เล่าเรื่องการเก็บเงินไว้ในการผ่อนบ้านและที่ดิน แบบอยู่อย่างจนกว่ารายได้ และรักษาคุณภาพชีวิตครอบครัวแบบพอดีไม่ได้แย่
ผมล็อกเงินเก็บไว้ที่ การผ่อนบ้านและที่ดิน เพราะสังเกตุครอบครัวจะเก็บเงินไม่ค่อยได้ มีเรื่องต้องจ่ายเป็นประจำ จึงหาจุดร่วมของผมกับภรรยา ต้องการมีอะไรเป็นทรัพย์สินในชีวิต ก็ได้ว่าภรรยาอยากมีบ้านเป็นของตนเอง เพราะเกิดมาพ่อแม่ก็ลำบากไม่เคยมีบ้านของตนเอง ส่วนผมอยู่บ้านพ่อแม่ที่เป็นของตนเองพ่อแม่ไม่ได้ลำบากเรื่องเงินทอง แต่ต้องการมีบ้านสักหลังให้คนเช่า จะได้กินค่าเช่ายามเกษียณ
ดังนั้นเมื่อมีจุดร่วมกันในการฝันว่าจะมีบ้านของตนเองในกรุงเทพฯ ของเด็กต่างจังหวัดทั้งคู่ เราสามีภรรยาต้องอดทนความลำบากมากขึ้นพอได้ เพื่อได้ตามความฝัน โดยเริ่มจากเรามีเงินและทรัพย์สิน 0 บาทมีลูกอ่อนอีก 1 คน ต้องอาศัยเข้าอยู่ แบบยังมีรายได้ไม่พอค่าเช่า งานการก็ยังไม่มันคง เป็นลูกจ้างเงินเดือนยังน้อยๆ อยู่ ซึ้งต้องประหยัดอย่างมาก จนภรรยาทนไม่ได้ ผมต้องลดการตึงเครียดลงโดยมีเงินเก็บ 0 บาทในฝั่งผม (ต่อไปผมจะกล่าวถึงรายได้ของผมฝั่งเดียว เพราะภายหลังผมผลักดันให้ภรรยาไปสอบรับราชการ เงินเดือนเขาคงไม่พอที่จะผ่อนค่าบ้านและที่ดินได้)
เมื่อปี 2531 อายุ 29 ปี
เริ่มต้นการตั้งตัวเมื่อปี 2531 (ก่อนหน้านั้นมีการเปลี่ยนงานมาหลายครั้งและลำบากทุกรักทุเร แบบจนสุดๆ เพราะไม่คิดวางแผนมีครอบครัวมาก่อน
มุ่งมั่นในการปฏิบัติธรรมมาตลอดตั้งแต่จบ ป.ตรี ฟิสิกส์มาเมื่อ อายุ 23-24 ปี พ.ศ 2525-26)
เงินเดือน 3 - 3.4 พันบาท (เงินเดือนราชการแรกเข้าระดับ ป.ตรี ประมาณ 2.7 พันบาท) เริ่มพอมีเงินเช่าห้องเล็กๆ อยู่ 3 คนพ่อแม่ลูก ล็อกเงินเก็บเป็นการผ่อนดาวส์คอนโดเล็กๆ 27 ตรม. สมัยนั้น ราคาประมาณ 3 แสน (สมัยนี้ 23-25 ตรม. ติดรถไฟฟ้าก็ราคามากกว่าล้าน) และพยายามพัฒนาตนเองในการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ จากไม่เคยเรียนมาก่อนเลยในมหาลัย มุ่งไปสู่การเป็นโปรแกรมเมอร์ให้ได้ แบบศึกษาเองเรียนรู้เองไม่ได้เข้าคอร์สไปเรียนที่ใหน (และให้ภรรยาไปสอบรับราชาการปี 2534 เงินเดือน 4.2 พัน)
