รู้ซึ้งแล้วค่ะ ทำไมคนไทยส่วนใหญ่กลัวการไปแจ้งความทั้งที่ตัวเองเป็นเหยื่อ

เจอมากับตัวเอง 4 ครั้งในชีวิต ขอไม่ลงรายละเอียดนะคะ เพราะจะยาว
ครั้งที่1. เราไปแจ้งความต้องการตามหาหมาบีเกิ้ลของเรา2ตัว อยากให้ตำรวจช่วยตามหามันไม่ใช่หมาหายธรรมดาแต่เป็นหลอกเอาหมาเราไป 
มีหลักฐานปริ้นไปเป็นปึก คำแรกที่ตำรวจพูดต้อนรับเราคือ โอ้ยยย หาไม่เจอหรอก ทำใจซะ คนอื่นหายตั้งเยอะแยะ ทั้งๆที่เรามีที่อยู่ มีชื่อ มีรูป มีข้อมูลของคนที่เอาหมาเราไป ตำรวจบ่ายเบี่ยงปัดไม่ช่วย ให้แค่ลงบันทึกประจำวัน เราเสียใจทุรนทุราย มา7 ปี ที่ไม่เจอลูกสาวลูกชายเรา 
เราออกตามหาด้วยตัวเองเป็นเวลา2ปี ออกเดินทางไปตจว.ไปบ้านเค้าด้วยตัวเองเจอแต่ญาติเค้าไม่เจอหมา โทรไปไม่รับให้ญาติโทรหารับ บ่ายเบี่ยงไม่ยอมคืน ทำเราเสียใจหนักมากๆ กินไม่ค่อยได้เป็นเวลา2ปีเต็มๆ คิดถึงเค้าอย่างทรมาน

ครั้งที่2. เคยมีเหตุมีคนบุกมาหาเรื่องถึงที่บ้าน โทรแจ้ง191 บอกว่าจะมา จนทะเลาะกันจนจะเอาปืนยิงกันตายอยู่แล้ว
ผ่านไป6ปี จนเรามีสามีใหม่ย้ายบ้านใหม่แล้วตำรวจเค้ายังไม่มา 

ครั้งที่3. เราโดนคนที่เคยรู้จัก ทำร้ายร่างกายโดยการจงใจถอยรถให้ประตูชนเรา กระเด็นไปจนหัวโนอยู่6 เดือน มีคนรุมและเห็นเหตุการณ์เยอะมาก ตำรวจล้อมตัวคนนั้นแต่ไม่ทำอะไร  และจับตัวเราไว้ไม่ให้เราโกรธทำร้ายเค้ากลับ ตำรวจพาตัวเราไปโรงพัก และปล่อยคนนั้นไป เพียงเพราะเค้าเป็น ร.อ. 
พอไปถึงโรงพัก ตำรวจสลายหายตัวไปไม่คุยอะไรกับเราสักคำ งง ว่าพาเรามาโรงพักทำไม แล้วคนนั้นล่ะ แล้วที่เค้าถอยรถชนเราล่ะ สับสนไปหมด ไม่มีใครถามอะไรเราเลยว่าเกิดอะไรขึ้น เราคุยกับคนนั้นก็ไม่รู้เรื่องไม่สื่อสารกันด้วยดีเลย สรุปเรานั่งๆ นอนๆ ที่สน.ยันเช้า มีตำรวจผช.ซื้อข้าวผัดหมูมาให้กินแบบ งงๆ แล้วกลับบ้านทั้งแบบนั้น 

