จากกรณีดังที่ผ่านมา ซึ่งมีกระแสการกล่าวหาว่ามีตำรวจยศสูงรีดไถเงินผู้ต้องหาคดียาเสพติดด้วยความรุนแรงจนลงเอยด้วยการวิสามัญฆาตกรรม ทำให้ประเด็นการใช้กำลังเกินกว่าเหตุของตำรวจเป็นที่รับรู้ ถูกพูดถึงอย่างกว้างขวางในสังคม
...น่าเศร้าว่าปัญหานี้เกิดขึ้นในหลายประเทศ แม้แต่สหรัฐอเมริกาดังกระแส BLM ที่ผ่านมา
บทความนี้จะพาท่านผู้อ่านไปติดตามที่มาที่ไปของปัญหา พร้อมลำดับเหตุการณ์ตัวอย่าง และประเด็นที่น่าสนใจของปัญหานี้ว่าในประเทศที่เจริญแล้วอย่างอเมริกานั้น มีการตระหนัก และมีแนวทางการแก้ไขปัญหานี้กันอย่างไรนะครับ...

*** ประวัติศาสตร์ตำรวจอเมริกา ***
หน่วยงานรักษาความสงบในอเมริกา มีความเชื่อมโยงกับการกดขี่มาตั้งแต่แรกเริ่ม
ก่อนหน้าจะมีหน่วยตำรวจทั่วไปในช่วงปี 1880 การดูแลความสงบเรียบร้อยเป็นหน้าที่ของหน่วยลาดตระเวนจับทาส (slave patrol) ซึ่งคอยตามจับทาสที่หลบหนี รวมทั้งปราบปรามทาสผิวดำเพื่อป้องกันการลุกฮือ
ภาพแนบ: หน่วยลาดตระเวนจับทาส
หลังสงครามกลางเมือง (ปี 1861-1865) ทาสในสหรัฐได้รับอิสระ หน่วยลาดตระเวนจับทาสได้ถูกยุบไป
อดีตสมาชิกบ้างไปเข้ากับพวกแบ่งแยกผิวอย่างคูคลักซ์แคลน และบ้างก็ไปทำหน้าที่ดูแลความสงบเรียบร้อยต่อ หรือก็คือ ไปเป็นตำรวจที่ตั้งหน่วยใหม่ๆ ในเวลานั้นนั่นเอง
ภาพแนบ: เหตุจลาจลของตำรวจในนิวยอร์กเมื่อปี 1857 เกิดจากตำรวจ “รับใช้” กลุ่มการเมืองคนละกลุ่มยกพวกตีกัน
ตำรวจในยุคแรกๆ มีภาพจำติดตัว 2 ประการ คือ ฉ้อฉลและป่าเถื่อน เพราะตำรวจมักอยู่ภายใต้การควบคุมของนักการเมืองท้องถิ่น
กิจกรรมของตำรวจในเวลานั้น มีทั้งการขู่ผู้ออกเสียงเลือกตั้ง, การก่อกวนคู่แข่งการเมือง และการรักษาผลประโยชน์ของนายทุน
เจ้าพนักงานก็มักผ่านการฝึกเพียงเล็กน้อย นิยมรับสินบนและใช้ความรุนแรง ...นับได้ว่าเป็นยุค “ตำรวจการเมือง” อย่างชัดเจน
ภาพแนบ: ภาพวาดการสังหารหมู่ที่แลติเมอร์
ต่อมาในยุคที่อุตสาหกรรมเฟื่องฟูขึ้น ตำรวจรับหน้าที่ปราบปรามการประท้วง โดยบรรดาพวกนายทุนต่างสนับสนุนให้ตำรวจใช้กำลังเข้าสลายการชุมนุม
ตัวอย่างเหตุการณ์ที่โด่งดัง คือ การสังหารหมู่แลติเมอร์ (ปี 1897) ซึ่งตำรวจปะทะกับคนงานเหมืองไม่มีอาวุธ ทำให้คนงานเสียชีวิต 19 คน
