เนื่องจากรักและครอบครัวสูญเสียอาม่าไปแบบเร่งด่วนมาก
จึงทำโพสต์นี้เพื่อขอบคุณเพื่อนๆพี่ๆน้องๆทุกคนที่ให้กำลังใจรักและครอบครัวอย่างต่อเนื่องๆ
และหวังว่าสิ่งที่จะพิมพ์ต่อไปนี้จะเป็นประโยชน์กับผู้อ่าน
ในการ #ดูแลผู้สูงอายุ นะคะ
1️⃣
อาม่ารักมีโรคประจำตัว Chronic disease ตามวัยก็จริง
📌แต่ด้วยการตรวจสุขภาพเป็นประจำทุก 3 เดือน
ไม่เคยเลื่อนหรือเบี้ยวนัดหมอแม้แต่ครั้งเดียว
มีอะไรก็บอกอยู่เสมอ 📌
ทำให้การดำเนินไปของโรคประจำตัวช้าลงเรื่อยๆ
และสุขภาพแข็งแรงมากๆ ยังยกกระถางต้นไม้อยู่เลย
2️⃣
อาม่าดูแลสุขภาพดีมาก
📌ทั้งคุมอาหาร ไม่เคยทานยา อาหารเสริม หรือสมุนไพรแปลกๆอะไรเลย
มีอะไรจะถามลูกๆหลานๆก่อนเสมอ📌
เพราะฉะนั้นอาหารเสริมช่วงนี้ที่ขายกันแบบพุ่งทะยาน
อาม่าไม่เคยทานซักครั้ง
3️⃣
สาเหตุที่ทำให้เหตุการณ์ฉุกละหุกแบบนี้
รักคิดว่ามาจาก #ความอดทนของผู้สูงอายุ
📌หมายถึงยิ่งเราอายุมาก ประสบการณ์ชีวิตยิ่งมาก
เราจะพยายามรับมือกับอะไรบางอย่างด้วยตัวเอง
และไม่รู้ว่าจุดไหนที่ไม่ต้องทนแล้ว
ซึ่งตรงนี้สำคัญมาก📌
4️⃣
รอบนี้อาม่าจัดการกับอาการท้องเสียด้วยตัวเอง
แต่อาการไม่ดีขึ้นและอาม่าก็ยังพยายามจัดการต่อ
คิดง่ายๆตั้งแต่เกิดจน 70 up เราดูแลท้องเสียกันมากี่ครั้ง
อาจทำให้อาม่าคิดว่าครั้งนี้ก็ไม่ต่างกับครั้งอื่นๆ
ซึ่งอาการต่อไปนี้ไม่ใช่อาการปกติ
และควรไปพบแพทย์ทันทีเท่านั้น เช่น
อ้วกพุ่ง (อาเจียนแบบกลั้นไม่ได้)
ท้องเสียไม่มากแต่กลั้นไม่ได้
5️⃣
ดังนั้น สิ่งที่ #ผู้ดูแลผู้สูงอายุควรทำ คือ
#ถามอาการให้ละเอียด
เพราะคนสูงอายุมักพูดเป็นคำๆ
ไม่บ่นอะไรมากมากย
และเค้าคิดว่าเค้าดูแลตัวเองได้
หากบ่นแค่ว่าท้องเสีย
ต้องถามว่ากี่ครั้ง กินอะไรมา สี กลิ่น
ลักษณะอาเจียน/ท้องเสีย
ลักษณะการถ่าย เป็นต้น
📌ถามยาวๆให้เค้าเล่า
เดี๋ยวเรื่องที่น่าสนใจจะโผล่มาเอง📌
เน้น fact ไม่ต้องวิเคราะห์หาเหตุผลตอนเล่า
6️⃣
สิ่งที่ผู้สูงอายุเองควรทำ
หรือแม้กระทั่งคนสุขภาพดีปกติทั่วไปควรทำ
จำไว้ว่า
#ร่างกายที่ปกติจะไม่ทำให้การดูแลในขั้นต่อๆไปลำบากขึ้น
🔸ถ้าคุณปวด ....จนต้อง.....หาซื้อที่รองนั่ง
🔸ปวด...จน....ทำงานไม่ได้
