*** ประวัติศาสตร์รัสเซียใน 15 นาที ***

เวลาพูดถึงประเทศรัสเซีย ประโยคที่เราคุ้นเคยกันดี คือ “โหดสัส” แม้จะฟังดูตลก แต่เมื่อลองมองไปในประวัติศาสตร์แล้ว คำว่า “โหดสัสรัสเซีย” ไม่ได้เกินจริงที่จะนิยามประเทศนี้นัก

บทความนี้จะเล่าเรื่องราวของรัสเซีย ตั้งแต่ตำนานการตั้งประเทศ, การสร้างจักรวรรดิรัสเซีย, เรื่องของสหภาพโซเวียต, ยุคหลังสงครามเย็นไปจนถึงปัจจุบัน ทั้งหมดเป็นแบบรวดรัด เหมือน intro to รัสเซียให้ท่านพอทราบประวัติศาสตร์ของพวกเขาแบบคร่าวๆ ในเวลา 10 นาที



*** ยุคเทพนิยาย (ก่อนศตวรรษที่ 8): โปแลนด์ เชค รัสเซีย เป็นพี่น้องกัน ***

ชาวรัสเซียถือเป็นคนเชื้อชาติสลาฟ มีต้นกำเนิดบนแผ่นดินยูเรเซีย (ยุโรป+เอเซีย) มีเรื่องเล่าชาวสลาฟกล่าวไว้ว่า...
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีพี่น้องอยู่สามคน ชื่อ เลช, เชค, และรัส พวกเขาแยกกันไปหาอาหารโดยเลชไปทางตะวันตกเฉียงเหนือ รัสไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ และเชคไปทางใต้


ภาพแนบ: สามพี่น้องชาวสลาฟ

หลังจากเดินทางรอนแรมเผชิญความยากลำบากไปถึงทุ่งแห่งหนึ่งรัสก็หยุดพัก และตัดสินใจตั้งรกราก กลายเป็นจุดเริ่มต้นของประเทศรัสเซีย

สำหรับเลชนั้นแยกไปเป็นผู้ก่อตั้งโปแลนด์ และเชคแยกไปตั้งตั้งประเทศเชค นิทานเรื่องนี้เป็นตำนานที่รัสเซีย, โปแลนด์, และเชคมีร่วมกัน บ่งบอกว่าคนทั้งสามชาตินั้นมีรากเหง้าเดียวกัน


ภาพแนบ: ชาวนอร์ส

 *** เคียฟรัส (ค.ศ. 879 - 1240): อาณาจักรสลาฟผสมนอร์ส ***

แม้ตำนานจะบอกว่า ชาวรัสเซียเป็นสลาฟมาแต่ต้น นักวิชาการลงความเห็นว่า พวกเขาอาจจะสืบเชื้อสายมาจากชาวนอร์สในสวีเดน ไม่ใช่เป็นชาวสลาฟแท้ (ชาวนอร์สคือคนที่พูดภาษาตระกูลเยอรมัน ส่วนสลาฟพูดภาษาตระกูลสลาวิค ทั้งสองสายอยู่ในตระกูลอินโดยูโรเปียนเหมือนกัน)


ภาพแนบ: รูริก

มีตำนานที่พูดถึงเรื่องนี้บอกว่าในศตวรรษที่ 9 ชาวสลาฟทะเลาะเองกันหาความสงบมิได้ จึงมีการเชิญชาวนอร์สที่มีความสามารถทางการสู้รบมาปกครองตน
ผู้ที่ถูกเชิญมาคือพระเจ้ารูริกซึ่งมาตั้งรกรากที่เมืองนอฟโกรอดในปี 862 จากนั้นชาวนอร์สกลุ่มรูริกได้ผสมผสานกับชนเผ่าพื้นเมือง เช่น สลาฟ, บอลติค, และฟินนิค และรับวัฒนธรรมสลาฟมาปฏิบัติ จนกลายเป็นต้นกำเนิดคนรัสเซียปัจจุบัน


ภาพแนบ: พื้นที่โดยคาดการณ์ของสหพันธ์เคียฟรัส

ในลักษณะนี้ราชวงศ์แรกของชาวรัสจึงมีชื่อว่า “ราชวงศ์รูริก” ตามปฐมกษัตริย์ วงศ์วานของเขาได้แผ่ขยายไปเรื่อยๆ ก่อนตั้งเมืองหลวงใหม่ที่กรุงเคียฟ (ปัจจุบันอยู่ในประเทศยูเครน) พวกเขาผูกมิตรกับสลาฟเผ่าต่างๆ ตั้งเป็นสหพันธ์หลวมๆ ชื่อว่าเคียฟรัส (อ่านว่า เคียบ - รัด)

