
[ระวัง SPOIL มีการเปิดเผยประเด็นสำคัญของหนัง]
จากนวนิยายกึ่งอัตชีวประวัติของ Tommy Murphy (เพิ่งมีฉบับแปลภาษาไทยในชื่อ “ในอ้อมกอดเขา” สำนักพิมพ์ Bear Publishing วางขายได้ไม่นาน) สู่ภาพยนตร์ที่พาเราย้อนวันเวลาไปสู่ยุค 80 – 90 เพื่อดูความสัมพันธ์ในรอบ 15 ปีของคู่รักเกย์คู่หนึ่งในออสเตรเลีย นับจากวันที่พวกเค้าเป็นเพียงนักเรียนไฮสกูล แล้วเผชิญหน้ากับการต่อต้านจากครอบครัว เมื่อรู้ว่าลูกๆ ของพวกเค้าคบหากัน สู่ช่วงเวลาวัยรุ่นที่พยายามแสดงตัวตนให้สังคมได้เห็นว่าความรักของพวกเค้าเป็นเช่นไร ก่อนจะต้องรับมือกับโรคร้ายที่คร่าชีวิตเกย์ทั่วโลกราวกับใบไม้ร่วง
.
เกลียดครึ่งแรกของหนังมากๆ และหลงรักครึ่งหลังของเรื่องมากๆ จนต้องตั้งคำถามกับตัวเองว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แล้วก็พบว่าเราไม่เชื่อในการแสดงของสองนักแสดงนำในช่วงต้นของเรื่องเลย มันไม่ผิดหรอกที่ผู้กำกับจะเลือกใช้นักแสดงคนเดียวคนเดิมให้รับบทบาทแสดงตั้งแต่วัยเด็กจนเติบโตเป็นผู้ใหญ่ แต่เทคนิคทางการแสดงของพวกเค้าต้องมีมากกว่านี้ กับการทำให้เราเชื่อว่าที่เห็นตรงหน้าคือเด็กหนุ่มกระฉับกระเฉง ไร้เดียงสา และลุ่มหลงในกันและกัน แล้วก็ต้องยอมรับตามตรงว่า หน้าตาของ Ryan Corr ในบท Tim และ Craig Stott ในบท John มันเลยวัยไปมากทีเดียว มากไปกว่านั้น พวกเค้าต้องสร้างพัฒนาการของตัวละครให้เห็นด้วย ซึ่งสิ่งที่เห็นตรงหน้า สิ่งที่ตัวละครพบเจอมันหนักหนามากขึ้นเรื่อยๆ แต่การแสดงของพวกเค้าไม่ได้ทำให้เห็นพัฒนาการหรือการเติบโตของตัวละครเลย
.
ถึงอย่างนั้น เราก็ชอบครึ่งหลังมากๆ เพราะพอเล่าพาร์ตที่ตัวละครเริ่มเติบโตแล้ว เราก็เริ่มเชื่อในตัวละคร ทั้งรูปร่างหน้าตา การแสดง และชอบความซับซ้อนของมิติทางอารมณ์ของตัวละครมากๆ ตั้งแต่ความพยายามปลีกตัวออกห่างของ Tim เพื่อต้องการพื้นที่ อิสระ และการได้ใช้ชีวิตเกย์ที่สนุกกับชีวิตเซ็กส์กับคนอื่นๆ บ้าง และยิ่งพอมันเล่าถึงจุดเปลี่ยนสำคัญ กับประเด็นเอชไอวี/เอดส์ เราก็ชอบมาก เพราะในขณะที่หนังที่เล่าเรื่องตัวละครผู้เผชิญหน้ากับเอชไอวีเรื่องอื่นๆ มักจะต้องเผชิญกับมันเพียงลำพัง แต่นี่คือคู่รักเกย์ที่ต้องรับมือกับมันไปด้วยกัน ยิ่งเมื่อมันพูดถึงความรู้สึกดีหรือรู้สึกผิดกับประเด็นว่า ใครติดเชื้อก่อนใคร และใครน่าจะแพร่เชื้อให้ใครกันแน่ มันก็ทำให้ Holding the Man ทั้งแตกต่างจากเรื่องอื่นๆ และสมจริงมาก
.
