachat.net/economy/news-797911
  
 
ส.อ.ท. โอดต้นทุนพลังงานพุ่งทำต้นทุนการผลิตพุ่งตาม คาดอาจมีแนวโน้มปรับขึ้นราคาสินค้า วอนรัฐเร่งแก้ปัญหาราคาน้ำมันแพง ตรึงค่า FT ไฟฟ้ายาว 1 ปี เผยหลังคลายล็อกเปิดประเทศ ดัชนีเชื่อมั่นอุตฯฟื้น 2 เดือนต่อเนื่อง
 
วันที่ 8 พฤศจิกายน 2564 นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ปัญหาเรื่องของราคาพลังงานอย่างน้ำมันที่กำลังปรับราคาพุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง ได้ส่งผลกระทบต่อภาคการผลิตอย่างมาก และมีบางรายการสินค้าที่ได้ขยับขึ้นราคาไปแล้ว
 
โดยคาดว่าหากราคาน้ำมันยังปรับขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยที่ภาครัฐยังปล่อยให้สูงต่อไป เอกชนอาจมีการปรับขึ้นราคาสินค้าเพิ่มเติมอีกแน่นอน เช่นเดียวกันกับที่ทาง กกพ. กำลังจะพิจารณาค่า FT ไฟฟ้าเร็ว ๆ นี้ ซึ่งทางเอกชนมองว่ารัฐควรตรึงราคาไว้เพื่อช่วยเหลือประชาชนไปอีกระยะหนึ่งหรือประมาณ 1 ปี
 
ทั้งนี้ ยังมีสัญญาณที่ดีจากการคลายล็อกและเปิดประเทศ โดยจะเห็นได้จากผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมในเดือนตุลาคม 2564 อยู่ที่ระดับ 82.1 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับ 79.0 ในเดือนกันยายน 2564 โดยค่าดัชนีฯปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 ในทุกขนาดอุตสาหกรรมและทุกภูมิภาค ขณะที่องค์ประกอบของดัชนีฯเพิ่มขึ้นเกือบทุกรายการ ทั้งยอดคำสั่งซื้อโดยรวม ยอดขายโดยรวม ปริมาณการผลิต และผลประกอบการ ยกเว้นต้นทุนประกอบการ
 
สำหรับปัจจัยสนับสนุน ได้แก่ สถานการณ์ระบาดของโควิด-19 ที่มีทิศทางดีขึ้นจากจำนวนผู้ติดเชื้อรายวันลดลง ขณะที่จำนวนผู้ได้รับวัคซีนมีสัดส่วนเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ภาครัฐผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ต่อเนื่อง ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจทยอยฟื้นตัว ขณะที่อุปสงค์ในประเทศและต่างประเทศขยายตัวต่อเนื่อง ทั้งสินค้าคงทน อาทิ อุตสาหกรรมยานยนต์ ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ฯ เครื่องจักรกลและโลหะการ เป็นต้น
 
รวมถึงสินค้าไม่คงทนประเภทอาหารและยา นอกจากนี้เริ่มมีคำสั่งซื้อสินค้าล่วงหน้าเพื่อใช้ในช่วงเทศกาลปีใหม่ในกลุ่มสินค้าอาหารและสินค้าแฟชั่น ส่งผลให้ดัชนีปริมาณการผลิตเพิ่มขึ้น ขณะที่มาตรการภาครัฐยังช่วยพยุงกำลังซื้อในประเทศ
 
อย่างไรก็ตาม ค่าดัชนีฯ อยู่ในระดับต่ำกว่า 100 สะท้อนว่าความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมยังอยู่ในระดับที่ไม่ดี ทั้งนี้ ผู้ประกอบการยังมีความกังวลเกี่ยวกับราคาวัตถุดิบและราคาพลังงานที่ปรับตัวสูงขึ้นทำให้กระทบต้นทุนการผลิตและค่าขนส่ง ขณะที่ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนส่งผลกระทบต่อต้นทุนของผู้นำเข้า รวมทั้งปัญหาขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์และอัตราค่าระวางเรือสูงยังเป็นปัจจัยกดดันผู้ส่งออก
 