หลังจากนั้นเปลี่ยนงาน 2 ครั้ง เงินเดือน 0.5 - 1.1 หมื่นบาท ขายดาวส์คอนโดได้ 9 หมื่น มาผ่อนดาวส์ทาวเฮ้าช้นเดียว 21 ตรว. ราคา 4.7 แสน (ราคาปัจจุบัน 1 ล้านได้) ต้องทำงานสอนพิเศษคอมพิวเตอร์พื้นฐาน เวิดส์จุฬา โลตัส ดีเบส อยู่ 2 ปี และพัฒนาการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ด้วยตนเองแม้ สมัครงานเป็นโปรแกรมเมอร์ยังไม่มีใครรับ รวมเป็นเวลา 5 ปี ที่พยายามพัฒนาตนเองในการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ จนสามารถเขียนโปรแกรมระบบควบคุมทั้งสตอ็กได้หลายๆ สต็อกและ POS ณ.จุดขาย หลายๆ จุด ระดับห้างสรรพสินค้าขนาด เล็ก-กลางได้ ที่สามารถมีสาขาได้หลายๆ สาขา เพราะผมมีประสบการณ์ในการทำงานเป็นชัพพอร์ตของระบบเหล่านี้ จึงเห็นและเข้าใจระบบดี
เปลี่ยนงานอีกครั้งได้ตำแหน่งโปรแกรมเมอร์ครั้งแรก เงินเดือน 1.5 - 1.55 หมื่นบาท ทำงานได้ปีกว่า ผ่อนบ้านเพิ่มอีก 1 หลังเป็นทาวส์เฮ้า 2 ขั้น 18 ตรว. ราคา 9.2 แสน (เป็นช่วงราคาบ้านสูงสุดในสมัยนั้นก่อนปี 2540 ราคาตลาดปัจจุบันประมาณ 1.2 ล้าน+)
เปลี่ยนงานอีกครั้ง พ.ศ 2539 ระดับผู้ช่วยผู้จัดการและเขียนโปรแกรมคุมระบบทั้งบริษัท เริ่มเงินเดือน 2.5 หมื่น ซึ่งเงินเดือนมากกว่าภรรยาที่รับราชการระดับ ชี 5 เกือบ 4 เท่า และผมมีเงินเก็บส่วนตัว 0 บาทมาตลอด จนเป็นผู้จัดการ (ครั้งนี้อยู่ยาวอายุงาน 23 ปี จนเกษียณ 60 ปี ซึ่งชีวิตไม่ตกต่ำอีกเลยทั้งแต่นั้นเป็นต้นมา)
มีรถยนตร์เก่าอายุ 7 ปี นิสสัน B13 ราคา 1 แสนบาทแบบผ่อน ขับในครั้งแรกของชีวิตปาอายุ 40 ปีแล้ว ทำงานมาได้ 3 ปีภรรยาเริ่มยากมีบ้านเดียว 2 ชั้น 50 ตรว. อีก ผมก็ขอให้ภรรยารอไว้ก่อน เพื่อให้ผมพอได้มีเงินเก็บส่วนตัวมากกว่า 5 หมื่นบาทก่อน และเงินเดือนขึ้นมากกว่านี้หน่อย อีก 2 ปีต่อมาผมก็บอกให้ภรรยาและลูกคนโต(อยู่ ม.1-2) หาบ้านได้เลย