🔸ลุกไปห้องน้ำไม่ทัน....จนต้อง...หาอะไรมารองข้างๆ
แบบนี้ห่างไกลจากปกติไปมาก
📌ถ้ายังต้องหาตัวช่วยอยู่📌
คุณอาจจะเป็นคนที่อดทนและพยายามจัดการมากกว่าปกติ
และอาจจะกำลังตกอยู่ในภาวะวิกฤติที่จะรักษายาก
ดังนั้น ถ้าไม่ชัวร์
#ให้เริ่มคุยกับคนอื่น หรือ #หาข้อมูล
เพราะเมื่อเริ่มคุย คนนอกมักมองภาพเราชัดกว่าเสมอ
หรืออาจมีประสบการณ์บางอย่างที่จะทำให้เกิดการฉุกคิดและรีบไปหาหมอ
และการหาข้อมูลจะทำให้เรารู้ว่า
อาการเล็กๆนำไปสู่ภาวะวิกฤติได้
แต่ไม่ต้อง Panic จนเกินไปให้เน้นเฝ้าระวังและเตรียมพร้อม
7️⃣
ในกรณีที่เกิดการบานปลายเข้าขั้นวิกฤติ
สิ่งที่สำคัญ คือ #สติของผู้ดูแล
#ส่งโรงพยาบาลให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
และ #ให้ข้อมูลทุกอย่าง
แล้วเดี๋ยวทางทีมแพทย์จะคัดกรองจากอาการแล้วถามเราเพิ่มเอง
อย่าหงุดหงิด อย่าใช้อารมณ์ที่จะตอบ
ไม่ว่าจะโกรธ หรือเศร้า หรือตกใจ
สิ่งที่ต้องมี คือ #สติและเหตุผล
📌ต้องมีครบ 100% และมีตลอดเวลาที่ดูแล📌
ซึ่งจะนำไปสู่การสื่อสารที่ดีและได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการรักษาจริงๆ
เช่น ในครั้งนี้รักเป็นตัวแทนลูกสายตรงในการคุยทั้งหมด
ถามอาการจากลูกทุกคนที่ได้คุยกับอาม่าตลอดระยะเวลาสองสัปดาห์ก่อนหน้า ทำให้ได้ข้อมูลไปคุยกับหมอตั้งแต่รอบแรกจนถึงรอบสุดท้าย
การถามข้อมูลในช่วงวิกฤติจะค่อนข้าง Sensitive มาก
แต่การคุยกันดีๆ ไม่ตกใจ ไม่เศร้า ไม่โทษตัวเอง ไม่โทษคนอื่น
จะได้คำตอบที่เป็นประโยชน์มากกว่าที่คิดนะคะ
8️⃣
ทุกการรักษาแบบวิกฤติมีโอกาส 50-50 เสมอ
#สื่อสารกันแบบค่อยๆให้ข้อเท็จจริงจะดีที่สุด
การมีความหวังเป็นเรื่องที่ดี
แต่หากมากจนเกินไป
แล้วเกิดเรื่องไม่คาดฝัน
คนฟังจะกลายเป็นคนป่วยวิกฤติด้วย
ซึ่งในครั้งนี้รักเลือกให้ข้อเท็จจริงทุกรอบที่หมอติดต่อกลับมา
และให้ญาติๆได้มีเวลาคิดและตัดสินใจในการรักษาขั้นต่อๆไปทุกครั้ง
เพราะอย่าลืมว่าเคสผู้สูงอายุ
ลูกๆสายตรงที่มาฟังก็ 50-60 ทั้งนั้น
นั่งรวมกันอายุรวมกันเกือบ 200-300ปี
ดูแลกันให้ดีๆ เพราะถ้าสื่อสารไม่ดี
ญาติช็อกต้องรักษาญาติๆด้วย
จะทำให้กำลังใจยิ่งน้อยลงไปอีก