ถึงหนังจะเต็มไปด้วยช่วงเวลาเคร่งเครียด อึดอัด กดดัน ผสมผสานไปกับความสัมพันธ์กันร้อนแรงและโรแมนติกของ Tim กับ John แต่เรากลับชอบช่วงเวลาที่พวกเค้าใช้กับตัวละครอื่นๆ มากกว่า ทั้งกลุ่มเพื่อนสมัยเรียนไฮสกูลของพวกเค้า ที่ไม่ได้รับได้กับความสัมพันธ์นี้ไปซะหมด หรือสายสัมพันธ์ระหว่างพวกเค้ากับพ่อแม่ของตัวเอง ชอบพ่อแม่ของ Tim มากๆ (Guy Pearce รับบทเป็นพ่อที่หล่อมาก) นี่คือพ่อแม่ที่พยายามเข้าใจลูกถึงที่สุดในตัวตนทุกด้านของลูกจริงๆ ส่วนพ่อแม่ของ John ก็มอบพลังดราม่าเข้มข้นจนถึงฉากสุดท้ายเลย
.
ความสัมพันธ์กับระยะเวลา 15 ปีมันยาวนานมากนะ ในความทรงจำของ Tim และ John เราก็มองเห็นความทรงจำในความสัมพันธ์ของตัวเองทาบทับอยู่บนนั้นด้วยเหมือนกัน ว่าแล้วก็กดสั่งซื้อหนังสือ Holding the Man “ในอ้อมกอดเขา” มาอ่านดีกว่า
อ่านบทความอื่นๆ ได้ที่
เพจ ชีวิตผมก็เหมือนหนัง
[CR] [Review] Holding the Man (2015)
[ระวัง SPOIL มีการเปิดเผยประเด็นสำคัญของหนัง]
จากนวนิยายกึ่งอัตชีวประวัติของ Tommy Murphy (เพิ่งมีฉบับแปลภาษาไทยในชื่อ “ในอ้อมกอดเขา” สำนักพิมพ์ Bear Publishing วางขายได้ไม่นาน) สู่ภาพยนตร์ที่พาเราย้อนวันเวลาไปสู่ยุค 80 – 90 เพื่อดูความสัมพันธ์ในรอบ 15 ปีของคู่รักเกย์คู่หนึ่งในออสเตรเลีย นับจากวันที่พวกเค้าเป็นเพียงนักเรียนไฮสกูล แล้วเผชิญหน้ากับการต่อต้านจากครอบครัว เมื่อรู้ว่าลูกๆ ของพวกเค้าคบหากัน สู่ช่วงเวลาวัยรุ่นที่พยายามแสดงตัวตนให้สังคมได้เห็นว่าความรักของพวกเค้าเป็นเช่นไร ก่อนจะต้องรับมือกับโรคร้ายที่คร่าชีวิตเกย์ทั่วโลกราวกับใบไม้ร่วง
.