ซึ่งก็ได้คาดการณ์ดัชนีฯ 3 เดือนข้างหน้าว่า น่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 95.0 จากระดับ 93.0 ในเดือนกันยายน 2564
 
โดยผู้ประกอบการมีความเชื่อมั่นว่าการผ่อนคลายมาตรการควบคุมโควิด-19 แบบค่อยเป็นค่อยไป รวมทั้งนโยบายเปิดประเทศในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2564, การอนุญาตให้นักท่องเที่ยวต่างชาติในกลุ่มประเทศที่มีความเสี่ยงต่ำ สามารถเดินทางเข้ามาได้โดยไม่ต้องกักตัว (ตามเงื่อนไข) รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ จะช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยในช่วงที่เหลือของปี 2564 ขณะที่ภาคการส่งออกยังคงขยายตัวตามทิศทางเศรษฐกิจและการค้าโลก
 
ขณะเดียวกัน ได้เสนอให้ภาครัฐ เร่งรัดการฉีดวัคซีนที่มีคุณภาพให้แก่ประชาชนตามเกณฑ์ขั้นต่ำเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ โดยเฉพาะจังหวัดที่เปิดรับนักท่องเที่ยว เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยวทั้งในประเทศและต่างประเทศ, ภาครัฐควรมีแผนรองรับการเปิดประเทศ และมาตรการด้านสาธารณสุขที่ชัดเจน เพื่อให้การเปิดประเทศเป็นไปด้วยความเรียบร้อย รวมทั้งควรมีการประชาสัมพันธ์ให้นักท่องเที่ยวและประชาชนรับทราบเพื่อสร้างความเข้าใจ
 
เร่งออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม และส่งเสริมการท่องเที่ยว รวมทั้งผ่อนคลายกิจกรรมทางเศรษฐกิจภายใต้มาตรการควบคุมโรค เพื่อช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจ, ขอให้ภาครัฐเร่งแก้ไขปัญหาราคาพลังงาน ราคาวัตถุดิบ และค่าขนส่งที่ปรับตัวสูงขึ้นจนส่งผลกระทบต่อต้นทุนประกอบการภาคอุตสาหกรรม
 
สำหรับเรื่องของแรงงานต่างด้าวขณะนี้ภาคการผลิตยังคงขาดแคลน หลังจากที่มีการระบาดอย่างหนักของโควิด-19 ทำให้แรงงานกลับประเทศไปและยังไม่กลับมา ดังนั้นเมื่อกิจกรรมและการผลิตกลับมาดังเดิมความต้องการแรงงานก็ยังต้องมี ซึ่งเอกชนยังต้องการถึง 500,000 คน
 

 
พอผักราคาลด ‘น้ำมันปาล์ม’กลับแพงแทน พุ่งพรวดขวดละ 60 บาท เดือดร้อนทั่ว
https://www.dailynews.co.th/news/453828/
  
ของแพงอีกแล้ว น้ำมันปาล์มขวดพุ่งขวด 60 บาท เหตุตลาดโลกแพง ทำชาวบ้าน แม่ค้าไก่ทอด เดือดร้อนหนัก
  
รายงานข่าวจากกระทรวงพาณิชย์เปิดเผยว่า ประชาชนคนไทยกำลังประสบปัญหาค่าครองชีพแพงอย่างต่อเนื่อง โดยนอกจากน้ำมันแพง ผักชีพุ่ง กก.ละ 400 บาทแล้ว ล่าสุด ได้รับแจ้งว่าราคาน้ำมันปาล์มบรรจุขวดสำหรับใช้ประกอบอาหาร ยังพุ่งพรวดไม่แพ้กัน จากปกติขวด 44-47 บาท เพิ่มเป็น 51-60 บาท ซึ่งเพิ่มขึ้นอีกขวด 10-15 บาท และสูงเกินกว่าราคาที่กรมการค้าภายในขอความร่วมมือเมื่อช่วงต้นปีที่ขายขวดละ 49 บาท โดยในห้างสรรพสินค้า ซูเปอร์มาร์เกต มีขายกันขวดละ 51-54 บาท จำกัดปริมาณซื้อไม่เกินคนละ 6 ขวด ส่วนร้านโชห่วย ร้านขายของชำนอกห้างขาย ขายกันขวดละ 60 บาท
   
