เรื่องสั้น : ขวัญ
เป็นความเชื่อส่วนบุคคลค่ะ โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านเด้อ ไผกะดาย !
**********************************************
“มาเด้อ ! ขวัญไปอยู่ไสกะให้กลับมาเฮือนมาซาน มาอยู่นำเนื้อนำคิง กลับมาอยู่กับเนื้อกับโตอย่าสิไปหาเลาะเล่นไกล ให้กลับมาสา “ ยายถือสวิงกวัดแกว่งไปมาตรงบริเวณหน้าบ้านหลังหนึ่ง ยายอีกคนก็ทำเช่นกัน มีคนมามุงดูบ้างประปราย ทว่าก็ไม่ใช่เรื่องตื่นเต้น หรือ แปลกอะไร คนละแวกนี้รู้จักพิธีนี้กันดี เพียงแค่มายืนดูเท่านั้น
คนที่มามุงดูต่างพูดกันไปต่าง ๆ นานา บางคนที่เห็นเหตุการณ์ก็เล่าให้อีกคนที่ไม่เห็นฟังเป็นฉาก ๆ คนฟังก็ฟังอย่างตั้งใจ ซึ่งไม่รู้เลยว่านั่นคือเรื่องจริงหรือหลอก เห็นจริง ๆ อย่างที่พูดหรือไม่ ทว่าคนที่ถูกกล่าวถึงมีตัวตนจริง แต่ ไม่ได้เดินทางมาที่นี้ด้วย
“สองวันก่อนมีเด็กผู้หญิงสองคนพามอเตอร์ไซค์มาล้มตรงนี้แหละ ไม่เป็นอะไรมากหรอก ฉันยังได้วิ่งเข้ามาช่วยเลย ไม่คิดน้อว่าขวัญจะออก” คนที่เห็นเหตุการณ์ต้นตอของเรื่องเล่าให้คนมามุงดูฟัง
“เพื่อนไอ้แฟงลูกยายนาง มันมาเล่นด้วยกัน ดีที่ไม่เป็นอะไรมาก รถล้มแบบนี้ไม่ยอมบอกพ่อแม่น้อ !”
“เด็กน้อยมันจะคิดอะไรมาก ! กลัวพ่อแม่ด่านั่นแหล่วว่าพารถล้ม” ไทยมุงพูดคุยกันไป ระหว่างยืนดูยายของแคร์ช้อนสวิงไปมาอยู่อย่างนั้น
“ทำไมถึงได้มาช้อนเอาขวัญได้ล่ะ” อีกคนถามขึ้นอย่างน่าสนใจ จากนั้นคนที่เห็นเหตุการณ์เรื่องนี้ตั้งแต่ต้นจึงเล่าให้ฟัง ซึ่งก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เจ้าของบ้านหลังนี้เอง หลังที่ยายของแคร์กำลังช้อนขวัญอยู่
เฮิ้ม ! เสียงรถชนกำแพงบ้าน ทรงยศกับกลอยใจรีบวิ่งออกมาดูด้วยความตกใจ เนื่องจากเสียงดังเข้าไปถึงในบ้านกันเลย สองสามีภรรยารีบวิ่งออกมาที่ประตูรั้วหน้าบ้าน เห็นเด็กสาวสองคนกับมอเตอร์ไซค์ล้มทับกันอยู่ จึงรีบวิ่งไปประคองตัวให้ลุกขึ้น อีกทั้งบ้านที่อยู่ละแวกนั้นต่างวิ่งออกมาดูเหตุการณ์
“เป็นอะไรมั้ยหนู โอ้ย ! ตาย ๆ ขับกันมายังไง” กลอยใจภรรยาเจ้าของบ้านอุทานด้วยความเป็นห่วง และ ตกใจกับภาพที่เห็น พร้อมเข้าไปพยุงทั้งสองคนให้ลุกขึ้น ส่วนทรงยศผู้เป็นสามีเป็นคนเข็นรถมอเตอร์ไซค์ขึ้น