ภาพแนบ: ภาพกรมตำรวจแคสเปอร์ รัฐไวโอมิง ซึ่งต่อมาถูกกล่าวหาว่าสมคบคิดกับคนขายเหล้าเถื่อน
ก่อนการจัดระเบียบตำรวจใหม่ในต้นศตวรรษที่ 20 รวมๆ ตำรวจยังมีพฤติกรรมฉ้อฉลและชอบใช้ความรุนแรงอยู่
บางทีตำรวจก็ร่วมรุมประชาทัณฑ์อเมริกันผิวดำในรัฐภาคใต้ โดยอ้าง "กฎหมายจิม โครว์" ซึ่งเป็นกฎหมายแบ่งแยกคนต่างสีผิวออกจากกัน
ในช่วงห้ามขายเหล้า (ปี 1919-1933) ตำรวจรับสินบนกันมือเติบ และบางทีเจ้าพ่อมาเฟียก็ใช้ตำรวจเพื่อกำจัดคู่แข่งด้วย
ภาพแนบ: การหยุดค้นตัวของตำรวจ
เหตุการณ์เหล่านี้ นำไปสู่การปฏิรูปสถาบันตำรวจเพื่อเพิ่มความเป็นมืออาชีพ มีการแยกตำรวจออกจากผู้นำการเมือง
อาชีพตำรวจเป็นระบบราชการประจำและมีสายบังคับบัญชาชัดเจนขึ้น มีการใช้ระบบรับสมัคร ฝึกฝน และให้รางวัลตำรวจใหม่
...อย่างไรก็ตาม มีเสียงวิจารณ์ว่าตำรวจมีความรับผิดชอบต่อสังคมลดลง และวิธีการบางอย่างของตำรวจ เช่น การมีอำนาจสั่งหยุดค้นตัว (stop and frisk) ยังมีความก้าวร้าว ทำให้ประชาชนไม่พอใจตำรวจนัก
ภาพแนบ: ภาพตำรวจใช้ปืนฉีดน้ำดับเพลิงใส่ผู้ประท้วงเรียกร้องสิทธิพลเมืองอย่างสันติ
ช่วงปลายศตวรรษที่ 20 กลุ่มผู้เรียกร้องความเสมอภาคทางเชื้อชาติในยุคขบวนการเคลื่อนไหวสิทธิพลเมือง (Civil Right Movement) และนักศึกษาที่เดินขบวนต่อต้านสงครามเวียดนาม มักตกเป็นเป้าการใช้กำลังรุนแรงของตำรวจ

จนถึงทุกวันนี้ข้อกล่าวหาการใช้กำลังเกินกว่าเหตุของตำรวจมักมีประเด็นใกล้ชิดกับสีผิว
...จากประวัติและเหตุการณ์ที่ผ่านมาจึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมตำรวจอเมริกันจึงถูกมองว่าเพ่งเล็งคนผิวดำและเอื้อต่อคนรวยนั่นเอง
*** ยาเสพติดกับการก่อการร้าย ***
ประเด็นที่ผสมอยู่ในเรื่องการใช้กำลังเกินกว่าเหตุของตำรวจ ได้แก่ การทำ “สงครามยาเสพติด” และ “สงครามต่อต้านการก่อการร้าย”
ในเรื่องนี้ ผู้ช่วยของอดีตประธานาธิบดี ริชาร์ด นิกสัน ระบุว่ารัฐบาลต้องการผูกโยงคนขาวที่ต่อต้านสงครามเวียดนามกับกัญชา และคนดำกับเฮโรอีน เพื่อให้คนสองกลุ่มนี้กลายเป็นผู้ร้ายทุกวันผ่านข่าวภาคค่ำ...