ทั้งนี้ วงการผู้ผลิตน้ำมันปาล์มแจ้งว่า สาเหตุที่น้ำมันปาล์มแพงรอบนี้ ถือเป็นไปตามกลไกตลาดโลกที่ราคาน้ำมันดิบปรับเพิ่มขึ้นทุกชนิด ส่งผลให้ราคาน้ำมันปาล์มแพงตามไปด้วย ที่สำคัญราคาปาล์มขวดที่ขายกันขวด 55 บาทตอนนี้ ยังถือว่าถูกกว่าราคาต้นทุนที่แท้จริง เพราะปัจจุบันราคาน้ำมันปาล์มดิบที่ 45 บาท หากนำมาบรรจุขวดบวกภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว จะต้องขายกันถึงขวด 60 บาทขึ้นไป แต่ผู้ผลิตพยายามช่วยดูแลค่าครองชีพให้กับผู้บริโภคจึงขายไม่ถึง อย่างไรก็ตามหากแนวโน้มราคาน้ำมันปาล์มดิบยังแพงขึ้นอีก อาจมีโอกาสที่ราคาปาล์มขวดจะแพงขึ้นอีก
  
“ราคาน้ำมันปาล์มแพงรอบนี้ เกิดจากราคาตลาดโลกที่สูงขึ้น ไม่ได้มาจากของขาดตลาดเหมือนก่อน จึงไม่ต้องกังวลเลยว่า สินค้าจะไม่พอขาย มีของแน่นอนแต่ราคาอาจสูงหน่อยข้อดีช่วยให้ชาวสวนปาล์มมีรายได้เพิ่มขึ้น ซึ่งตอนนี้ผลปาล์มอยู่ที่ กก.ละ 9 บาท มากกว่าก่อนนี้ที่ขายได้เพียง กก.ละ 2 บาทกว่า แต่ผู้บริโภคอาจจะเดือดร้อนต้องบริโภคน้ำมันปาล์มแพงขึ้นบ้าง โดยหากกรมการค้าภายในจะขอให้ตรึงราคาไม่เกิน 49 บาทเหมือนเดิม อาจทำได้ยาก และของจะหายไปจากตลาด เพราะผู้ผลิตคงนำของหนีส่งออกไปต่างประเทศที่ได้ราคาดีกันหมด อย่างไรก็ตามเซฟตี้สต๊อกน้ำมันปาล์มยังอยู่ในระดับปลอดภัย มีสต๊อกสูงเกิน 3 แสนตัน ไม่น่าวิตกกังวลแต่อย่างใด”
  
น.ส.กิติยา เปลี่ยนดี แม่ค้าไก่ทอดย่านนนทบุรี กล่าวว่า ทุกวันนี้ต้นทุนสินค้าแพงมาก แทบไม่เหลือกำไร จะขึ้นราคาขายกับลูกค้าไม่ได้ เพราะตอนนี้เศรษฐกิจไม่ดี หากขึ้นไปแล้วกลัวจะกระทบต่อยอดขาย โดยเดือนที่แล้วน้ำมันปาล์มยังซื้อมาขวดละ 46-48 บาท แต่ราคาไก่สดก็ขึ้นมา กก. 15 บาท แต่พอมาเดือน พ.ย.ราคาไก่ ลดลง 5-8 บาท แต่น้ำมันกลับมาขึ้นกระโดดแบบนี้ อีกขวดเกือบ 10 บาทก็ยิ่งลำบากกันไปใหญ่ จึงอยากให้รัฐบาลออกมาช่วยแก้ปัญหานี้ด้วย 
 