...อย่างไรก็ตามสหพันธ์ดังกล่าวได้ถึงกาลล่มสลายเพราะโดนพวกมองโกลบุกตี, ฆ่าล้าง, และยึดครองเป็นเมืองขึ้นด้วยกันหมดในช่วงศตวรรษที่ 13


ภาพแนบ: มอสโกสมัยนั้น 

*** แกรนด์ดัชชีแห่งมอสโก (ค.ศ. 1263 - 1547): การปลดแอกจากมองโกล ***

หลังยุคเคียฟรัส รัสเซียได้แตกเป็นหลายเมืองอยู่ใต้อำนาจมองโกล ในปี 1263 มีการตั้ง “แกรนด์ดัชชีแห่งมอสโก” (Grand Duchy of Moscow) ขึ้นในฐานะเมืองบริวารของมองโกลเช่นกัน

กรุงมอสโกนั้นมีชัยภูมิดี มีแม่น้ำผ่าน มีป่าเป็นปราการธรรมชาติ เป็นเส้นทางการค้าขายสำคัญในภูมิภาค ปัจจัยต่างๆ ทำให้บ้านเมืองพัฒนาไปอย่างรวดเร็วจนมีอำนาจมาก ต่อมาศาสนจักรรัสเซียนออโธด็อกซ์ที่เคยอยู่ที่เคียฟ ได้ย้ายมาอยู่มอสโกนี้ยิ่งทำให้เมืองรุ่งเรืองขึ้นอีก



ล่วงถึงศตวรรษที่ 14 มองโกลเสื่อมอำนาจลง เกิดสงครามคูลิโคโวที่ชาวรัสก่อการต่อต้านมองโกลในปี 1380

ครั้งนั้นชาวรัสเป็นฝ่ายชนะ จึงสามารถแผ่ขยายอำนาจผ่านการทูตและการศึกอื่นๆ จนมีอาณาเขตกว้างใหญ่ขึ้นเป็นอันมาก แม้กระนั้นก็ยังไม่อาจลบอิทธิพลของมองโกลได้หมด


ต่อมาช่วงศตวรรษที่ 15 แกรนด์ดัชชีแห่งมอสโกมีกษัตริย์ที่โดดเด่นชื่อพระเจ้าอีวานที่ 3 เป็นเชื้อสายราชวงศ์รูริก (ตำแหน่งภาษาอังกฤษของเขาคือว่า Prince แต่ผมแปลเป็นกษัตริย์เพื่อเข้าใจง่าย)

อีวานที่ 3 สามารถแผ่ขยายอาณาจักรออกไปจนกว้างกว่าเดิม 3 เท่า กระทั่งมีความคิดว่า “มอสโกจะกลายเป็นกรุงโรมแห่งใหม่”


ภาพแนบ: พระเจ้าอีวานที่ 3 ฉีกจดหมายชาวมองโกลประกาศศึก

ประกอบกับตอนนั้นอาณาจักรไบแซนไทน์ซึ่งเป็นผู้สืบทอดของอาณาจักรโรมันโบราณถูกพวกเติร์กตีแตก อีวานเลยแต่งงานกับเจ้าหญิงแห่งไบแซนไทน์ แล้วตั้งตนเป็นเจ้าเหนือผู้ปกครองอื่นๆ ในยุโรปตะวันออก

เขาเปิดศึกใหญ่กับมองโกลอีก และสามารถขับไล่มองโกลออกไปได้หมดในปี 1480 ทำให้อีวานที่ 3 ได้รับการยกย่องเป็น “พระเจ้าอีวานมหาราช”


ภาพแนบ: อีวานที่ 4 รู้สึกผิดหลังฆ่าลูก

*** อาณาจักรรัสเซีย (ค.ศ. 1547 - 1721): รัสเซียขึ้นเป็นมหาอำนาจ ***

หลานของอีวานที่ 3 คือพระเจ้าอีวานที่ 4 ได้ขึ้นครองราชย์ในปี 1547 เขาเป็นคนเริ่มใช้คำว่า “พระเจ้าซาร์” เรียกตัวเองเป็นครั้งแรก อนึ่งคำว่าซาร์นี้มาจากคำว่า “ซีซาร์” ซึ่งเป็นคำเรียกจักรพรรดิโรมัน ส่งผลให้แกรนด์ดัชชีแห่งมอสโกกลายเป็น “อาณาจักรรัสเซีย” อย่างเต็มภาคภูมิ