ภาพแนบ: หน่วยสวาทซึ่งติดอาวุธแบบทหาร ในภาพเป็นช่วงระหว่างความไม่สงบในเฟอร์กูสัน รัฐมิสซูรี เมื่อปี 2014
แนวคิดนี้นำไปสู่กฎหมายใหม่ๆ ที่รุนแรงยิ่งขึ้น อย่างหมายค้นแบบไม่ต้องแจ้งล่วงหน้า (no-knock warrant) และการกำหนดบทลงโทษขั้นต่ำ (mandatory sentencing)
นอกจากนี้ยังมีการติดอาวุธหนักให้แก่ตำรวจเพิ่มขึ้น เช่น การจัดตั้งหน่วยสวาท (SWAT - Special Weapons and Tactics)
โดยข้อมูลปี 2015 ระบุว่า แม้คนขาวและคนดำจะมีอัตราใช้สารเสพติดพอๆ กัน แต่มีคนดำติดคุกมากกว่าคนขาวถึง 6 เท่า
ในสถานการณ์ที่มีการใช้หน่วยสวาทบุกค้นบ้านที่ต้องสงสัยว่ามีการใช้ยาเสพติดโดยเฉพาะบ้านคนผิวดำและละติโน พบว่ามียาเสพติดจริงเพียง 35%
...ด้านกลุ่มสิทธิฯ ชี้ว่า นี่สะท้อนให้เห็นปัญหาการเลือกปฏิบัติด้วยเชื้อชาติและการใช้กำลังโดยไม่จำเป็น
ภาพแนบ: ปืนช็อตไฟฟ้า
หลังเหตุการณ์ 9/11 ปัญหาพฤติกรรมของตำรวจยิ่งเลวร้ายลง โดยสหประชาชาติมีรายงานว่า ได้เกิดกระแสการละเว้นโทษตำรวจ และทำให้กลไกเอาผิดตำรวจที่มีน้อยอยู่แล้วในสหรัฐอ่อนแอลงไปอีก
นอกจากนี้ยังมีการเก็บข้อมูลรูปพรรณตามเชื้อชาติ (racial profiling) และถึงแม้จะมีการเปลี่ยนจากปืนจริงไปใช้ปืนช็อตไฟฟ้า (taser) แล้ว แต่ก็ยังเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 150 คนในระยะ 6 ปี
ภาพแนบ: ร็อดนี คิง
*** เหตุการณ์ที่มีชื่อเสียง ***
เหตุการณ์การใช้กำลังเกินกว่าเหตุนั้นมีมากมาย แต่ที่มีชื่อเสียง เช่น...
1) เหตุการณ์ทุบตีร็อดนี คิง (ปี 1991)
อเมริกันผิวดำ ร็อดนี คิง กับเพื่อนอีก 2 คนก่อเหตุเมาแล้วขับรถเร็วกว่ากฎหมายกำหนดเมื่อวันที่ 3 มี.ค. 1991 ในลอสแองเจลิส เมื่อตำรวจเรียกแล้วไม่ยอมหยุดรถ จึงได้ขับรถไล่ตาม เมื่อผ่านไปช่วงหนึ่ง มีรถตำรวจอีกหลายคันและเฮลิคอปเตอร์ตำรวจร่วมติดตามด้วย

หลังไล่ไปได้ 13 กิโลเมตรก็สามารถจับกุมตัวคิงได้
ทั้งสามผู้ต้องหาถูกสั่งให้นอนคว่ำหน้าลงกับพื้น คิงซึ่งออกรถมาทีหลังมีตำรวจ 4 นายรุมเข้ามาจับกุมและใส่กุญแจมือ คิงพยายามยืนขึ้นเพื่อไล่ตำรวจ 2 นายลงจากหลังทำให้ตำรวจอ้างว่าคิงขัดขืนการจับกุม
ภาพแนบ: ภาพตำรวจทุบตีคิง
ในวิดีโอที่จับภาพได้นั้นมีภาพคิงถูกปืนช็อตไฟฟ้า คิงลุกขึ้นและวิ่งไปทางตำรวจนายหนึ่งซึ่งอาจเป็นการเข้าโจมตีหรือหลบหนี หลังจากนั้นตำรวจทุบด้วยไม้ตะบองหลายครั้ง
ในเหตุการณ์นี้มีการทุบด้วยไม้ตะบอง 33 ครั้งและเตะ 7 ครั้ง ผลการตรวจร่างกายในภายหลังพบว่าเขามีกระดูกหน้าผากแตก ข้อเท้าขวาหัก และมีรอยฟกช้ำและแผลฉีดหลายจุด
ภาพแนบ: เหตุจราจลปี 1992
อัยการลอสแองเจลิสฟ้องคดีต่อตำรวจในเหตุการณ์ฐานใช้กำลังเกินกว่าเหตุ
...คณะลูกขุนซึ่งไม่มีอเมริกันผิวดำเลยตัดสินว่าตำรวจไม่มีความผิด ทำให้เกิดการจลาจลในปี 1992 ทำให้มีผู้เสียชีวิต 63 คน และได้รับบาดเจ็บอีก 2,383 คน