“ไม่เป็นอะไรมากค่ะ ฮา “ แคร์กับนุ่มยิ้มแหย ๆ ให้เจ้าของบ้านทั้งสองคน เกรงใจมากที่พากันขับรถมาชนกำแพงบ้าน ดีที่กำแพงไม่เป็นอะไร
“ขับมาอี่ท่าไหนกัน ถึงได้ล้ม ไปหาหมอเด้อเผื่อช้ำใน” ทรงยศพูดด้วยความเป็นห่วงเพื่อนร่วมโลก ไม่เคยรู้จักเด็กสองคนนี้หรอก แค่แสดงความมีน้ำใจเท่านั้น “บ้านอยู่แถวไหนกัน ไม่ค่อยคุ้นหน้าเลย” ที่ถามเพราะอยากรู้ เนื่องจากไม่ค่อยคุ้นหน้าสักเท่าไหร่
“หมามันวิ่งตัดหน้ารถค่ะ พวกหนูหลบหมาเจ็บตัวเลย พวกหนูไม่เป็นไรมากค่ะ อ่อ พวกหนูมาหาแฟงค่ะ บ้านอยู่คุ้มนู้นน่ะ ลูกแม่นาง” แคร์ตอบ
“ขอบคุณค่ะ พวกหนูไม่เป็นอะไรมากค่ะ ไม่เจ็บเท่าไหร่ แค่แขนถลอก” นุ่มกล่าวขอบคุณ จากนั้นทั้งสองคนจึงขับรถไปหาฟักแฟงเพื่อนของตน แล้วเรื่องก็จบไปแต่เพียงเท่านี้ ถ้าหากว่ามันไม่เกิดเหตุการณ์อะไรบางอย่างขึ้นอีก
เวลาผ่านไปไม่นาน ยังไม่ถึงสัปดาห์ด้วยซ้ำ กลอยใจซึ่งตื่นแต่เช้าตรู่ตีห้าได้ เพื่อเตรียมอาหารเช้าปกติ ได้ยินเสียงผู้หญิงร้องไห้ เสียงนั้นเหมือนคนร้องไห้จริง ๆ ไม่ได้โหยหวนน่ากลัว แปลกใจว่าใครมาร้องไห้ที่หน้าบ้าน จึงเดินไปดูสักหน่อย พอเดินมาถึงประตู้รั้วหน้าบ้าน เปิดดูด้านนอกก็ไม่เห็นมีใคร บรรยากาศมืดเพราะฟ้ายังไม่สางนัก
แปลกใจทว่าก็ไม่ได้ใส่ใจมาก อาจจะเป็นคนร้องไห้ผ่านมาแล้วเดินผ่านไปก็ได้ จากนั้นปิดประตูรั้วบ้าน กลับเข้าบ้านปกติ นี่คือเหตุการณ์แรก กลอยใจก็ไม่ได้นำมาเล่าให้ทรงยศผู้เป็นสามีฟัง
คืนที่สองยังไม่ดึกดีเลย สี่ทุ่มตามบ้านนอกเริ่มเงียบสงัด ไม่มีรถวิ่งตามท้องถนนแล้ว เจ้าของบ้านฝั่งตรงข้ามบ้านของทรงยศออกมาเก็บข้าวของเข้าบ้าน มองมายังบ้านของทรงยศ สายตาพลันไปเห็นเด็กสาวอายุยี่สิบต้น ๆ นั่งร้องไห้ตรงกำแพงบ้าน กะจะเดินไปถามทว่าร่างนั้นหายไปกับความมืดต่อหน้าต่อตา พอเห็นแบบนั้นก็ผงะ จึงรีบหันกลับเข้าบ้านไป
ตื่นมาตอนเช้าก็รีบมาที่บ้านของเพื่อนบ้าน เพื่อนำมาเล่าให้ทั้งสองคนฟัง “เออ วันก่อนแม่ตื่นมาหุงข้าวตีห้า แม่ได้ยินเสียงคนร้องไห้ที่หน้าบ้านเรา เดินมาดูก็ไม่เจอใคร แต่ก็ไม่ได้เล่าให้พ่อฟัง” กลอยใจพูดสมทบความน่าเชื่อถือของเพื่อนบ้าน