รักเลยแทบจะให้ประกบคู่ลูกและหลาน 1 ต่อ 1 ในระหว่างคุยด้วยตลอด
9️⃣
อ่านมาถึงตรงนี้
นอกจากจะกังวลเรื่องโรคระบาด
อย่าลืมตรวจสุขภาพประจำปี
เพราะเรื่องไม่คาดฝันแบบเคสอาม่ารักอาจะเกิดได้ 5-10% ในทางการแพทย์
แต่ปัญหาด้านสุขภาพที่เหลือกว่า 90% ป้องกันได้ด้วยการดูแลสุขภาพนะคะ
การเตรียมตัวไว้ก่อนจะลดความเสี่ยงไม่คาดฝันได้ค่า ^^
🔟
รักให้เช็กลิสต์เพิ่มเติมอาการไหนควรไปโรงบาลทันที แบบไม่ต้องรอ
มีดังต่อไปนี้
🔸ไข้สูง หนาวสั่น เหงื่อแตก ตัวเย็น
เช่น ห่มผ้าก็ยังหนาว
🔸เป็นลม หมดสติ ไม่รู้สึกตัว
ยิ่งถ้าเป็นผู้สูงอายุ ต่อให้ฟื้นขึ้นมาก็ควรส่งโรงพยาบาล
🔸 หายใจเร็ว หอบเหนื่อย หายใจเสียงดัง ไอเป็นเลือดหรือมีเสมหะปนเลือด
ปกติเคยเดินขึ้นบันไดแล้วไม่เหนื่อย แต่เดี๋ยวนี้เหนื่อยมาก
🔸เจ็บหน้าอกฉับพลัน เหงื่อออกมาก ใจสั่นคล้ายจะเป็นลม ปวดร้าวไปกรามหรือไหล่ซ้าย
หรือเจ็บหน้าอกเหมือนโดนช้างเหยียบ
🔸 แขนขาอ่อนแรงหรือชาครึ่งซีกฉับพลัน
🔸 ปวดศีรษะรุนแรง อ้วกพุ่ง ปวดศีรษะตลอดเวลาทานยาไม่ดีขึ้น ปวดศีรษะจนต้องตื่นขึ้นมากลางดึก
🔸 พูดไม่ชัด เดินเซ ตามัว ภาพซ้อน
🔸 ซึมลงหรือสับสน
เช่น ขายของมา 10 ปี จำราคาของที่ขายไม่ได้ (กล้ามเนื้อหัวใจตาย)
🔸 ชักกระตุกต่อเนื่อง
🔸 ปวดท้องรุนแรง รับประทานอาหารไม่ได้ อาเจียนมาก ถ่ายอุจจาระเป็นเลือด อาเจียนเป็นเลือด
แถม FAST = สัญญาณอันตรายโรคหลอดเลือดสมอง
F = Face = ใบหน้า
มีอาการหน้าชา ปากเบี้ยว มุมปากตก กล้ามเนื้อใบหน้าอ่อนแรงครึ่งซีก น้ำลายไหลออกจากมุมปากข้างที่ตก
A = Arm =แขน ขา
ซีกใดซีกหนึ่งของร่างกาย อ่อนแรง เดินเซ ทรงตัวลำบาก
S = Speech =การพูด
มีลักษณะพูดไม่ออก พูดลำบาก พูดติดๆ ขัดๆ พูดไม่ชัด นึกคำพูดไม่ออ ลิ้นแข็ง หรือ พูดไม่ชัดอย่างทันทีทันใด
T = Time รู้เวลา
รู้ว่าเริ่มมีอาการเป็นเวลาเท่าไหร่นับจากที่มีอาการผิดปกติ หรือนับจากเวลาที่ผู้ป่วยมีอาการปกติเป็นครั้งสุดท้าย และรีบไปโรงพยาบาลทันที เพื่อการตรวจและวินิจฉัย ภายใน 4.5 ชม. เนื่องจากในบางกรณีแพทย์อาจพิจารณาให้ยาละลายลิ่มเลือดทางหลอดเลือดดำ ซึ่งช่วยเพิ่มโอกาสฟื้นตัวจากความพิการได้