ภาพแนบ: ไมเคิล บราวน์
2) เหตุยิงไมเคิล บราวน์ (ปี 2014)
ไมเคิล บราวน์ จูเนียร์ อเมริกันผิวดำวัย 18 ปี ถูกดาร์เรน วิลสัน ตำรวจผิวขาวยิงเสียชีวิตในเมืองเฟอร์กูสัน รัฐมิสซูรี เมื่อวันที่ 9 ส.ค. 2014 หลังก่อเหตุขโมยของ
ภาพแนบ: อณุสรณ์ไมเคิล บราวน์
คำให้การมีความขัดแย้งกัน ตำรวจอ้างว่าบราวน์โจมตีวิลสันก่อนเพื่อพยายามแย่งปืน ต่อมาบราวน์หลบหนี ทำให้วิลสันวิ่งไล่ติดตาม วิลสันเสริมว่าบราวน์หยุดแล้วหันมาทำร้ายเขา ตามมาด้วยการเปิดฉากยิง
แต่ญาติของบราวน์ที่อยู่ในเหตุการณ์อ้างว่าวิลสันเป็นคนเริ่มด้วยการคว้าคอบราวน์ผ่านหน้าต่างรถและขู่จะยิง เมื่อบราวน์หลบหนี บราวน์หันหลังไปยกมือยอมจำนนต่อวิลสัน แต่ตำรวจยิงใส่บราวน์ที่หลัง
ภาพแนบ: ภาพเหตุการณ์คดีบราวน์
รวมแล้วมีการยิงปืน 12 นัด รวม 2 นัดขณะแย่งปืนกันในรถตำรวจ นอกจากนี้พบว่าบราวน์ถูกทุบตีอีก 6 ครั้งทั้งหมดที่ด้านหน้าลำตัว
เหตุการณ์นี้ทำให้เกิดเหตุการณ์ความไม่สงบในเมือง ซึ่งเคราะห์ดีที่ไม่มีผู้ใดเสียชีวิต มีประชาชนได้รับบาดเจ็บ 10 คน และตำรวจได้รับบาดเจ็บ 6 นาย
...ด้านคดีความต่อวิลสัน คณะลูกขุนตัดสินว่าวิลสันไม่มีความผิด...

3) เหตุการณ์ฆ่าจอร์จ ฟลอยด์ (ปี 2020)
จอร์จ ฟลอยด์ อเมริกันผิวดำวัย 46 ปี ถูกจับกุมฐานต้องสงสัยว่าใช้ธนบัตร 20 ดอลลาร์ปลอม เมื่อวันที่ 25 พ.ค. 2020 ในมินนีอาโปลิส รัฐมินเนโซตา
ตำรวจผิวขาว เดเร็ก โชวิน คุกเข่ากดคอของฟลอยด์เป็นเวลากว่า 9 นาทีแม้เขาถูกใส่กุญแจมือและจับนอนคว่ำแล้ว คำพูดสุดท้ายของฟลอยด์คือ “ผมหายใจไม่ออก”
ภาพแนบ: โชวิน
เมื่อภาพถูกเผยแพร่ออกไป ตำรวจในเหตุการณ์รวม 4 นายถูกไล่ออก
ผลการชันสูตรพบว่าฟลอยด์ถูกฆ่า ส่วนโชวินได้รับการตัดสินว่ามีความผิดฐานทำให้คนตายโดยไม่เจตนาและไม่ได้ไตร่ตรองไว้ก่อน รวม 3 กระทง และเขาถูกตัดสินจำคุก 22.5 ปี
ภาพแนบ:ป้ายประท้วง “ฉันหายใจไม่ออก”
เหตุการณ์ฆ่าจอร์จ ฟลอยด์เป็นที่รับรู้ทั่วโลกทำให้เกิดการประท้วงต่อการใช้กำลังเกินกว่าเหตุ, การเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติและการขาดความรับผิดชอบของตำรวจ โดยกลุ่มที่โดดเด่นในการประท้วงครั้งนี้ ได้แก่ แบล็กไลฟ์แมตเตอร์ (BLM)
...จากคดีทั้งสามนี้จะเห็นได้ว่ากระแสเรียกร้องให้เอาผิดกับตำรวจเพิ่งจะมาแรงในช่วงหลัง แต่ถึงกระนั้นบางคนก็ยังมองว่าข้อหาที่โชวินได้รับยังถูกผ่อนให้เบาลงอยู่ดี
*** อ่านต่อใน comment นะครับ ***
*** ประวัติศาสตร์ความรุนแรงของตำรวจในอเมริกา ***
...น่าเศร้าว่าปัญหานี้เกิดขึ้นในหลายประเทศ แม้แต่สหรัฐอเมริกาดังกระแส BLM ที่ผ่านมา
บทความนี้จะพาท่านผู้อ่านไปติดตามที่มาที่ไปของปัญหา พร้อมลำดับเหตุการณ์ตัวอย่าง และประเด็นที่น่าสนใจของปัญหานี้ว่าในประเทศที่เจริญแล้วอย่างอเมริกานั้น มีการตระหนัก และมีแนวทางการแก้ไขปัญหานี้กันอย่างไรนะครับ...