“ขวัญของเด็กน้อยสองคนนั้นหรือเปล่านะ” ทรงยศพูดลอย ๆ สงสัยว่าจะเป็นเช่นนั้น เพราะความเชื่อเรื่องแบบนี้ก็ยังมีอยู่ในยุคสมัยนี้ “ขวัญออกแน่เลย”
“ใครเหรอ !” เพื่อนบ้านถาม
“เมื่อวันอาทิตย์มีเด็กสองคนพามอเตอร์ไซค์ล้มที่หน้าบ้านน่ะสิ หมาวิ่งตัดหน้ารถเห็นว่างั้น บอกว่าเป็นเพื่อนลูกสาวยายนางคุ้มเหนือนู่น” กลอยใจเป็นคนตอบแทน “ไปบอกยายนางฝากไปบอกเขาหน่อยว่าขวัญเขาออก บอกผู้เฒ่ามาช้อนเอา เดี๋ยวจะมีอันเป็นไปเสียก่อน” กลอยใจพูดด้วยความห่วงใยเด็กสองคนนั้นในนามเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน
จากนั้นเพื่อนบ้านก็นำเรื่องไปบอกฟักแฟง และ ฟักแฟงจึงนำมาเล่าให้แคร์เพื่อนของตนฟัง เมื่อได้ยินคนพูดแบบนั้น แคร์ที่ไม่กล้าบอกพ่อกับแม่ว่าตนเองพามอเตอร์ไซค์ล้ม จึงกลุ้มใจอยู่นิด ๆ จะทำอย่างไรดี กลัวแม่ด่าด้วยว่าไปเลาะเล่นหมู่บ้านอื่น ที่ไปวันนั้นไม่ได้บอกที่บ้านเลย
แคร์มานึกตามที่ฟักแฟงเล่าให้ฟัง ถึงว่าหลังจากเกิดอุบัติเหตุรถล้มวันนั้น ทำไมตนเองถึงตกใจง่าย เสียงดังนิดหน่อยก็สะดุ้งตกใจ กลัวไปหมด ฝันไม่ดีมาตลอด ฝันเห็นผีเห็นคนที่ตายไปแล้วทุกคืน แต่ก็ไม่กล้าเล่าให้คนในบ้านฟัง ไปทำบุญแล้วก็ไม่หาย ตนเองจะทำอย่างไรดี
อ่อ ! ยังมีนุ่มอีกคน ซึ่งทั้งสองคนไม่รู้เลยว่า วิญญาณ หรือ
‘ขวัญ’ ที่ผู้ใหญ่เห็นน่ะเป็นขวัญของใครกันแน่ จึงกะว่าจะไปบอกให้นุ่มบอกพ่อแม่ของนุ่มเองนั่นแหละ ส่วนตนเองก็ขอเกาะไปด้วย ทว่านุ่มก็ไม่กล้าพูดเช่นกัน คราวนี้คิดหนักยิ่งกว่าเดิม
ด้วยความที่แคร์เป็นคนไม่เชื่อเรื่องแบบนี้ ทว่าก็ไม่ลบหลู่ เมื่อคิดว่าจะไม่ทำตนเองก็รู้สึกไม่สบายตัว กลัวความมืด กลัวตอนกลางคืนไปหมด เสียงดังนิด ๆ หน่อย ๆ แม้แต่เสียงจิ้งจกร้องเบา ๆ ก็ตกใจ แถมนอนกลางคืนก็ฝันร้ายไปอีก ซึ่งไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน ตนเองไม่เคยขี้ตกใจแบบนี้มาก่อนด้วย สุดท้ายก็ยอมบอกแม่จนได้
พอแม่ทราบเรื่องจึงบอกยายให้พาผู้เฒ่าไปช้อนขวัญแคร์กับนุ่ม