อนึ่งอีวานที่ 4 เป็นคนคลุ้มคลั่ง เขามักฆ่าล้างผู้ต่อต้านด้วยวิธีโหดสัส กรณีที่มีชื่อเสียงคือการที่เขาขาดสติสังหารบุตรตนเอง ทำให้ถูกเรียกว่า “อีวานผู้ชั่วร้าย” (Ivan the Terrible)



และเมื่อบุตรที่ถูกสังหารนั้นเป็นเจ้าชายรัชทายาท ตำแหน่งผู้สืบทอดของอีวานที่ 4 จึงตกสู่บุตรอีกคนที่ไร้ความสามารถ และทำให้รัสเซียยุคหลังจากนั้นตกอยู่ในความวุ่นวาย

โดยในช่วงปี 1598 - 1613 นั้นพวกเขาต้องประสบทั้งปัญหาสงครามกับประเทศเพื่อนบ้าน, ปัญหาภัยธรรมชาติ, ปัญหาความอดอยาก ฯลฯ นับว่าร้ายแรงมาก จนถูกเรียกภายหลังว่า “ยุคแห่งปัญหา” (Time of Troubles)


ภาพแนบ: มิคาอิล โรมานอฟ

อย่างไรก็ตาม เมื่อทุกอย่างคลี่คลายได้มีการตั้งสมัชชาแห่งชาติขึ้น ประกอบด้วยตัวแทนจาก 50 เมืองและชาวบ้านอีกจำนวนหนึ่ง

สมัชชาลงมติให้ “มิคาอิล โรมานอฟ” ผู้เป็นญาติห่างๆ ของพระเจ้าซาร์องค์ก่อน ขึ้นมาปกครองรัสเซีย เป็นการสิ้นราชวงศ์รูริกซึ่งปกครองรัสเซียมานาน และเป็นจุดเริ่มต้นของราชวงศ์โรมานอฟที่ยืนยาวต่อไปถึงสามร้อยปี...



ในช่วงนี้สิ่งที่ควรกล่าวถึงคือรัสเซียได้ทำสงครามกับอาณาจักรของชาวเติร์กในไซบีเรีย ยิ่งตีก็ยิ่งบุกลึกไปทางตะวันออกเรื่อยๆ จนบรรลุถึงชายฝั่งแปซิฟิกในปี 1639 เรียกว่าขยายอาณาเขตอย่างโหดสัส ทำให้รัสเซียกลายเป็นประเทศที่ใหญ่ที่สุดในโลกจนปัจจุบัน 


ภาพแนบ: พระเจ้าปีเตอร์ 
 
ต่อมาในปี 1682 รัสเซียได้มีกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ชื่อ “พระเจ้าปีเตอร์” เขาเห็นว่าประเทศตนยังล้าหลังมากหากเทียบกับชาติยุโรปอื่นๆ จึงพยายามปฏิรูปประเทศทั้งในแง่การปกครอง, อุตสาหกรรม, การค้า, เทคโนโลยี ฯลฯ

ปีเตอร์เล็งเห็นว่าแม้รัสเซียมีทางออกทะเลแต่ใช้ในหน้าหนาวไม่ได้ เลยคิดตีเอาท่าเรือจากอาณาจักรออตโตมัน ซึ่งตอนนั้นครองทะเลดำอยู่ (อนึ่งออตโตมันคืออาณาจักรเดียวกับที่ตีไบแซนไทน์แตก พวกเขาเคยพีคมาก แต่เนื่องจากรัสเซียมีความโหดสัสจึงคิดว่าตัวเองสามารถตีได้)


ภาพแนบ: กองทัพเรือรัสเซียของพระเจ้าปีเตอร์

พื่อขอให้ผู้นำต่างๆ สนับสนุนการศึกครั้งนี้ ปีเตอร์ได้เดินทางไปประเทศยุโรปต่างๆ แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ

กระนั้นการได้ดูงานต่างประเทศทำให้ปีเตอร์เรียนรู้อะไรมากมาย โดยเฉพาะเทคนิคการต่อเรือที่เนเธอแลนด์เพื่อนำมาสร้างกองทัพเรืออันแข็งแกร่ง



ปีเตอร์ยังได้เรียนวิชาสร้างเมืองจากอังกฤษ และนำมาสร้างมหานครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ซึ่งในภายหลังได้เป็นเมืองหลวงของรัสเซียต่อมาอีกหลายร้อยปี

ปีเตอร์รบกับสวีเดนเป็นศึกใหญ่ และได้รับชัยชนะ จึงประกาศให้รัสเซียมีสถานะเป็นจักรวรรดิในปี 1721 ผลงานเหล่านี้ทำให้ผู้คนยกย่องเขาเป็น “พระเจ้าปีเตอร์มหาราช”