*** ประวัติศาสตร์ตำรวจอเมริกา ***
หน่วยงานรักษาความสงบในอเมริกา มีความเชื่อมโยงกับการกดขี่มาตั้งแต่แรกเริ่ม
ก่อนหน้าจะมีหน่วยตำรวจทั่วไปในช่วงปี 1880 การดูแลความสงบเรียบร้อยเป็นหน้าที่ของหน่วยลาดตระเวนจับทาส (slave patrol) ซึ่งคอยตามจับทาสที่หลบหนี รวมทั้งปราบปรามทาสผิวดำเพื่อป้องกันการลุกฮือ
ภาพแนบ: หน่วยลาดตระเวนจับทาส
หลังสงครามกลางเมือง (ปี 1861-1865) ทาสในสหรัฐได้รับอิสระ หน่วยลาดตระเวนจับทาสได้ถูกยุบไป
อดีตสมาชิกบ้างไปเข้ากับพวกแบ่งแยกผิวอย่างคูคลักซ์แคลน และบ้างก็ไปทำหน้าที่ดูแลความสงบเรียบร้อยต่อ หรือก็คือ ไปเป็นตำรวจที่ตั้งหน่วยใหม่ๆ ในเวลานั้นนั่นเอง
ภาพแนบ: เหตุจลาจลของตำรวจในนิวยอร์กเมื่อปี 1857 เกิดจากตำรวจ “รับใช้” กลุ่มการเมืองคนละกลุ่มยกพวกตีกัน
ตำรวจในยุคแรกๆ มีภาพจำติดตัว 2 ประการ คือ ฉ้อฉลและป่าเถื่อน เพราะตำรวจมักอยู่ภายใต้การควบคุมของนักการเมืองท้องถิ่น
กิจกรรมของตำรวจในเวลานั้น มีทั้งการขู่ผู้ออกเสียงเลือกตั้ง, การก่อกวนคู่แข่งการเมือง และการรักษาผลประโยชน์ของนายทุน
เจ้าพนักงานก็มักผ่านการฝึกเพียงเล็กน้อย นิยมรับสินบนและใช้ความรุนแรง ...นับได้ว่าเป็นยุค “ตำรวจการเมือง” อย่างชัดเจน
ภาพแนบ: ภาพวาดการสังหารหมู่ที่แลติเมอร์
ต่อมาในยุคที่อุตสาหกรรมเฟื่องฟูขึ้น ตำรวจรับหน้าที่ปราบปรามการประท้วง โดยบรรดาพวกนายทุนต่างสนับสนุนให้ตำรวจใช้กำลังเข้าสลายการชุมนุม
ตัวอย่างเหตุการณ์ที่โด่งดัง คือ การสังหารหมู่แลติเมอร์ (ปี 1897) ซึ่งตำรวจปะทะกับคนงานเหมืองไม่มีอาวุธ ทำให้คนงานเสียชีวิต 19 คน
ภาพแนบ: ภาพกรมตำรวจแคสเปอร์ รัฐไวโอมิง ซึ่งต่อมาถูกกล่าวหาว่าสมคบคิดกับคนขายเหล้าเถื่อน
ก่อนการจัดระเบียบตำรวจใหม่ในต้นศตวรรษที่ 20 รวมๆ ตำรวจยังมีพฤติกรรมฉ้อฉลและชอบใช้ความรุนแรงอยู่