“มาแล้ว ๆ บาดหนิ ขวัญมาแล้ว !” ยายถือสวิงทำเหมือนช้อนอะไรได้ จากนั้นก็มัดปากทำเหมือนกลัวว่ามันจะลอยหายไปอีก
“พากันมาล้มอยู่นี่ หน้าเฮือนข่อยหนิ ถามแล้วว่าไม่เป็นอะไรมากว่าซั่น “ กลอยใจเล่าให้แม่ของแคร์ฟัง
“ข่อยเห็นมานั่งไห้หงืก ๆ อยู่นี่ ว่าสิเข้าไปถาม หายไปต่อหน้าต่อตาข่อยน้อเจ้า แล่นเข้าเฮือนโลดแหล่วข่อย ฮา ของมูหนิบ่เชื่อกะบ่ลบหลู่เด้อ “ คนที่เห็นเธอร้องไห้ตัวเป็น ๆ ที่หน้าบ้านหลังนี้พูดอย่างถึงพริกถึงขิง “พ่อใหญ่ยศว่าเป็นมูนางแฟงลูกยายนางว่าซั่น กะเลยยางไปฝากความมาบอกให้มาช้อนเอาขวัญนี่ล่ะ”
แม่ปรายตามอง เธอหลบสายตา ทว่าแม่ก็ไม่ได้บ่นอะไร ตอนที่บอกเรื่องนี้แม่ก็ไม่ด่าด้วยซ้ำ เธอคิดไปเอง ก็มีบ่นนิดหน่อยตามประสาความเป็นห่วงลูกนั่นแหละ
แล้วพวกคุณล่ะ เคยเจอเรื่องแบบเราบ้างไหม นำมาเล่าแลกเปลี่ยนกันค่ะ…
จบ…
เรื่องสั้น : ขวัญ
เรื่องสั้น : ขวัญ
เป็นความเชื่อส่วนบุคคลค่ะ โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านเด้อ ไผกะดาย !
**********************************************
“มาเด้อ ! ขวัญไปอยู่ไสกะให้กลับมาเฮือนมาซาน มาอยู่นำเนื้อนำคิง กลับมาอยู่กับเนื้อกับโตอย่าสิไปหาเลาะเล่นไกล ให้กลับมาสา “ ยายถือสวิงกวัดแกว่งไปมาตรงบริเวณหน้าบ้านหลังหนึ่ง ยายอีกคนก็ทำเช่นกัน มีคนมามุงดูบ้างประปราย ทว่าก็ไม่ใช่เรื่องตื่นเต้น หรือ แปลกอะไร คนละแวกนี้รู้จักพิธีนี้กันดี เพียงแค่มายืนดูเท่านั้น
คนที่มามุงดูต่างพูดกันไปต่าง ๆ นานา บางคนที่เห็นเหตุการณ์ก็เล่าให้อีกคนที่ไม่เห็นฟังเป็นฉาก ๆ คนฟังก็ฟังอย่างตั้งใจ ซึ่งไม่รู้เลยว่านั่นคือเรื่องจริงหรือหลอก เห็นจริง ๆ อย่างที่พูดหรือไม่ ทว่าคนที่ถูกกล่าวถึงมีตัวตนจริง แต่ ไม่ได้เดินทางมาที่นี้ด้วย
“สองวันก่อนมีเด็กผู้หญิงสองคนพามอเตอร์ไซค์มาล้มตรงนี้แหละ ไม่เป็นอะไรมากหรอก ฉันยังได้วิ่งเข้ามาช่วยเลย ไม่คิดน้อว่าขวัญจะออก” คนที่เห็นเหตุการณ์ต้นตอของเรื่องเล่าให้คนมามุงดูฟัง
“เพื่อนไอ้แฟงลูกยายนาง มันมาเล่นด้วยกัน ดีที่ไม่เป็นอะไรมาก รถล้มแบบนี้ไม่ยอมบอกพ่อแม่น้อ !”