📌การดูแลผู้ป่วยสูงอายุและญาติ เมื่อต้องเข้าห้องฉุกเฉิน📌
จึงทำโพสต์นี้เพื่อขอบคุณเพื่อนๆพี่ๆน้องๆทุกคนที่ให้กำลังใจรักและครอบครัวอย่างต่อเนื่องๆ
และหวังว่าสิ่งที่จะพิมพ์ต่อไปนี้จะเป็นประโยชน์กับผู้อ่าน
ในการ #ดูแลผู้สูงอายุ นะคะ
1️⃣
อาม่ารักมีโรคประจำตัว Chronic disease ตามวัยก็จริง
📌แต่ด้วยการตรวจสุขภาพเป็นประจำทุก 3 เดือน
ไม่เคยเลื่อนหรือเบี้ยวนัดหมอแม้แต่ครั้งเดียว
มีอะไรก็บอกอยู่เสมอ 📌
ทำให้การดำเนินไปของโรคประจำตัวช้าลงเรื่อยๆ
และสุขภาพแข็งแรงมากๆ ยังยกกระถางต้นไม้อยู่เลย
2️⃣
อาม่าดูแลสุขภาพดีมาก
📌ทั้งคุมอาหาร ไม่เคยทานยา อาหารเสริม หรือสมุนไพรแปลกๆอะไรเลย
มีอะไรจะถามลูกๆหลานๆก่อนเสมอ📌
เพราะฉะนั้นอาหารเสริมช่วงนี้ที่ขายกันแบบพุ่งทะยาน
อาม่าไม่เคยทานซักครั้ง
3️⃣
สาเหตุที่ทำให้เหตุการณ์ฉุกละหุกแบบนี้
รักคิดว่ามาจาก #ความอดทนของผู้สูงอายุ
📌หมายถึงยิ่งเราอายุมาก ประสบการณ์ชีวิตยิ่งมาก
เราจะพยายามรับมือกับอะไรบางอย่างด้วยตัวเอง
และไม่รู้ว่าจุดไหนที่ไม่ต้องทนแล้ว
ซึ่งตรงนี้สำคัญมาก📌
4️⃣
รอบนี้อาม่าจัดการกับอาการท้องเสียด้วยตัวเอง
แต่อาการไม่ดีขึ้นและอาม่าก็ยังพยายามจัดการต่อ
คิดง่ายๆตั้งแต่เกิดจน 70 up เราดูแลท้องเสียกันมากี่ครั้ง
อาจทำให้อาม่าคิดว่าครั้งนี้ก็ไม่ต่างกับครั้งอื่นๆ
ซึ่งอาการต่อไปนี้ไม่ใช่อาการปกติ
และควรไปพบแพทย์ทันทีเท่านั้น เช่น
อ้วกพุ่ง (อาเจียนแบบกลั้นไม่ได้)
ท้องเสียไม่มากแต่กลั้นไม่ได้
5️⃣
ดังนั้น สิ่งที่ #ผู้ดูแลผู้สูงอายุควรทำ คือ
#ถามอาการให้ละเอียด
เพราะคนสูงอายุมักพูดเป็นคำๆ
ไม่บ่นอะไรมากมากย
และเค้าคิดว่าเค้าดูแลตัวเองได้
หากบ่นแค่ว่าท้องเสีย
ต้องถามว่ากี่ครั้ง กินอะไรมา สี กลิ่น
ลักษณะอาเจียน/ท้องเสีย
ลักษณะการถ่าย เป็นต้น
📌ถามยาวๆให้เค้าเล่า
เดี๋ยวเรื่องที่น่าสนใจจะโผล่มาเอง📌
เน้น fact ไม่ต้องวิเคราะห์หาเหตุผลตอนเล่า
6️⃣
สิ่งที่ผู้สูงอายุเองควรทำ
หรือแม้กระทั่งคนสุขภาพดีปกติทั่วไปควรทำ
จำไว้ว่า
#ร่างกายที่ปกติจะไม่ทำให้การดูแลในขั้นต่อๆไปลำบากขึ้น
🔸ถ้าคุณปวด ....จนต้อง.....หาซื้อที่รองนั่ง
🔸ปวด...จน....ทำงานไม่ได้