บางทีตำรวจก็ร่วมรุมประชาทัณฑ์อเมริกันผิวดำในรัฐภาคใต้ โดยอ้าง "กฎหมายจิม โครว์" ซึ่งเป็นกฎหมายแบ่งแยกคนต่างสีผิวออกจากกัน
ในช่วงห้ามขายเหล้า (ปี 1919-1933) ตำรวจรับสินบนกันมือเติบ และบางทีเจ้าพ่อมาเฟียก็ใช้ตำรวจเพื่อกำจัดคู่แข่งด้วย
ภาพแนบ: การหยุดค้นตัวของตำรวจ
เหตุการณ์เหล่านี้ นำไปสู่การปฏิรูปสถาบันตำรวจเพื่อเพิ่มความเป็นมืออาชีพ มีการแยกตำรวจออกจากผู้นำการเมือง
อาชีพตำรวจเป็นระบบราชการประจำและมีสายบังคับบัญชาชัดเจนขึ้น มีการใช้ระบบรับสมัคร ฝึกฝน และให้รางวัลตำรวจใหม่
...อย่างไรก็ตาม มีเสียงวิจารณ์ว่าตำรวจมีความรับผิดชอบต่อสังคมลดลง และวิธีการบางอย่างของตำรวจ เช่น การมีอำนาจสั่งหยุดค้นตัว (stop and frisk) ยังมีความก้าวร้าว ทำให้ประชาชนไม่พอใจตำรวจนัก
ภาพแนบ: ภาพตำรวจใช้ปืนฉีดน้ำดับเพลิงใส่ผู้ประท้วงเรียกร้องสิทธิพลเมืองอย่างสันติ
ช่วงปลายศตวรรษที่ 20 กลุ่มผู้เรียกร้องความเสมอภาคทางเชื้อชาติในยุคขบวนการเคลื่อนไหวสิทธิพลเมือง (Civil Right Movement) และนักศึกษาที่เดินขบวนต่อต้านสงครามเวียดนาม มักตกเป็นเป้าการใช้กำลังรุนแรงของตำรวจ
จนถึงทุกวันนี้ข้อกล่าวหาการใช้กำลังเกินกว่าเหตุของตำรวจมักมีประเด็นใกล้ชิดกับสีผิว
...จากประวัติและเหตุการณ์ที่ผ่านมาจึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมตำรวจอเมริกันจึงถูกมองว่าเพ่งเล็งคนผิวดำและเอื้อต่อคนรวยนั่นเอง
*** ยาเสพติดกับการก่อการร้าย ***
ประเด็นที่ผสมอยู่ในเรื่องการใช้กำลังเกินกว่าเหตุของตำรวจ ได้แก่ การทำ “สงครามยาเสพติด” และ “สงครามต่อต้านการก่อการร้าย”
ในเรื่องนี้ ผู้ช่วยของอดีตประธานาธิบดี ริชาร์ด นิกสัน ระบุว่ารัฐบาลต้องการผูกโยงคนขาวที่ต่อต้านสงครามเวียดนามกับกัญชา และคนดำกับเฮโรอีน เพื่อให้คนสองกลุ่มนี้กลายเป็นผู้ร้ายทุกวันผ่านข่าวภาคค่ำ...