“เด็กน้อยมันจะคิดอะไรมาก ! กลัวพ่อแม่ด่านั่นแหล่วว่าพารถล้ม” ไทยมุงพูดคุยกันไป ระหว่างยืนดูยายของแคร์ช้อนสวิงไปมาอยู่อย่างนั้น
“ทำไมถึงได้มาช้อนเอาขวัญได้ล่ะ” อีกคนถามขึ้นอย่างน่าสนใจ จากนั้นคนที่เห็นเหตุการณ์เรื่องนี้ตั้งแต่ต้นจึงเล่าให้ฟัง ซึ่งก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เจ้าของบ้านหลังนี้เอง หลังที่ยายของแคร์กำลังช้อนขวัญอยู่
เฮิ้ม ! เสียงรถชนกำแพงบ้าน ทรงยศกับกลอยใจรีบวิ่งออกมาดูด้วยความตกใจ เนื่องจากเสียงดังเข้าไปถึงในบ้านกันเลย สองสามีภรรยารีบวิ่งออกมาที่ประตูรั้วหน้าบ้าน เห็นเด็กสาวสองคนกับมอเตอร์ไซค์ล้มทับกันอยู่ จึงรีบวิ่งไปประคองตัวให้ลุกขึ้น อีกทั้งบ้านที่อยู่ละแวกนั้นต่างวิ่งออกมาดูเหตุการณ์
“เป็นอะไรมั้ยหนู โอ้ย ! ตาย ๆ ขับกันมายังไง” กลอยใจภรรยาเจ้าของบ้านอุทานด้วยความเป็นห่วง และ ตกใจกับภาพที่เห็น พร้อมเข้าไปพยุงทั้งสองคนให้ลุกขึ้น ส่วนทรงยศผู้เป็นสามีเป็นคนเข็นรถมอเตอร์ไซค์ขึ้น
“ไม่เป็นอะไรมากค่ะ ฮา “ แคร์กับนุ่มยิ้มแหย ๆ ให้เจ้าของบ้านทั้งสองคน เกรงใจมากที่พากันขับรถมาชนกำแพงบ้าน ดีที่กำแพงไม่เป็นอะไร
“ขับมาอี่ท่าไหนกัน ถึงได้ล้ม ไปหาหมอเด้อเผื่อช้ำใน” ทรงยศพูดด้วยความเป็นห่วงเพื่อนร่วมโลก ไม่เคยรู้จักเด็กสองคนนี้หรอก แค่แสดงความมีน้ำใจเท่านั้น “บ้านอยู่แถวไหนกัน ไม่ค่อยคุ้นหน้าเลย” ที่ถามเพราะอยากรู้ เนื่องจากไม่ค่อยคุ้นหน้าสักเท่าไหร่
“หมามันวิ่งตัดหน้ารถค่ะ พวกหนูหลบหมาเจ็บตัวเลย พวกหนูไม่เป็นไรมากค่ะ อ่อ พวกหนูมาหาแฟงค่ะ บ้านอยู่คุ้มนู้นน่ะ ลูกแม่นาง” แคร์ตอบ
“ขอบคุณค่ะ พวกหนูไม่เป็นอะไรมากค่ะ ไม่เจ็บเท่าไหร่ แค่แขนถลอก” นุ่มกล่าวขอบคุณ จากนั้นทั้งสองคนจึงขับรถไปหาฟักแฟงเพื่อนของตน แล้วเรื่องก็จบไปแต่เพียงเท่านี้ ถ้าหากว่ามันไม่เกิดเหตุการณ์อะไรบางอย่างขึ้นอีก