เงินเดือน 3.5 หมื่นบาท ผ่อนบ้านเพิ่มอีก 1 หลังเป็นบ้านเดียว 2 ชั้น 51 ตรว. ราคา 1.5 ล้าน (สมัย 2545 ราคาปัจจุบันก็ขึ้นมาเป็นเท่าตัว) (รวมราคาซื้อบ้าน 4.7 + 9.2 + 15 แสน = 2.89 ล้านบาท) ผมขายรถนิสสันนั้นไปได้เงินมา 5 หมื่น ได้รถคันใหม่บริษัทให้ใช้ฟรี เต็มน้ำมันเอง อยู่ 2 ปี ผมแบกผ่อนบ้าน 3 หลังอยู่พักหนึ่ง แล้วขายบ้านชั้นเดียวทิ้งไป เอามาโปะบ้านทาวเฮ้า 2 ชั้น จึงมีบ้าน 2 หลัง (รวมราค่าซื้อ 2.42 ล้าน) ให้เช่าทาวเฮ้า 2 ชั้น เดือนละ 3 พันบาท(ซื้อมาแพงในสมัยก่อนแต่ได้ค่าเช่ามาเกินคุ้ม) เป็นรายได้เพิ่ม และได้ผ่อนรถคันใหม่มือสอง วีฮอส อายุ 1 ปี ราคา 4.7 แสนขับ
เงินเดือน 4.5 - 5.2 หมื่นบาท(ถื่อว่าเยอะพอประมาณกับตำแหน่งในสมัยนั้น) มีเงินเก็บส่วนตัวประมาณ แสนบาท ได้มีโอกาสซื้อผ่อนรถป้ายแดงครังแรกในชีวิต ราคา 7-8 แสน เป็นอีชูชู 4 ประตูยกสูง ผ่อนทาวเฮ้ากำลังหมด จึงเอาเข้าธนาคารใหม่ ได้ที่ดินจว.ปริมนทล 1.2 ไร่ ราคาตอนนั้นประมาณ 3 แสนบาท และได้ที่ดินในชานกรุงเทพฯ 100 ตรว.ราคาตอนนั้น 2.3 แสนบาท (ทั้ง 2 แปลง ราคาปัจจุบันขึ้นมาเท่าตัวกว่า ยิ่งที่ดินชาน กทม. ขึ้นมาเยอะที่เดียว) และก่อนเกษียณ 3 ปี ผ่อนคอนโดใหม่ติดรถไปไฟฟาราคาถูกไม่เกิน 1 ล้านประมาณ 8.2 แสนรวมบิวแล้ว(ราคาปัจจุบัน 1 ล้านขึ้น) ได้อีก 1 ห้อง ให้เช่า และรวมๆ ได้จ่ายค่าดูแลแม่ที่นอนติดเตียงเป็นเวลา 7 ปี ซึ่ง 5 ปีหลังจ่ายเยอะ เพราะไม่มีใครรับ พี่ๆ ก็ไม่มีเงินกัน ผมก็หมดไปประมาณ 1 ล้านกว่า ก็ด้วยเหตุนี้ ตามที่วางแผนไว้ผมควรมีเงินเก็บส่วนประมาณ 2 ล้านบาทตอนเกษียณพอดี ก็ไม่ได้ตามแผนแน่ จึงเปลี่ยนวิกฤตไปหาโอกาสใหม่ โดยซื้อผ่อนคอนโดนั้น โดยเอาค่าเช่าผ่อนตัวมันเองบวกเงินเพิ่มเข้าไป
ทั้งบ้าน 2 ที่ดิน 2 รถ 1 คัน นั้นผ่อนหมดปิดหนี้ก่อนเกษียณประมาณ 2 ปี แล้วคอนโดก็โปะปิดหนึ้ภายใน 3 ปี ที่เป็นปีเกษียณ 60 ปีพอดี ทุกอย่างนั้นได้มาจากเงินเดือนเพียวๆ ของมนุษย์เงินเดือน ที่ยอมอยู่อย่างจนกว่ารายได้ และรักษาคุณภาพชีวิตครอบครัวแบบพอดี และพัฒนาทั้งครอบครัว ทั้งภรรยาและลูกอีก 2 คนยกมาทั้งแผ่ง
ภรรยารับราชการจนเกษียณ(เออรรี ออกมาก่อน 4 ปี ด้วยสุขภาพไม่ดี) ในระดับชี 8 เป็น ผอ. กินเงินบำนาญในปัจจุบัน