ภาพแนบ: หน่วยสวาทซึ่งติดอาวุธแบบทหาร ในภาพเป็นช่วงระหว่างความไม่สงบในเฟอร์กูสัน รัฐมิสซูรี เมื่อปี 2014
แนวคิดนี้นำไปสู่กฎหมายใหม่ๆ ที่รุนแรงยิ่งขึ้น อย่างหมายค้นแบบไม่ต้องแจ้งล่วงหน้า (no-knock warrant) และการกำหนดบทลงโทษขั้นต่ำ (mandatory sentencing)
นอกจากนี้ยังมีการติดอาวุธหนักให้แก่ตำรวจเพิ่มขึ้น เช่น การจัดตั้งหน่วยสวาท (SWAT - Special Weapons and Tactics)
โดยข้อมูลปี 2015 ระบุว่า แม้คนขาวและคนดำจะมีอัตราใช้สารเสพติดพอๆ กัน แต่มีคนดำติดคุกมากกว่าคนขาวถึง 6 เท่า
ในสถานการณ์ที่มีการใช้หน่วยสวาทบุกค้นบ้านที่ต้องสงสัยว่ามีการใช้ยาเสพติดโดยเฉพาะบ้านคนผิวดำและละติโน พบว่ามียาเสพติดจริงเพียง 35%
...ด้านกลุ่มสิทธิฯ ชี้ว่า นี่สะท้อนให้เห็นปัญหาการเลือกปฏิบัติด้วยเชื้อชาติและการใช้กำลังโดยไม่จำเป็น
ภาพแนบ: ปืนช็อตไฟฟ้า
หลังเหตุการณ์ 9/11 ปัญหาพฤติกรรมของตำรวจยิ่งเลวร้ายลง โดยสหประชาชาติมีรายงานว่า ได้เกิดกระแสการละเว้นโทษตำรวจ และทำให้กลไกเอาผิดตำรวจที่มีน้อยอยู่แล้วในสหรัฐอ่อนแอลงไปอีก
นอกจากนี้ยังมีการเก็บข้อมูลรูปพรรณตามเชื้อชาติ (racial profiling) และถึงแม้จะมีการเปลี่ยนจากปืนจริงไปใช้ปืนช็อตไฟฟ้า (taser) แล้ว แต่ก็ยังเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 150 คนในระยะ 6 ปี
ภาพแนบ: ร็อดนี คิง
*** เหตุการณ์ที่มีชื่อเสียง ***
เหตุการณ์การใช้กำลังเกินกว่าเหตุนั้นมีมากมาย แต่ที่มีชื่อเสียง เช่น...
1) เหตุการณ์ทุบตีร็อดนี คิง (ปี 1991)
อเมริกันผิวดำ ร็อดนี คิง กับเพื่อนอีก 2 คนก่อเหตุเมาแล้วขับรถเร็วกว่ากฎหมายกำหนดเมื่อวันที่ 3 มี.ค. 1991 ในลอสแองเจลิส เมื่อตำรวจเรียกแล้วไม่ยอมหยุดรถ จึงได้ขับรถไล่ตาม เมื่อผ่านไปช่วงหนึ่ง มีรถตำรวจอีกหลายคันและเฮลิคอปเตอร์ตำรวจร่วมติดตามด้วย
หลังไล่ไปได้ 13 กิโลเมตรก็สามารถจับกุมตัวคิงได้
ทั้งสามผู้ต้องหาถูกสั่งให้นอนคว่ำหน้าลงกับพื้น คิงซึ่งออกรถมาทีหลังมีตำรวจ 4 นายรุมเข้ามาจับกุมและใส่กุญแจมือ คิงพยายามยืนขึ้นเพื่อไล่ตำรวจ 2 นายลงจากหลังทำให้ตำรวจอ้างว่าคิงขัดขืนการจับกุม
ภาพแนบ: ภาพตำรวจทุบตีคิง
ในวิดีโอที่จับภาพได้นั้นมีภาพคิงถูกปืนช็อตไฟฟ้า คิงลุกขึ้นและวิ่งไปทางตำรวจนายหนึ่งซึ่งอาจเป็นการเข้าโจมตีหรือหลบหนี หลังจากนั้นตำรวจทุบด้วยไม้ตะบองหลายครั้ง
ในเหตุการณ์นี้มีการทุบด้วยไม้ตะบอง 33 ครั้งและเตะ 7 ครั้ง ผลการตรวจร่างกายในภายหลังพบว่าเขามีกระดูกหน้าผากแตก ข้อเท้าขวาหัก และมีรอยฟกช้ำและแผลฉีดหลายจุด
ภาพแนบ: เหตุจราจลปี 1992
อัยการลอสแองเจลิสฟ้องคดีต่อตำรวจในเหตุการณ์ฐานใช้กำลังเกินกว่าเหตุ
