เมื่อโลกจะไม่ใช้น้ำมันในอีก 10~20 ปีข้างหน้า

(ตอนที่ 1) 

จั่วหัวนี้ผมหมายถึงในอุตสาหกรรมยานยนต์นะครับ การที่ค่ายรถ Mercedes ประกาศว่าตั้งแต่ปี 2025 โรงงานเยอรมันจะไม่ผลิตรถยนต์สันดาปภายใน (Combustion Engine) โดยจะผลิตแต่รถไฟฟ้าล้วน และตาม (หรือก่อนหน้า) คือค่ายใบพัดสีฟ้าก็ประกาศไว้เช่นกัน โดยนโยบายของประเทศเยอรมัน / อังกฤษประกาศชัดว่าจะไม่มีรถนน้ำมันวิ่งในประเทศตั้งแต่ปี 2030 นั้นคืออีก 8 ปีจากนี้ โดยประเทศนอร์เวประกาศก่อนเลยว่าจะขายรถไฟฟ้าล้วนในปี 2025 คืออีก 4 ปี ซึ่งหมายถึงการลดลงของการใช้น้ำมันเพื่อรถสันดาปภายในลงไปเรื่อย

นั่นก็หมายความว่าโลกกำลังเข้าสู่ยุครถไฟฟ้าอย่างเต็มตัวในอีก 10 ปีข้างหน้า ธุรกิจด้านหนึ่งก็จะ disrupt ไป ซึ่งแน่นอนนั่นคือธุรกิจรถน้ำมัน และอุตฯ ต่อเนื่องที่ใช้กับรถสันดาปภายใน แต่ภาคอุตสาหกรรมในฐานะผู้ผลิตยังอาจจะสามารถปรับตัวได้โดยหันไปผลิตสินค้าส่งค่ายรถไฟฟ้าเช่นเดิม แต่เท่าที่อ่านและติดตามมารวมถึงได้เข้ามาคลุกวงใน รถไฟฟ้ามันจะทำให้มีผู้ล้มหายตายจากไปพอสมควร เพราะชิ้นส่วนหลักๆ มีรวมกันไม่กี่ชิ้น (เท่าที่ศึกษามาชิ้นส่วนรถไฟฟ้าจะมีประมาณ 5,000 ชิ้น ในขนาดที่รถยนต์สันดาปภายในจะมีอยู่ประมาณ 30,000 ชิ้น)

ในเมืองไทย หลายค่ายน้ำมันก็เร่งปรับตัว ไม่ว่าจะค่าย รฟฟ. หรือ ฝั่งผู้ค้าน้ำมัน ก็เริ่มลงทุนแบตเตอรี่ไฟฟ้าชนิดความจุสูงรองรับรถไฟฟ้า รวมถึงการสร้างสถานีชาร์จรถไฟฟ้าผุดขึ้นมารองรับการใช้งานรถไฟฟ้ากันหลายค่าย

รถไฟฟ้าในขณะนี้มี 4 ประเภท นั่นคือ

1. Hybrid คือรถที่ใช้น้ำมัน+Battery ชิ่อย่อเรียกว่า HEV
2. Plug-in Hybrid หรือ PHEV คือรถเหมือนข้อ 1 แต่สามารถชาร์จไฟฟ้าจาก Power Box ข้างนอกได้
3. รถ Battery EV Car หรือ BEV คือรถใช้แบตเตอรี่ล้วนๆ ไม่มีเครื่องยนต์สันดาปแล้ว
4. รถ Fuelcell EV ย่อว่า FCEV อันนี้ใช้พลังงานไฟฟ้าที่มาจากก๊าซ Hydrogen อันนี้ผมจะยังไม่พูดถึงเพราะน่าจะยากอยู่ในช่วง 10 ขวบปีนี้