🔸ลุกไปห้องน้ำไม่ทัน....จนต้อง...หาอะไรมารองข้างๆ
แบบนี้ห่างไกลจากปกติไปมาก
📌ถ้ายังต้องหาตัวช่วยอยู่📌
คุณอาจจะเป็นคนที่อดทนและพยายามจัดการมากกว่าปกติ
และอาจจะกำลังตกอยู่ในภาวะวิกฤติที่จะรักษายาก
ดังนั้น ถ้าไม่ชัวร์
#ให้เริ่มคุยกับคนอื่น หรือ #หาข้อมูล
เพราะเมื่อเริ่มคุย คนนอกมักมองภาพเราชัดกว่าเสมอ
หรืออาจมีประสบการณ์บางอย่างที่จะทำให้เกิดการฉุกคิดและรีบไปหาหมอ
และการหาข้อมูลจะทำให้เรารู้ว่า
อาการเล็กๆนำไปสู่ภาวะวิกฤติได้
แต่ไม่ต้อง Panic จนเกินไปให้เน้นเฝ้าระวังและเตรียมพร้อม
7️⃣
ในกรณีที่เกิดการบานปลายเข้าขั้นวิกฤติ
สิ่งที่สำคัญ คือ #สติของผู้ดูแล
#ส่งโรงพยาบาลให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
และ #ให้ข้อมูลทุกอย่าง
แล้วเดี๋ยวทางทีมแพทย์จะคัดกรองจากอาการแล้วถามเราเพิ่มเอง
อย่าหงุดหงิด อย่าใช้อารมณ์ที่จะตอบ
ไม่ว่าจะโกรธ หรือเศร้า หรือตกใจ
สิ่งที่ต้องมี คือ #สติและเหตุผล
📌ต้องมีครบ 100% และมีตลอดเวลาที่ดูแล📌
ซึ่งจะนำไปสู่การสื่อสารที่ดีและได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการรักษาจริงๆ
เช่น ในครั้งนี้รักเป็นตัวแทนลูกสายตรงในการคุยทั้งหมด
ถามอาการจากลูกทุกคนที่ได้คุยกับอาม่าตลอดระยะเวลาสองสัปดาห์ก่อนหน้า ทำให้ได้ข้อมูลไปคุยกับหมอตั้งแต่รอบแรกจนถึงรอบสุดท้าย
การถามข้อมูลในช่วงวิกฤติจะค่อนข้าง Sensitive มาก
แต่การคุยกันดีๆ ไม่ตกใจ ไม่เศร้า ไม่โทษตัวเอง ไม่โทษคนอื่น
จะได้คำตอบที่เป็นประโยชน์มากกว่าที่คิดนะคะ
8️⃣
ทุกการรักษาแบบวิกฤติมีโอกาส 50-50 เสมอ
#สื่อสารกันแบบค่อยๆให้ข้อเท็จจริงจะดีที่สุด
การมีความหวังเป็นเรื่องที่ดี
แต่หากมากจนเกินไป
แล้วเกิดเรื่องไม่คาดฝัน
คนฟังจะกลายเป็นคนป่วยวิกฤติด้วย
ซึ่งในครั้งนี้รักเลือกให้ข้อเท็จจริงทุกรอบที่หมอติดต่อกลับมา
และให้ญาติๆได้มีเวลาคิดและตัดสินใจในการรักษาขั้นต่อๆไปทุกครั้ง
เพราะอย่าลืมว่าเคสผู้สูงอายุ
ลูกๆสายตรงที่มาฟังก็ 50-60 ทั้งนั้น
นั่งรวมกันอายุรวมกันเกือบ 200-300ปี
ดูแลกันให้ดีๆ เพราะถ้าสื่อสารไม่ดี
ญาติช็อกต้องรักษาญาติๆด้วย
จะทำให้กำลังใจยิ่งน้อยลงไปอีก