 
ดัชนีราคาที่อยู่อาศัยกทม. ร่วงต่ำสุดในรอบ 19 ไตรมาส
https://www.thansettakij.com/property/502442
  
ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ หวั่น อสังหาฯไทย ไตรมาสสุดท้าย เข็นไม่ขึ้น จากเศรษฐกิจไม่ฟื้นตัว ขณะพบดัชนีราคาที่อยู่อาศัยไตรมาสล่าสุด ร่วงอีก2% ต่ำสุดในรอบ 19 ไตรมาส หวังรบ.ผนึกต่างชาติปลุกโค้งสุดท้าย
 
นางกมลภัทร แสวงกิจ ผู้จัดการใหญ่ประจำประเทศไทยของดีดีพร็อพเพอร์ตี้ เว็บไซต์ตัวแทนซื้อ-ขายอสังหาริมทรัพย์เบอร์ต้นของไทย เผยว่า ตลาดอสังหาฯ ไตรมาสสุดท้าย ยังคงชะลอตัวตามสภาพเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัว หลังจากโควิด-19 ระลอกล่าสุดยาวนานกว่าที่คาด ส่งผลให้ราคาที่อยู่อาศัยลดลงต่อเนื่อง โดยดัชนีราคาที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ ปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ 178 จุด จาก 183 จุด หรือลดลง 2% จากไตรมาสก่อน ถือเป็นดัชนีราคาที่ต่ำที่สุดนับตั้งแต่ไตรมาส 4 ปี 2559  หรือ 19 ไตรมาส  
 
ขณะ ดัชนีราคาคอนโดมิเนียม ยังคงมีแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง โดยลดลง 2% จากไตรมาสก่อน และลดลงถึง 11% ในรอบปี สวนทางกับบ้านเดี่ยวที่มีดัชนีราคาเพิ่มขึ้นถึง 6% จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้น 6% จากปีก่อนหน้า ส่วนดัชนีราคาทาวน์เฮ้าส์ทรงตัวจากไตรมาสก่อน และลดลง 1% จากปีก่อนหน้า
 
ทั้งนี้ การแพร่ระบาดฯ เป็นปัจจัยช่วยผลักดันให้ดัชนีราคาที่อยู่อาศัยแนวราบมีการเติบโต จากการที่ผู้บริโภคหันมาสนใจโครงการแนวราบมากขึ้น ประกอบกับการที่ผู้ซื้อและนักลงทุน โดยเฉพาะชาวต่างชาติหายไปจากตลาดเป็นจำนวนมากกินระยะเวลายาวนาน จึงทำให้ตลาดคอนโดฯ ไม่คึกคักเหมือนที่เคย
 
อุปทานแนวราบคึกเพิ่ม10%
 
ขณะดัชนีอุปทานหรือจำนวนที่อยู่อาศัยในตลาดได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 458 จุด จาก 428 จุด หรือเพิ่มขึ้นถึง 7% จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้น 10% จากปีก่อน ข้อมูลที่น่าสนใจคือโครงการแนวราบมีจำนวนอุปทานเพิ่มขึ้นมากที่สุด เป็นผลจากการที่ผู้พัฒนาอสังหาฯ หันมาจับตลาดนี้เพื่อตอบรับเทรนด์ความต้องการที่อยู่อาศัยที่เปลี่ยนไปของผู้บริโภค เห็นได้จากดัชนีอุปทานของบ้านเดี่ยวที่เพิ่มขึ้นถึง 10% และทาวน์เฮ้าส์ที่เพิ่มขึ้น 8% ส่วนคอนโดฯ ยังทรงตัวจากไตรมาสก่อน
 