...คณะลูกขุนซึ่งไม่มีอเมริกันผิวดำเลยตัดสินว่าตำรวจไม่มีความผิด ทำให้เกิดการจลาจลในปี 1992 ทำให้มีผู้เสียชีวิต 63 คน และได้รับบาดเจ็บอีก 2,383 คน
ภาพแนบ: ไมเคิล บราวน์
2) เหตุยิงไมเคิล บราวน์ (ปี 2014)
ไมเคิล บราวน์ จูเนียร์ อเมริกันผิวดำวัย 18 ปี ถูกดาร์เรน วิลสัน ตำรวจผิวขาวยิงเสียชีวิตในเมืองเฟอร์กูสัน รัฐมิสซูรี เมื่อวันที่ 9 ส.ค. 2014 หลังก่อเหตุขโมยของ
ภาพแนบ: อณุสรณ์ไมเคิล บราวน์
คำให้การมีความขัดแย้งกัน ตำรวจอ้างว่าบราวน์โจมตีวิลสันก่อนเพื่อพยายามแย่งปืน ต่อมาบราวน์หลบหนี ทำให้วิลสันวิ่งไล่ติดตาม วิลสันเสริมว่าบราวน์หยุดแล้วหันมาทำร้ายเขา ตามมาด้วยการเปิดฉากยิง
แต่ญาติของบราวน์ที่อยู่ในเหตุการณ์อ้างว่าวิลสันเป็นคนเริ่มด้วยการคว้าคอบราวน์ผ่านหน้าต่างรถและขู่จะยิง เมื่อบราวน์หลบหนี บราวน์หันหลังไปยกมือยอมจำนนต่อวิลสัน แต่ตำรวจยิงใส่บราวน์ที่หลัง
ภาพแนบ: ภาพเหตุการณ์คดีบราวน์
รวมแล้วมีการยิงปืน 12 นัด รวม 2 นัดขณะแย่งปืนกันในรถตำรวจ นอกจากนี้พบว่าบราวน์ถูกทุบตีอีก 6 ครั้งทั้งหมดที่ด้านหน้าลำตัว
เหตุการณ์นี้ทำให้เกิดเหตุการณ์ความไม่สงบในเมือง ซึ่งเคราะห์ดีที่ไม่มีผู้ใดเสียชีวิต มีประชาชนได้รับบาดเจ็บ 10 คน และตำรวจได้รับบาดเจ็บ 6 นาย
...ด้านคดีความต่อวิลสัน คณะลูกขุนตัดสินว่าวิลสันไม่มีความผิด...
3) เหตุการณ์ฆ่าจอร์จ ฟลอยด์ (ปี 2020)
จอร์จ ฟลอยด์ อเมริกันผิวดำวัย 46 ปี ถูกจับกุมฐานต้องสงสัยว่าใช้ธนบัตร 20 ดอลลาร์ปลอม เมื่อวันที่ 25 พ.ค. 2020 ในมินนีอาโปลิส รัฐมินเนโซตา
ตำรวจผิวขาว เดเร็ก โชวิน คุกเข่ากดคอของฟลอยด์เป็นเวลากว่า 9 นาทีแม้เขาถูกใส่กุญแจมือและจับนอนคว่ำแล้ว คำพูดสุดท้ายของฟลอยด์คือ “ผมหายใจไม่ออก”
ภาพแนบ: โชวิน
เมื่อภาพถูกเผยแพร่ออกไป ตำรวจในเหตุการณ์รวม 4 นายถูกไล่ออก
ผลการชันสูตรพบว่าฟลอยด์ถูกฆ่า ส่วนโชวินได้รับการตัดสินว่ามีความผิดฐานทำให้คนตายโดยไม่เจตนาและไม่ได้ไตร่ตรองไว้ก่อน รวม 3 กระทง และเขาถูกตัดสินจำคุก 22.5 ปี
ภาพแนบ:ป้ายประท้วง “ฉันหายใจไม่ออก”
เหตุการณ์ฆ่าจอร์จ ฟลอยด์เป็นที่รับรู้ทั่วโลกทำให้เกิดการประท้วงต่อการใช้กำลังเกินกว่าเหตุ, การเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติและการขาดความรับผิดชอบของตำรวจ โดยกลุ่มที่โดดเด่นในการประท้วงครั้งนี้ ได้แก่ แบล็กไลฟ์แมตเตอร์ (BLM)
...จากคดีทั้งสามนี้จะเห็นได้ว่ากระแสเรียกร้องให้เอาผิดกับตำรวจเพิ่งจะมาแรงในช่วงหลัง แต่ถึงกระนั้นบางคนก็ยังมองว่าข้อหาที่โชวินได้รับยังถูกผ่อนให้เบาลงอยู่ดี
*** อ่านต่อใน comment นะครับ ***