เกลียดครึ่งแรกของหนังมากๆ และหลงรักครึ่งหลังของเรื่องมากๆ จนต้องตั้งคำถามกับตัวเองว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แล้วก็พบว่าเราไม่เชื่อในการแสดงของสองนักแสดงนำในช่วงต้นของเรื่องเลย มันไม่ผิดหรอกที่ผู้กำกับจะเลือกใช้นักแสดงคนเดียวคนเดิมให้รับบทบาทแสดงตั้งแต่วัยเด็กจนเติบโตเป็นผู้ใหญ่ แต่เทคนิคทางการแสดงของพวกเค้าต้องมีมากกว่านี้ กับการทำให้เราเชื่อว่าที่เห็นตรงหน้าคือเด็กหนุ่มกระฉับกระเฉง ไร้เดียงสา และลุ่มหลงในกันและกัน แล้วก็ต้องยอมรับตามตรงว่า หน้าตาของ Ryan Corr ในบท Tim และ Craig Stott ในบท John มันเลยวัยไปมากทีเดียว มากไปกว่านั้น พวกเค้าต้องสร้างพัฒนาการของตัวละครให้เห็นด้วย ซึ่งสิ่งที่เห็นตรงหน้า สิ่งที่ตัวละครพบเจอมันหนักหนามากขึ้นเรื่อยๆ แต่การแสดงของพวกเค้าไม่ได้ทำให้เห็นพัฒนาการหรือการเติบโตของตัวละครเลย
.
ถึงอย่างนั้น เราก็ชอบครึ่งหลังมากๆ เพราะพอเล่าพาร์ตที่ตัวละครเริ่มเติบโตแล้ว เราก็เริ่มเชื่อในตัวละคร ทั้งรูปร่างหน้าตา การแสดง และชอบความซับซ้อนของมิติทางอารมณ์ของตัวละครมากๆ ตั้งแต่ความพยายามปลีกตัวออกห่างของ Tim เพื่อต้องการพื้นที่ อิสระ และการได้ใช้ชีวิตเกย์ที่สนุกกับชีวิตเซ็กส์กับคนอื่นๆ บ้าง และยิ่งพอมันเล่าถึงจุดเปลี่ยนสำคัญ กับประเด็นเอชไอวี/เอดส์ เราก็ชอบมาก เพราะในขณะที่หนังที่เล่าเรื่องตัวละครผู้เผชิญหน้ากับเอชไอวีเรื่องอื่นๆ มักจะต้องเผชิญกับมันเพียงลำพัง แต่นี่คือคู่รักเกย์ที่ต้องรับมือกับมันไปด้วยกัน ยิ่งเมื่อมันพูดถึงความรู้สึกดีหรือรู้สึกผิดกับประเด็นว่า ใครติดเชื้อก่อนใคร และใครน่าจะแพร่เชื้อให้ใครกันแน่ มันก็ทำให้ Holding the Man ทั้งแตกต่างจากเรื่องอื่นๆ และสมจริงมาก
.
ถึงหนังจะเต็มไปด้วยช่วงเวลาเคร่งเครียด อึดอัด กดดัน ผสมผสานไปกับความสัมพันธ์กันร้อนแรงและโรแมนติกของ Tim กับ John แต่เรากลับชอบช่วงเวลาที่พวกเค้าใช้กับตัวละครอื่นๆ มากกว่า ทั้งกลุ่มเพื่อนสมัยเรียนไฮสกูลของพวกเค้า ที่ไม่ได้รับได้กับความสัมพันธ์นี้ไปซะหมด หรือสายสัมพันธ์ระหว่างพวกเค้ากับพ่อแม่ของตัวเอง ชอบพ่อแม่ของ Tim มากๆ (Guy Pearce รับบทเป็นพ่อที่หล่อมาก) นี่คือพ่อแม่ที่พยายามเข้าใจลูกถึงที่สุดในตัวตนทุกด้านของลูกจริงๆ ส่วนพ่อแม่ของ John ก็มอบพลังดราม่าเข้มข้นจนถึงฉากสุดท้ายเลย
.
ความสัมพันธ์กับระยะเวลา 15 ปีมันยาวนานมากนะ ในความทรงจำของ Tim และ John เราก็มองเห็นความทรงจำในความสัมพันธ์ของตัวเองทาบทับอยู่บนนั้นด้วยเหมือนกัน ว่าแล้วก็กดสั่งซื้อหนังสือ Holding the Man “ในอ้อมกอดเขา” มาอ่านดีกว่า
อ่านบทความอื่นๆ ได้ที่ เพจ ชีวิตผมก็เหมือนหนัง
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้