เนื่องจากผู้พัฒนาอสังหาฯ เน้นจัดโปรโมชั่นเพื่อเร่งระบายสต็อกคงค้างที่มีอยู่แทนการเปิดตัวโครงการใหม่ รวมทั้งเริ่มเห็นผู้พัฒนาอสังหาฯ หลายราย กลับมาเปิดตัวโครงการคอนโดฯ ใหม่ในช่วงปลายปี เพื่อรองรับกำลังซื้อจากต่างชาติที่กลับเข้ามาหลังเปิดประเทศ และตอบรับความเชื่อมั่นในการใช้จ่ายของผู้บริโภคที่มีทิศทางฟื้นตัว
 
หวังรัฐปลุกต่างชาติฟื้นตลาด
 
นางกมลภัทร ยังระบุว่า แม้ปีนี้จะมีการระดมฉีดวัคซีนอย่างต่อเนื่องทั่วประเทศ แต่ความรุนแรงของการแพร่ระบาดฯ ยังถือเป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมาย สภาพเศรษฐกิจและกำลังซื้อของผู้บริโภคยังคงได้รับผลกระทบ ทุกธุรกิจจึงต้องปรับกลยุทธ์เพื่อให้พร้อมรับมือทุกการเปลี่ยนแปลง คาดว่านโยบายการเปิดประเทศ จะเป็นอีกความหวังสำคัญที่จะช่วยฟื้นเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะในตลาดอสังหาฯ ให้กลับมาเติบโตอีกครั้ง เนื่องจากกำลังซื้อจากนักลงทุนต่างชาติยังถือเป็นอีกหนึ่งกำลังสำคัญที่ได้หายจากตลาดอสังหาฯ ไทยเป็นระยะเวลานาน
 
ประกอบกับการที่ภาครัฐมีมาตรการดึงดูดชาวต่างชาติที่มีความมั่งคั่ง รวมทั้งร่างกฎหมายการถือครองอสังหาฯ และที่ดินของชาวต่างชาติฉบับใหม่ ล้วนเป็นปัจจัยบวกที่จะช่วยดึงดูดนักลงทุนต่างชาติให้พิจารณาอสังหาฯ ในไทยมากขึ้น ต้องจับตาดูว่าภาครัฐจะมีการบริหารจัดการมาตรการเหล่านี้อย่างไรให้เห็นผลอย่างรวดเร็วและเกิดประโยชน์สูงสุด
  
ปลด LTV ฟื้นความเชื่อมั่น
 
ทั้งนี้ ผู้บริโภคชาวไทยเองยังคงต้องการแรงสนับสนุนจากภาครัฐทั้งการสร้างความเชื่อมั่นจากการระดมฉีดวัคซีน พร้อมมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดฯ ที่มีประสิทธิภาพ ขณะเดียวกัน หากภาครัฐออกมาตรการช่วยเหลือภาคอสังหาฯ เพิ่มเติม อาทิ ต่ออายุมาตรการลดค่าโอนกรรมสิทธิ์และค่าจดจำนอง พร้อมทั้งขยายเพดานที่อยู่อาศัยขึ้นมาเป็นราคาไม่เกิน 5 ล้านบาท จะยิ่งช่วยเร่งการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคระดับกลาง-ล่างมากขึ้น
 
นอกเหนือไปจากปัจจัยบวกจากการที่ธนาคารแห่งประเทศไทยผ่อนคลายLTV เป็นการชั่วคราว ซึ่งมาตรการช่วยเหลือที่ตรงจุดเหล่านี้จะช่วยขับเคลื่อนการเติบโตให้กลับมาได้ไวขึ้น สอดคล้องกับดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนกันยายน 2564 เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 42.1 จากระดับ 37.2 ส่งสัญญาณว่ากำลังซื้อผู้บริโภคกำลังจะฟื้นตัวอีกครั้ง ประกอบกับการที่ราคาที่อยู่อาศัยปัจจุบันมีราคาไม่สูงมาก ถือเป็นโอกาสที่ดีในการดึงดูดผู้ซื้อที่มีความพร้อมด้านการเงินให้ตัดสินซื้อได้ง่ายขึ้น
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่