รักเลยแทบจะให้ประกบคู่ลูกและหลาน 1 ต่อ 1 ในระหว่างคุยด้วยตลอด
9️⃣
อ่านมาถึงตรงนี้
นอกจากจะกังวลเรื่องโรคระบาด
อย่าลืมตรวจสุขภาพประจำปี
เพราะเรื่องไม่คาดฝันแบบเคสอาม่ารักอาจะเกิดได้ 5-10% ในทางการแพทย์
แต่ปัญหาด้านสุขภาพที่เหลือกว่า 90% ป้องกันได้ด้วยการดูแลสุขภาพนะคะ
การเตรียมตัวไว้ก่อนจะลดความเสี่ยงไม่คาดฝันได้ค่า ^^
🔟
รักให้เช็กลิสต์เพิ่มเติมอาการไหนควรไปโรงบาลทันที แบบไม่ต้องรอ
มีดังต่อไปนี้
🔸ไข้สูง หนาวสั่น เหงื่อแตก ตัวเย็น
เช่น ห่มผ้าก็ยังหนาว
🔸เป็นลม หมดสติ ไม่รู้สึกตัว
ยิ่งถ้าเป็นผู้สูงอายุ ต่อให้ฟื้นขึ้นมาก็ควรส่งโรงพยาบาล
🔸 หายใจเร็ว หอบเหนื่อย หายใจเสียงดัง ไอเป็นเลือดหรือมีเสมหะปนเลือด
ปกติเคยเดินขึ้นบันไดแล้วไม่เหนื่อย แต่เดี๋ยวนี้เหนื่อยมาก
🔸เจ็บหน้าอกฉับพลัน เหงื่อออกมาก ใจสั่นคล้ายจะเป็นลม ปวดร้าวไปกรามหรือไหล่ซ้าย
หรือเจ็บหน้าอกเหมือนโดนช้างเหยียบ
🔸 แขนขาอ่อนแรงหรือชาครึ่งซีกฉับพลัน
🔸 ปวดศีรษะรุนแรง อ้วกพุ่ง ปวดศีรษะตลอดเวลาทานยาไม่ดีขึ้น ปวดศีรษะจนต้องตื่นขึ้นมากลางดึก
🔸 พูดไม่ชัด เดินเซ ตามัว ภาพซ้อน
🔸 ซึมลงหรือสับสน
เช่น ขายของมา 10 ปี จำราคาของที่ขายไม่ได้ (กล้ามเนื้อหัวใจตาย)
🔸 ชักกระตุกต่อเนื่อง
🔸 ปวดท้องรุนแรง รับประทานอาหารไม่ได้ อาเจียนมาก ถ่ายอุจจาระเป็นเลือด อาเจียนเป็นเลือด
แถม FAST = สัญญาณอันตรายโรคหลอดเลือดสมอง
F = Face = ใบหน้า
มีอาการหน้าชา ปากเบี้ยว มุมปากตก กล้ามเนื้อใบหน้าอ่อนแรงครึ่งซีก น้ำลายไหลออกจากมุมปากข้างที่ตก
A = Arm =แขน ขา
ซีกใดซีกหนึ่งของร่างกาย อ่อนแรง เดินเซ ทรงตัวลำบาก
S = Speech =การพูด
มีลักษณะพูดไม่ออก พูดลำบาก พูดติดๆ ขัดๆ พูดไม่ชัด นึกคำพูดไม่ออ ลิ้นแข็ง หรือ พูดไม่ชัดอย่างทันทีทันใด
T = Time รู้เวลา
รู้ว่าเริ่มมีอาการเป็นเวลาเท่าไหร่นับจากที่มีอาการผิดปกติ หรือนับจากเวลาที่ผู้ป่วยมีอาการปกติเป็นครั้งสุดท้าย และรีบไปโรงพยาบาลทันที เพื่อการตรวจและวินิจฉัย ภายใน 4.5 ชม. เนื่องจากในบางกรณีแพทย์อาจพิจารณาให้ยาละลายลิ่มเลือดทางหลอดเลือดดำ ซึ่งช่วยเพิ่มโอกาสฟื้นตัวจากความพิการได้