เวลาผ่านไปไม่นาน ยังไม่ถึงสัปดาห์ด้วยซ้ำ กลอยใจซึ่งตื่นแต่เช้าตรู่ตีห้าได้ เพื่อเตรียมอาหารเช้าปกติ ได้ยินเสียงผู้หญิงร้องไห้ เสียงนั้นเหมือนคนร้องไห้จริง ๆ ไม่ได้โหยหวนน่ากลัว แปลกใจว่าใครมาร้องไห้ที่หน้าบ้าน จึงเดินไปดูสักหน่อย พอเดินมาถึงประตู้รั้วหน้าบ้าน เปิดดูด้านนอกก็ไม่เห็นมีใคร บรรยากาศมืดเพราะฟ้ายังไม่สางนัก
แปลกใจทว่าก็ไม่ได้ใส่ใจมาก อาจจะเป็นคนร้องไห้ผ่านมาแล้วเดินผ่านไปก็ได้ จากนั้นปิดประตูรั้วบ้าน กลับเข้าบ้านปกติ นี่คือเหตุการณ์แรก กลอยใจก็ไม่ได้นำมาเล่าให้ทรงยศผู้เป็นสามีฟัง
คืนที่สองยังไม่ดึกดีเลย สี่ทุ่มตามบ้านนอกเริ่มเงียบสงัด ไม่มีรถวิ่งตามท้องถนนแล้ว เจ้าของบ้านฝั่งตรงข้ามบ้านของทรงยศออกมาเก็บข้าวของเข้าบ้าน มองมายังบ้านของทรงยศ สายตาพลันไปเห็นเด็กสาวอายุยี่สิบต้น ๆ นั่งร้องไห้ตรงกำแพงบ้าน กะจะเดินไปถามทว่าร่างนั้นหายไปกับความมืดต่อหน้าต่อตา พอเห็นแบบนั้นก็ผงะ จึงรีบหันกลับเข้าบ้านไป
ตื่นมาตอนเช้าก็รีบมาที่บ้านของเพื่อนบ้าน เพื่อนำมาเล่าให้ทั้งสองคนฟัง “เออ วันก่อนแม่ตื่นมาหุงข้าวตีห้า แม่ได้ยินเสียงคนร้องไห้ที่หน้าบ้านเรา เดินมาดูก็ไม่เจอใคร แต่ก็ไม่ได้เล่าให้พ่อฟัง” กลอยใจพูดสมทบความน่าเชื่อถือของเพื่อนบ้าน
“ขวัญของเด็กน้อยสองคนนั้นหรือเปล่านะ” ทรงยศพูดลอย ๆ สงสัยว่าจะเป็นเช่นนั้น เพราะความเชื่อเรื่องแบบนี้ก็ยังมีอยู่ในยุคสมัยนี้ “ขวัญออกแน่เลย”
“ใครเหรอ !” เพื่อนบ้านถาม
“เมื่อวันอาทิตย์มีเด็กสองคนพามอเตอร์ไซค์ล้มที่หน้าบ้านน่ะสิ หมาวิ่งตัดหน้ารถเห็นว่างั้น บอกว่าเป็นเพื่อนลูกสาวยายนางคุ้มเหนือนู่น” กลอยใจเป็นคนตอบแทน “ไปบอกยายนางฝากไปบอกเขาหน่อยว่าขวัญเขาออก บอกผู้เฒ่ามาช้อนเอา เดี๋ยวจะมีอันเป็นไปเสียก่อน” กลอยใจพูดด้วยความห่วงใยเด็กสองคนนั้นในนามเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน
จากนั้นเพื่อนบ้านก็นำเรื่องไปบอกฟักแฟง และ ฟักแฟงจึงนำมาเล่าให้แคร์เพื่อนของตนฟัง เมื่อได้ยินคนพูดแบบนั้น แคร์ที่ไม่กล้าบอกพ่อกับแม่ว่าตนเองพามอเตอร์ไซค์ล้ม จึงกลุ้มใจอยู่นิด ๆ จะทำอย่างไรดี กลัวแม่ด่าด้วยว่าไปเลาะเล่นหมู่บ้านอื่น ที่ไปวันนั้นไม่ได้บอกที่บ้านเลย