ลูกคนโต จบ ป.ตรี วิศวคอม ม.มหิดล เกียรต์นิยมอันดับ 2. จบ ป.โท จุฬา หน้าที่การงานเงินเดือนก็ดี และครอบครัวเขาเหมือนจะเดินตามแบบผม แต่สบายกว่าผมเยอะๆ มาก ด้วยต้นทุนที่สูง ไม่ลำบากเหมือนผมกับภรรยา ที่ทุระทุเร กระแต็งๆ แบบจนๆ เป็น 10 ปี
ลูกคนเล็ก จบ ป.ตรี ม.พะเยา ภาษาญีปุ่น เกียรติ์นิยมอันดับ 2 โชคไม่ดีหน่อยจบประมาณในช่วงวิกฤตโควิด จากรับเงินเดือนเป็นล่ามฟรีแล้นส์เงินเดือน 2.3 หมืน มารับเงินเดือน 1 หมื่น แล้วตกงาน ผมจึงดึงตัวมาทำงานกับผมในงาน it เขากลับชอบและทำได้อย่างดี
และด้วยบ้านและคอนโดที่ผมพยายามลงทุนไปนั้นแหละเมื่อผมเกษียณแล้วผมจึงมีรายได้กับมัน บวกกับเงินบำนาญประกันสังคม และจากปันผลหุ้นและกำไรจากกองทุน แบบพอดีสำหรับคนแก่อย่างผมที่เหมาะกับอุปนิสัยของผม
กระทู้นี้ผมได้ตั้งควบคู่กับกระทู้ทางธรรม เพราะผมดำเนินชีวิตควบคู่กันมาตั้งแต่เด็ก จนแก่อายุย่าง 63 ปี ดังในกระทู้นี้
https://pantip.com/topic/40996729 ก็จะเห็นชีวิตทั้งสองด้านทางธรรมและทางโลกควบคู่กันไปแบบไม่แยกกันเลย
เล่าเรื่องการเก็บเงินไว้ในการผ่อนบ้านและที่ดิน แบบอยู่อย่างจนกว่ารายได้ และรักษาคุณภาพชีวิตครอบครัวแบบพอดี
ผมล็อกเงินเก็บไว้ที่ การผ่อนบ้านและที่ดิน เพราะสังเกตุครอบครัวจะเก็บเงินไม่ค่อยได้ มีเรื่องต้องจ่ายเป็นประจำ จึงหาจุดร่วมของผมกับภรรยา ต้องการมีอะไรเป็นทรัพย์สินในชีวิต ก็ได้ว่าภรรยาอยากมีบ้านเป็นของตนเอง เพราะเกิดมาพ่อแม่ก็ลำบากไม่เคยมีบ้านของตนเอง ส่วนผมอยู่บ้านพ่อแม่ที่เป็นของตนเองพ่อแม่ไม่ได้ลำบากเรื่องเงินทอง แต่ต้องการมีบ้านสักหลังให้คนเช่า จะได้กินค่าเช่ายามเกษียณ
ดังนั้นเมื่อมีจุดร่วมกันในการฝันว่าจะมีบ้านของตนเองในกรุงเทพฯ ของเด็กต่างจังหวัดทั้งคู่ เราสามีภรรยาต้องอดทนความลำบากมากขึ้นพอได้ เพื่อได้ตามความฝัน โดยเริ่มจากเรามีเงินและทรัพย์สิน 0 บาทมีลูกอ่อนอีก 1 คน ต้องอาศัยเข้าอยู่ แบบยังมีรายได้ไม่พอค่าเช่า งานการก็ยังไม่มันคง เป็นลูกจ้างเงินเดือนยังน้อยๆ อยู่ ซึ้งต้องประหยัดอย่างมาก จนภรรยาทนไม่ได้ ผมต้องลดการตึงเครียดลงโดยมีเงินเก็บ 0 บาทในฝั่งผม (ต่อไปผมจะกล่าวถึงรายได้ของผมฝั่งเดียว เพราะภายหลังผมผลักดันให้ภรรยาไปสอบรับราชการ เงินเดือนเขาคงไม่พอที่จะผ่อนค่าบ้านและที่ดินได้)