ครั้งที่4. เป็นผช.คนเดิมที่ ขับรถชนเรา แต่มันมีเหตุการณ์เรื่องราวมากมาย ตลอด10ปี เพิ่งปิดตำนาน เพราะคราวนี้เราปิดกั้นและแจ้งความลงบันทึนฃกประจำวันไว้เป็นหลักฐาน เพราะไม่ต้องการเอาเรื่อง อยากจบ อยากให้เค้าไม่ต้องมายุ่งเกี่ยวในชีวิตเราอีก 
มีหลักฐานทั้งหมดรวบรวม ว่าเค้าคุกคามและข่มขู่ บุกรุกอะไรยังไงบ้าง แต่ในวันที่เราไปแจ้งความแค่ ลงบันทึกประจำวัน
สิ่งที่เตรียมใจไว้แล้ว 50% คือ จะต้องเจอตำรวจ หรือพฤติกรรมที่ไม่น่ารักและแน่นอน เกินความคาดหมายค่ะ 90%
เราต้องทนอยู่ที่นั่น เพื่อให้การลงบันทึกประจำวันผ่านไปด้วยดี
ก่อนหน้านั้นเราโทรไปแจ้ง191 ว่ามีเค้ามาคุกคามเรา 
ตำรวจญ.ที่รับสายแจ้งว่าเราอยู่กับคู่กรณีไหม 
เราบอกว่าไม่ แต่เค้ากำลังมา  ตำรวจบอกให้เราไปแจ้งความก่อน แล้วรีบวางสาย 
แต่ย้อนกลับไป ที่เราเคยบอกว่าเราอยู่กับคู่กรณีในข้อ2 อยู่กัยคู่กรณีตำรวจก็ยังไม่มาอยู่ดี
สิ่งที่เราเจอ พฤติกรรมของตำรวจตอนที่ไปแจ้งความ 
ตำรวจบอกว่ารายละเอียดเราเยอะให้เราพิมพ์เอง ตอนนั้นอึ้งมาก คิดในใจว่าเป็นเราหรอ ใช่หน้าที่เราหรอ
แต่เค้าบอกว่ามันเป็นไมล์พิมพ์นะ พูดตามไมค์
จะเอารายละเอียดเยอะขนาดนี้เลยใช่ไหม 
เพื่อให้ความพอใจของตัวเองใช่ไหม 
เราตอบว่าใช่ค่ะ เพื่อความสบายใจตัวเอง

แล้วเราก็พิมพ์ข้อความตามที่เรา จดลำดับเหตุการณ์มา 
ตำรวจบอกว่ายาวจังเลยเอาแค่เหตุการณ์สำคัญพอ 
เรายืนยันว่าไม่สามารถตัดออกได้ไม่งั้นมันจะไม่รู้เรื่อง 
เค้าก็ไม่เชื่อ
เค้าบอกว่าเอาที่เท่าใจความสำคัญพอ 
เรายืนยันว่าต้องการพิมพ์ข้อความทั้งหมด 
เค้าก็เหมือนทำเป็นรำคาญและจำใจทำให้ 

สรุปสุดท้ายพิมพ์ไปพิมพ์มา ตำรวจยังไม่ทันได้อ่านจบ 
ตีความไปแล้วว่าเราติดเงินคนอื่น เท่าไร 
ตำรวจพูดแต่เรื่องเงินหยิบยกประเด็นเรื่องเงินมาเป็นอันดับแรก เพราะจับต้องได้ง่าย 
ไม่สนใจการทำร้าย/คุกคาม/ข่มขู่/ฯทางเพศ
เรายืนยันคำเดิมว่าไม่ใช่ประเด็นเรื่องเงิน แต่ ใจความสำคัญของเรื่องนี้คือการข่มขู่คุกคามและหลักฐานทุกอย่าง 
เค้าก็ทำซ้ำเดิมอีกประมาณว่าอ๊ะอ๊ะตามใจเราก็ได้ 
เพื่อความสบายใจของเรานะ จะได้พอใจ
พูดแต่คำว่าเราจะได้พอใจ แล้วพอเค้าอ่านข้อความทั้งหมดในสิ่งที่เราพิมพ์ไปใน คอมพิวเตอร์ ก็ถึงบางอ้อ เค้าบอกว่าถ้าไม่อ่านทั้งหมด
ก็ไม่รู้นะเนี่ยว่าเป็นแบบนี้ 

เราก็ตอบด้วยคำสุภาพว่าใช่ค่ะหนูเลยบอกไงคะว่าต้องพิมพ์ทั้งหมดถึงจะเข้าใจ 
ตำรวจเองก็เป็นคนช่วยเติมข้อความบางส่วนที่ขาดหายไปหรือไม่สมบูรณ์มันก็เยอะขึ้นเหมือนกัน 
เราไม่ได้ให้เค้าพิมพ์อะไรยาวขนาดนั้นเลยไม่ถึงสองหน้ากระดาษเต็ม  มีแต่ใจความสำคัญ 
พอพิมพ์จบแล้ว ตำรวจคนนี้หันไป คุยเรื่องของเรา ต่อหน้าต่อตาว่า เนี่ย ไอ้ นายคนนี้มัน บลาๆๆๆๆ  
แบบไม่ใช่คำปรึกษา และขำตลกๆ เราแยกไม่ออกว่าเครียด หรือขำเรา แต่ไม่อยากรับรู้อะไรแล้วหิวข้าวมาก 
นั่งอยู่ตรงนั้นชม.กว่า จนหิวข้าว 
ในตอนที่เรามีหลักฐานทุกอย่างครบถ้วน ตำรวจไม่ได้ขอดูหลักฐานอะไรเลยแต่เราก็ เปิดให้ดูอยู่นะคะ เราถามว่าตำรวจขอหลักฐานไหม เค้าบอกว่าไม่เป็นไรเอาเก็บไว้เถอะ เอาเก็บไว้กับเราให้ดี เราก็โอเค
พอกลับบ้านมาก็สบายใจขึ้นมาหน่อย
ถึงแม้ตำรวจจะแสดงพฤติกรรมที่ไม่ค่อยน่ารัก แต่ก็ยังดีกว่าบางคนที่ทำยิ่งกว่านี้ 
 มีเหตุการณ์ที่ก่อนหน้าหน้านั้นที่เราไปสน. ไม่ไกลจากบ้านมากนัก พอไปถึงตำรวจพูดเลยว่าคนละเขตกัน
ต้องไปแจ้งอีกทีนึง ยืนยันว่าต้องไปแจ้งอีกที่หนึ่งนึงคุณถาม Google ได้ยังไงเนี่ยตำรวจอยู่ตรงนี้ถามตำรวจนี่ 