แคร์มานึกตามที่ฟักแฟงเล่าให้ฟัง ถึงว่าหลังจากเกิดอุบัติเหตุรถล้มวันนั้น ทำไมตนเองถึงตกใจง่าย เสียงดังนิดหน่อยก็สะดุ้งตกใจ กลัวไปหมด ฝันไม่ดีมาตลอด ฝันเห็นผีเห็นคนที่ตายไปแล้วทุกคืน แต่ก็ไม่กล้าเล่าให้คนในบ้านฟัง ไปทำบุญแล้วก็ไม่หาย ตนเองจะทำอย่างไรดี
อ่อ ! ยังมีนุ่มอีกคน ซึ่งทั้งสองคนไม่รู้เลยว่า วิญญาณ หรือ ‘ขวัญ’ ที่ผู้ใหญ่เห็นน่ะเป็นขวัญของใครกันแน่ จึงกะว่าจะไปบอกให้นุ่มบอกพ่อแม่ของนุ่มเองนั่นแหละ ส่วนตนเองก็ขอเกาะไปด้วย ทว่านุ่มก็ไม่กล้าพูดเช่นกัน คราวนี้คิดหนักยิ่งกว่าเดิม
ด้วยความที่แคร์เป็นคนไม่เชื่อเรื่องแบบนี้ ทว่าก็ไม่ลบหลู่ เมื่อคิดว่าจะไม่ทำตนเองก็รู้สึกไม่สบายตัว กลัวความมืด กลัวตอนกลางคืนไปหมด เสียงดังนิด ๆ หน่อย ๆ แม้แต่เสียงจิ้งจกร้องเบา ๆ ก็ตกใจ แถมนอนกลางคืนก็ฝันร้ายไปอีก ซึ่งไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน ตนเองไม่เคยขี้ตกใจแบบนี้มาก่อนด้วย สุดท้ายก็ยอมบอกแม่จนได้
พอแม่ทราบเรื่องจึงบอกยายให้พาผู้เฒ่าไปช้อนขวัญแคร์กับนุ่ม
“มาแล้ว ๆ บาดหนิ ขวัญมาแล้ว !” ยายถือสวิงทำเหมือนช้อนอะไรได้ จากนั้นก็มัดปากทำเหมือนกลัวว่ามันจะลอยหายไปอีก
“พากันมาล้มอยู่นี่ หน้าเฮือนข่อยหนิ ถามแล้วว่าไม่เป็นอะไรมากว่าซั่น “ กลอยใจเล่าให้แม่ของแคร์ฟัง
“ข่อยเห็นมานั่งไห้หงืก ๆ อยู่นี่ ว่าสิเข้าไปถาม หายไปต่อหน้าต่อตาข่อยน้อเจ้า แล่นเข้าเฮือนโลดแหล่วข่อย ฮา ของมูหนิบ่เชื่อกะบ่ลบหลู่เด้อ “ คนที่เห็นเธอร้องไห้ตัวเป็น ๆ ที่หน้าบ้านหลังนี้พูดอย่างถึงพริกถึงขิง “พ่อใหญ่ยศว่าเป็นมูนางแฟงลูกยายนางว่าซั่น กะเลยยางไปฝากความมาบอกให้มาช้อนเอาขวัญนี่ล่ะ”
แม่ปรายตามอง เธอหลบสายตา ทว่าแม่ก็ไม่ได้บ่นอะไร ตอนที่บอกเรื่องนี้แม่ก็ไม่ด่าด้วยซ้ำ เธอคิดไปเอง ก็มีบ่นนิดหน่อยตามประสาความเป็นห่วงลูกนั่นแหละ
แล้วพวกคุณล่ะ เคยเจอเรื่องแบบเราบ้างไหม นำมาเล่าแลกเปลี่ยนกันค่ะ…
จบ…