เมื่อปี 2531 อายุ 29 ปี
เริ่มต้นการตั้งตัวเมื่อปี 2531 (ก่อนหน้านั้นมีการเปลี่ยนงานมาหลายครั้งและลำบากทุกรักทุเร แบบจนสุดๆ เพราะไม่คิดวางแผนมีครอบครัวมาก่อน
มุ่งมั่นในการปฏิบัติธรรมมาตลอดตั้งแต่จบ ป.ตรี ฟิสิกส์มาเมื่อ อายุ 23-24 ปี พ.ศ 2525-26)
เงินเดือน 3 - 3.4 พันบาท (เงินเดือนราชการแรกเข้าระดับ ป.ตรี ประมาณ 2.7 พันบาท) เริ่มพอมีเงินเช่าห้องเล็กๆ อยู่ 3 คนพ่อแม่ลูก ล็อกเงินเก็บเป็นการผ่อนดาวส์คอนโดเล็กๆ 27 ตรม. สมัยนั้น ราคาประมาณ 3 แสน (สมัยนี้ 23-25 ตรม. ติดรถไฟฟ้าก็ราคามากกว่าล้าน) และพยายามพัฒนาตนเองในการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ จากไม่เคยเรียนมาก่อนเลยในมหาลัย มุ่งไปสู่การเป็นโปรแกรมเมอร์ให้ได้ แบบศึกษาเองเรียนรู้เองไม่ได้เข้าคอร์สไปเรียนที่ใหน (และให้ภรรยาไปสอบรับราชาการปี 2534 เงินเดือน 4.2 พัน)
หลังจากนั้นเปลี่ยนงาน 2 ครั้ง เงินเดือน 0.5 - 1.1 หมื่นบาท ขายดาวส์คอนโดได้ 9 หมื่น มาผ่อนดาวส์ทาวเฮ้าช้นเดียว 21 ตรว. ราคา 4.7 แสน (ราคาปัจจุบัน 1 ล้านได้) ต้องทำงานสอนพิเศษคอมพิวเตอร์พื้นฐาน เวิดส์จุฬา โลตัส ดีเบส อยู่ 2 ปี และพัฒนาการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ด้วยตนเองแม้ สมัครงานเป็นโปรแกรมเมอร์ยังไม่มีใครรับ รวมเป็นเวลา 5 ปี ที่พยายามพัฒนาตนเองในการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ จนสามารถเขียนโปรแกรมระบบควบคุมทั้งสตอ็กได้หลายๆ สต็อกและ POS ณ.จุดขาย หลายๆ จุด ระดับห้างสรรพสินค้าขนาด เล็ก-กลางได้ ที่สามารถมีสาขาได้หลายๆ สาขา เพราะผมมีประสบการณ์ในการทำงานเป็นชัพพอร์ตของระบบเหล่านี้ จึงเห็นและเข้าใจระบบดี
เปลี่ยนงานอีกครั้งได้ตำแหน่งโปรแกรมเมอร์ครั้งแรก เงินเดือน 1.5 - 1.55 หมื่นบาท ทำงานได้ปีกว่า ผ่อนบ้านเพิ่มอีก 1 หลังเป็นทาวส์เฮ้า 2 ขั้น 18 ตรว. ราคา 9.2 แสน (เป็นช่วงราคาบ้านสูงสุดในสมัยนั้นก่อนปี 2540 ราคาตลาดปัจจุบันประมาณ 1.2 ล้าน+)