ในตอนแรกเราขอความช่วยเหลือจากตำรวจว่า ถ้าอย่างนั้นพ่อจะเป็นไปได้มั้ยคะเพราะว่าหนูมาไกลมากเลยขอลงบันทึกประจำวันเอาไว้ก่อนเพราะว่าหนูรู้สึกว่าไม่ปลอดภัยเป็นอย่างมาก ตำรวจถามเราว่า เค้าคุกคามข่มขู่คุณตรงไหนประโยคไหน ยื่นให้ดูก็ไม่ดู ดูตำรวจก็พูดถึงแต่เรื่องเงินในเนื้อหาที่ฟังแค่ผ่านๆไปตั้งใจฟัง
ในตอนนี้  ตำรวจก็ยืนยันว่าให้เราไปแจ้งที่อื่นต้องไปที่สน. นี้ 
แต่ว่าเค้าก็ มีตำรวจบางคนที่ใจดีที่จะรับฟังเราอยู่ประมาณหนึ่งคน 
ตอนนั้นเราร้องไห้ด้วย แต่ในขณะที่เราร้องไห้มีเจ้าหน้าที่ผู้หญิงคนหนึ่งหัวเราะแล้วขำอยู่ตลอดเวลา ในสิ่งที่เรากำลังอธิบาย แบบไม่มารยาท 
จนเราเกือบจะฟิวส์ขาดถามกลับไปว่า หัวเราะอะไรคะ มันน่าขำหรอ 
แต่ก็ท่องเอาไว้ว่า มีสติใจเย็นๆ ตำรวจเยอะแยะ 

มีตำรวจ หลายคน พูดบอกกับเจ้าหน้าที่ที่กำลังสอบถามเรา ว่า ทำไมไม่พาไปคุยที่อื่นมาคุยอะไรตรงนี้ มานั่งร้องห่มร้องไห้ มันเสียงดัง 
แล้วตำรวจก็มาเท้าสะเอวเหมือนทำท่าจะไล่ เราก็เลยลุกยืนขึ้นบอกขอบคุณ  จะไปอีกที่หนึ่งตามที่แนะนำ สรุปสุดท้ายตำรวจที่คุยกับเราดีๆคนนึง เดินมาบอกเราว่า ที่บอกให้ไปอีกที่หนึ่งอ่ะมันผิดจริงๆแล้วมันต้องไปอีกที่หนึ่ง อ้าววว โอเคๆ เกือบไปละ 
แล้วตำรวจก็พูดกับเราว่า จริงๆแจ้งความไปก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไรหรอกก็แค่ใบบันทึกประจำวัน แล้วก็โอเคแค่ใบบันทึกประจำวันแล้วก็จะบันทึกประจำวัน 
ตอนนั้นเรากลับบ้านก็ 6 โมงแล้ว
วันต่อมา เราเลยไปสน. อีกที่ ก็เป็นอย่างที่เราเล่ามาว่าเจออะไร 


เหตุการณ์มันก็เป็นแบบนี้แหละค่ะ
ส่วนตัวเรามองว่า ตำรวจไทยที่ดีก็อาจจะมี
เราเชื่อว่าถ้าตำรวจเจอคนที่เดือดร้อนอยู่ต่อหน้าโดยที่ไม่ได้จงใจ ไปแจ้งความ ตำรวจจะดูแลประชาชนและสนใจเสมอ เป็นเรื่องของจิตใจพื้นฐาน ที่ดี แต่เมื่อไหร่ที่อยู่ในหน้าที่ อยู่ในสถานที่ทำงานคงจะงานเยอะ จนทำให้อาจจะละเลยบางสิ่งบางอย่างไป มีใครเคยเจอเหตุการณ์แบบนี้บ้างคะ

แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่