*** จักรวรรดิรัสเซีย (ค.ศ. 1721-1917): จักรวรรดิอันยิ่งใหญ่แต่ล้าหลัง ***

ช่วงปลายสมัยพระเจ้าปีเตอร์มหาราช เขาได้รบกับอาณาจักรซาฟาวิดของชาวเปอร์เซีย อันเป็นอาณาจักรใหญ่แห่งเอเชียกลางในยุคนั้นและได้รับชัยชนะ ทำให้รัสเซียมีอำนาจเหนือดินแดนคอเคซัสและทะเลแคสเปียน

แต่นั้นมาจักรวรรดิรัสเซียรุ่งเรืองขึ้นโดยลำดับ กลายเป็นมหาอำนาจใหญ่ทางตะวันออก ซึ่งมีกำลังมากพอจะคานกับมหาอำนาจตะวันตกเช่นอังกฤษ หรือฝรั่งเศสได้


ภาพแนบ: พระจักรพรรดินีแคเธอรีนที่ 2

ในปี 1762 - 1796 รัสเซียได้มหาราชอีกคนหนึ่งเป็นผู้หญิงชื่อพระจักรพรรดินีแคเธอรีนที่ 2 แคเธอรีนพัฒนาบ้านเมืองด้วยความเมตตา ยกเลิกภาษีที่ไม่จำเป็น เช่นภาษีขนมปัง และได้ยกเลิกสิทธิการทรมานหรือฆ่าทาสติดที่ดิน แม้กระทั่งตอนเกิดกบฏนางก็ยังสั่งให้เพชฌฆาตฆ่ากบฏเสียโดยไม่ต้องทรมานก่อน แสดงให้เห็นถึงความเด็ดขาด แต่ก็มีมนุษยธรรม

แคเธอรีนยังเป็นผู้ปกครองคนแรกที่คิดยกเลิกระบบทาสติดที่ดิน (แต่ยังไม่ได้ทำ) ซึ่งนางได้มีกระแสรับสั่งไว้ว่าทาสเหล่านั้น “ก็มีดีเท่าๆ กับที่เราเป็น” ซึ่งทำให้เจ้านายองค์อื่นๆ ไม่ชอบนางนัก แต่ได้ใจชาวบ้านมาก ยุคนั้นประเทศรัสเซียยังได้แผ่ขยายไปอีกราว 520,000 ตารางกิโลเมตร


ภาพแนบ: นโปเลียนเผชิญความหนาวโหดสัสของรัสเซีย

 ในปี 1812 จักรพรรดินโปเลียนแห่งฝรั่งเศสผู้เป็นยอดนักรบได้พยายามบุกตีรัสเซีย แม้กองทัพของนโปเลียนจะแข็งแกร่ง และสามารถยึดกรุงมอสโกสำเร็จ แต่ก็ถูกทัพรัสเซียตีทำลายทรัพยากรจนเหนื่อยล้า

...และเมื่อต้องเผชิญกับความจริงที่ว่าหน้าหนาวของรัสเซียนั้นโหดสัส ฝ่ายฝรั่งเศสก็ไม่มีทางเลือกอื่นอีกนอกจากล่าถอย


ภาพแนบ: พระเจ้าอเล็กซานเดอร์ 

 รัสเซียร่วมมือกับพันธมิตรรุกไล่ทัพนโปเลียนไปถึงกรุงปารีส และบีบให้นโปเลียนต้องสละราชสมบัติ ทำให้พระเจ้าอเล็กซานเดอร์แห่งรัสเซีย (ครองราชย์ 1801 - 1825) ได้รับการยกย่องเป็น “ผู้ปลดปล่อยยุโรป”

ในยุคนั้นจักรวรรดิรัสเซียแม้ทรงพลังแต่ก็ล้าหลัง อเล็กซานเดอร์มีความพยายามปฏิรูปประเทศให้ทันมหาอำนาจตะวันตก ซึ่งตอนนั้นปฏิวัติอุตสาหกรรมกันหมดแล้ว แต่เขาประสบความสำเร็จไม่มาก


ภาพแนบ: พระเจ้านิโคลัสที่ 1 

ยุคถัดมา พระเจ้านิโคลัสที่ 1 (1825 - 1855) ได้พบการปฏิวัติโดยกลุ่มปัญญาชนรัสเซีย

...การปฏิวัติครั้งนั้นล้มเหลว และทำให้นิโคลัสที่ 1 ตัดสินใจพัฒนาประเทศแบบชาตินิยมเบ็ดเสร็จ ซึ่งทำให้ความพยายามปฏิรูปที่พระเจ้าอเล็กซานเดอร์วางมานั้นยิ่งแผ่วไป

*** อ่านต่อใน comment นะครับ ***
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่