เปลี่ยนงานอีกครั้ง พ.ศ 2539 ระดับผู้ช่วยผู้จัดการและเขียนโปรแกรมคุมระบบทั้งบริษัท เริ่มเงินเดือน 2.5 หมื่น ซึ่งเงินเดือนมากกว่าภรรยาที่รับราชการระดับ ชี 5 เกือบ 4 เท่า และผมมีเงินเก็บส่วนตัว 0 บาทมาตลอด จนเป็นผู้จัดการ (ครั้งนี้อยู่ยาวอายุงาน 23 ปี จนเกษียณ 60 ปี ซึ่งชีวิตไม่ตกต่ำอีกเลยทั้งแต่นั้นเป็นต้นมา)
มีรถยนตร์เก่าอายุ 7 ปี นิสสัน B13 ราคา 1 แสนบาทแบบผ่อน ขับในครั้งแรกของชีวิตปาอายุ 40 ปีแล้ว ทำงานมาได้ 3 ปีภรรยาเริ่มยากมีบ้านเดียว 2 ชั้น 50 ตรว. อีก ผมก็ขอให้ภรรยารอไว้ก่อน เพื่อให้ผมพอได้มีเงินเก็บส่วนตัวมากกว่า 5 หมื่นบาทก่อน และเงินเดือนขึ้นมากกว่านี้หน่อย อีก 2 ปีต่อมาผมก็บอกให้ภรรยาและลูกคนโต(อยู่ ม.1-2) หาบ้านได้เลย
เงินเดือน 3.5 หมื่นบาท ผ่อนบ้านเพิ่มอีก 1 หลังเป็นบ้านเดียว 2 ชั้น 51 ตรว. ราคา 1.5 ล้าน (สมัย 2545 ราคาปัจจุบันก็ขึ้นมาเป็นเท่าตัว) (รวมราคาซื้อบ้าน 4.7 + 9.2 + 15 แสน = 2.89 ล้านบาท) ผมขายรถนิสสันนั้นไปได้เงินมา 5 หมื่น ได้รถคันใหม่บริษัทให้ใช้ฟรี เต็มน้ำมันเอง อยู่ 2 ปี ผมแบกผ่อนบ้าน 3 หลังอยู่พักหนึ่ง แล้วขายบ้านชั้นเดียวทิ้งไป เอามาโปะบ้านทาวเฮ้า 2 ชั้น จึงมีบ้าน 2 หลัง (รวมราค่าซื้อ 2.42 ล้าน) ให้เช่าทาวเฮ้า 2 ชั้น เดือนละ 3 พันบาท(ซื้อมาแพงในสมัยก่อนแต่ได้ค่าเช่ามาเกินคุ้ม) เป็นรายได้เพิ่ม และได้ผ่อนรถคันใหม่มือสอง วีฮอส อายุ 1 ปี ราคา 4.7 แสนขับ
เงินเดือน 4.5 - 5.2 หมื่นบาท(ถื่อว่าเยอะพอประมาณกับตำแหน่งในสมัยนั้น) มีเงินเก็บส่วนตัวประมาณ แสนบาท ได้มีโอกาสซื้อผ่อนรถป้ายแดงครังแรกในชีวิต ราคา 7-8 แสน เป็นอีชูชู 4 ประตูยกสูง ผ่อนทาวเฮ้ากำลังหมด จึงเอาเข้าธนาคารใหม่ ได้ที่ดินจว.ปริมนทล 1.2 ไร่ ราคาตอนนั้นประมาณ 3 แสนบาท และได้ที่ดินในชานกรุงเทพฯ 100 ตรว.