เดี๋ยวมาต่อวันหลังครับ กับนโยบายประเทศไทย ทิศทางของประเทศไทย  ทิศทางของเอเชีย ส่วนพวกยุโรป อเมริกา เค้าชัดแล้ว ของเราก็ชัดแต่ยังเป็นนโยบายที่ยังเกรงใจค่ายรถน้ำมัน และผู้ผลิต/ผู้ค้าน้ำมันอยู่ เพราะแต่ละค่ายมีโรงงานผลิตรถที่ใช้น้ำมันกันทั้งนั้น รวมถึงกลุ่มโรงกลั้นที่ยังต้องการที่จะโกยกำไรจากการลงทุนกลับก่อน บ้านเราล่าสุดที่ท่าน รมต. พลังงานประกาศไว้เมื่อเร็วๆ นี้ คือ 2030 มีรถ ZEV (zero emission vehicle) อยู่ 30% และที่บอร์ดรถ EV ฟันธงเอาไว้คือ ประเทศไทยจะเป็นประเทศใช้รถไฟฟ้า 100% ในปี 2578 ก็อีกเกือบ 15 ปี เดี๋ยวเรามาว่ากันต่อในรายละเอียดรถไฟฟ้ากันครับ

จากภาพก็เห็นได้ว่าบริษัทในตลาดหุ้นและนอกตลาด คงจะคึกคักรับ EV กันในอนาคตอันใกล้ใครจะรุ่ง ใครจะร่วง เดี๋ยวมาว่ากัน แต่ที่แน่ๆ การใช้น้ำมันน่าจะลดลงในหมวดยานยนต์ และคงเอาพลังงาน fossil ไปใช้ในการผลิตไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้น แต่ๆๆๆๆ เดี๋ยวจะบอกว่าในอนาคตถ้าสามารถมีตัวกักเก็บพลังงาน (battery) ที่มีราคาถูกลงกว่านี้อีกสักครึ่งหนึ่ง หรือมากกว่า เราจะสามารถผลิตไฟฟ้าใช้เอง ชาร์จเองได้สบาย เพียงแค่มีพื้นที่รับแสงอาทิตย์ที่พอเหมาะ หรือจะเป็นชุมชนผลิตไฟฟ้าขายให้กันและกันในอนาคตได้ไม่ยากครับ ซึ่งปัจจุบันก็ทำกันไปแล้วหลายประเทศ แต่ประเทศไทยยังมีเรื่องต้นทุน เรื่องกำไร/ขาดทุน ของการไฟฟ้าเพื่อรักษาเสถียรภาพพลังงานไฟฟ้าให้มั่นคงคงเป็นเรื่องที่ต้องปรับตัว/บริหารจัดการกันต่อไป แต่ขอให้เชื่อเถอะ อนาคตมันไล่ล่าเราแน่นอน และมันจะเร็วกว่าที่คิด เพราะการผลิกโฉมอุตฯ ของตลาดยานยนต์ไฟฟ้าทั่วโลก

เดี๋ยวมาต่อกันตอนหน้าเรื่องรถ BEV และผลกระทบต่ออุตฯ รถในไทย

ใครมีข้อมูลอะไร เชิญเข้ามาแชร์กันเลยนะครับ

อ้างอิง :

https://www.thairath.co.th/news/auto/news/2149769
https://www.sanook.com/auto/80731/

https://gnews.apps.go.th/news?news=87223

https://elbil.no/english/norwegian-ev-policy/

หมายเหตุ : ผมยังใหม่ในเรื่องยานยนต์ไฟฟ้า และอยากจะศึกษาเพื่อเข้าใจวิถีของมันเหมือนวันหนึ่งผมนั่งมองธุรกิจสื่อสาร ที่ 30 ปีที่ผ่านมามันมาจาก fixed line มาจนถึงจะ6G อยู่แล้ว และผมเองก็นั่งมองการลงทุนในกิจการโรงไฟฟ้า จนมาถึงโรงไฟฟ้าพลังงานทางเลือก จะเห็นได้ว่าเทคโนโลยี มันวิ่งไปเร็วจนบางทีก็ตกใจครับ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่