ราคาตอนนั้น 2.3 แสนบาท (ทั้ง 2 แปลง ราคาปัจจุบันขึ้นมาเท่าตัวกว่า ยิ่งที่ดินชาน กทม. ขึ้นมาเยอะที่เดียว) และก่อนเกษียณ 3 ปี ผ่อนคอนโดใหม่ติดรถไปไฟฟาราคาถูกไม่เกิน 1 ล้านประมาณ 8.2 แสนรวมบิวแล้ว(ราคาปัจจุบัน 1 ล้านขึ้น) ได้อีก 1 ห้อง ให้เช่า และรวมๆ ได้จ่ายค่าดูแลแม่ที่นอนติดเตียงเป็นเวลา 7 ปี ซึ่ง 5 ปีหลังจ่ายเยอะ เพราะไม่มีใครรับ พี่ๆ ก็ไม่มีเงินกัน ผมก็หมดไปประมาณ 1 ล้านกว่า ก็ด้วยเหตุนี้ ตามที่วางแผนไว้ผมควรมีเงินเก็บส่วนประมาณ 2 ล้านบาทตอนเกษียณพอดี ก็ไม่ได้ตามแผนแน่ จึงเปลี่ยนวิกฤตไปหาโอกาสใหม่ โดยซื้อผ่อนคอนโดนั้น โดยเอาค่าเช่าผ่อนตัวมันเองบวกเงินเพิ่มเข้าไป
ทั้งบ้าน 2 ที่ดิน 2 รถ 1 คัน นั้นผ่อนหมดปิดหนี้ก่อนเกษียณประมาณ 2 ปี แล้วคอนโดก็โปะปิดหนึ้ภายใน 3 ปี ที่เป็นปีเกษียณ 60 ปีพอดี ทุกอย่างนั้นได้มาจากเงินเดือนเพียวๆ ของมนุษย์เงินเดือน ที่ยอมอยู่อย่างจนกว่ารายได้ และรักษาคุณภาพชีวิตครอบครัวแบบพอดี และพัฒนาทั้งครอบครัว ทั้งภรรยาและลูกอีก 2 คนยกมาทั้งแผ่ง
ภรรยารับราชการจนเกษียณ(เออรรี ออกมาก่อน 4 ปี ด้วยสุขภาพไม่ดี) ในระดับชี 8 เป็น ผอ. กินเงินบำนาญในปัจจุบัน
ลูกคนโต จบ ป.ตรี วิศวคอม ม.มหิดล เกียรต์นิยมอันดับ 2. จบ ป.โท จุฬา หน้าที่การงานเงินเดือนก็ดี และครอบครัวเขาเหมือนจะเดินตามแบบผม แต่สบายกว่าผมเยอะๆ มาก ด้วยต้นทุนที่สูง ไม่ลำบากเหมือนผมกับภรรยา ที่ทุระทุเร กระแต็งๆ แบบจนๆ เป็น 10 ปี
ลูกคนเล็ก จบ ป.ตรี ม.พะเยา ภาษาญีปุ่น เกียรติ์นิยมอันดับ 2 โชคไม่ดีหน่อยจบประมาณในช่วงวิกฤตโควิด จากรับเงินเดือนเป็นล่ามฟรีแล้นส์เงินเดือน 2.3 หมืน มารับเงินเดือน 1 หมื่น แล้วตกงาน ผมจึงดึงตัวมาทำงานกับผมในงาน it เขากลับชอบและทำได้อย่างดี
และด้วยบ้านและคอนโดที่ผมพยายามลงทุนไปนั้นแหละเมื่อผมเกษียณแล้วผมจึงมีรายได้กับมัน บวกกับเงินบำนาญประกันสังคม และจากปันผลหุ้นและกำไรจากกองทุน แบบพอดีสำหรับคนแก่อย่างผมที่เหมาะกับอุปนิสัยของผม
กระทู้นี้ผมได้ตั้งควบคู่กับกระทู้ทางธรรม เพราะผมดำเนินชีวิตควบคู่กันมาตั้งแต่เด็ก จนแก่อายุย่าง 63 ปี ดังในกระทู้นี้
https://pantip.com/topic/40996729 ก็จะเห็นชีวิตทั้งสองด้านทางธรรมและทางโลกควบคู่กันไปแบบไม่แยกกันเลย