การทะเลาะที่ไม่ยุติธรรม
ทุกๆครั้งที่แม่และพี่ทะเลาะกันหนูมักจะโดนไปด้วยเสมอ แม่มักจะพูดจารุนแรงและกระทบจิตใจอย่างมากตั้งแต่ตอนที่กลับมาอีกครั้ง มันส่งผลกับการใช้ชีวิตของหนูเพราะถ้าสองคนทะเลาะกันหนูจะไม่ได้เงินไปโรงเรียน แต่เวลาที่หนูทะเลาะกับแม่พี่กลับได้เงินไปโรงเรียน ทำให้หนูรู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรม นับตั้งแต่วันนั้นถ้าแม่ไม่ให้อะไรหนูก็จะไม่ขอหรือบอกว่าอยากได้อีกเลย
เงินที่หนูสมควรได้รับ
เวลาที่มีเงินเก็บแม่จะมาขอยืม แล้วถ้าหนูไม่ให้แม่ก็จะด่าบอกว่ากูเป็นแม่ไม่ใช่ลูก แต่ว่าแม่ไม่คืนเงินที่หนูพยายามเก็บมาตลอดครึ่งปี มันยากนะคะและก็เอาไปโพสต์หน้าเฟสพูดถึงแต่เรื่องแย่ๆที่ขนาดหนูก็ไม่ได้รู้จักแม่อีกต่อไปแล้ว แต่หนูไม่สามารถระบายทุกอย่างออกไปได้นอกจากนั่งอยู่เงียบๆให้คนอื่นพูดในสิ่งที่พวกเค้าไม่รู้ หลังจากนั้นแม่ก็จะพูดเหน็บอยู่ตลอดเวลา
บางครั้งหนูก็อยากถามเหมือนกัน แล้วหนูไม่ใช่ลูกหรอ ถ้าอยากจะได้อะไรสักอย่างต้องแลกกับค่าอาหารที่ตัวเองควรจะได้กิน เงินพวกนั้นมันเป็นสิ่งที่หนูสมควรได้รับไม่ใช่หรอ
ความสัมพันธ์ของเพื่อน
หนูเคยขอไปนอนค้างบ้านเพื่อนเพราะมีงานที่ต้องช่วยกันทำ แม่ไม่อนุญาติให้ไปแต่ให้เพื่อนมาบ้านได้ พอเพื่อนมาแม่ก็จะพูดจาเหน็บเหมือนไม่อยากเห็นเพื่อนหนู หลังจากนั้นเพื่อนก็แทบจะไม่คุยกับหนูเลย พวกเราดูอึดอัดเวลาอยู่ด้วยกัน
สังคมในโรงเรียนตอนประถมและมัธยม
หนูมักจะย้ายโรงเรียนบ่อย เพราะแม่ต้องย้ายที่ทำงานบวกกับสุขภาพและเศรษฐกิจช่วงนั้น(ลุง...)
ช่วงที่ย้ายกลับมาจากBหนูก็ต้องเตรียมตัวไปโรงเรียนใหม่ตอนป.6 หนูนึกว่ามันจะดีขึ้นแล้วซะอีกเพราะที่โรงเรียนเดิมเวลาเพื่อนสองคนทะเลาะกัน หากหนูเลือกฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง พอพวกเค้าคืนดีกัน หนูกลับไม่มีเพื่อนเลย แต่ที่นี่เป็นการบูลลี่ที่แรงกว่านั้นแรกๆมันก็ดีเพราะทุกคนเข้ามาทักทายและพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน พอจบบทสนทนาของทุกคน รุ่นน้องคนนึงก็พูดว่า"อย่าไปเล่นกับอีนั่นนะ" หนูอึ้งไปสักพักแล้วก็ถามต่อว่าทำไม ถึงแม้ว่าหนูจะจำสิ่งที่รุ่นน้องคนนั้นอธิบายไม่ได้ แต่หนูก็พยายามไม่เข้าใกล้หรือพูดคุยกับเพื่อนคนนั้นเพราะหนูไม่อยากจะมีปัญหา
มันคงจะเป็นความผิดที่หนูไม่เข้าไปช่วยเหลือหรือคุยกับเพื่อนคนนั้น วันนึงเพื่อนผู้ชายของรุ่นน้องมาบอกชอบหนู ทุกคนบอกให้คบกันเลยแต่หนูยังไม่แน่ใจเลยยังไม่ได้ให้คำตอบ ตอนพักเที่ยงรุ่นน้องมาบอกว่ากำลังแอบชอบเพื่อนตัวเอง แล้วหนูก็บอกรุ่นน้องว่ายังไงพี่ก็ไม่ได้คิดอะไรอยู่แล้วรุ่นน้องก็พูดขึ้นมาว่าคบไปเหอะหนูพูดเล่น แต่สีหน้ามันคนละทางเลยนะถ้าชอบแล้วทำไมต้องบอกให้คบด้วยล่ะ(คิดในใจ) หนูเลยตอบตกลงไปก่อนเพราะยังไงมันก็แค่ความรักของเด็กๆ วันนึงรุ่นน้องเล่นบางอย่าง(ถกกระโปง)แต่หนูไม่อยากจะเล่นด้วยพวกเราเลยทะเลาะกันอย่างรุนแรงเพราะรุ่นน้องคนนั้นกำลังจะถอดเสื้อผ้าหนู หนูเลยถีบเข้าที่หน้าอก(ถอดรองเท้าแล้วนะคะ) ทำให้รุ่นน้องหงายหลังไป แล้วหนูก็ลุกขึ้นมาบอกว่าพอแล้วพูดยังไม่จบก็โดนรุ่นน้องผลักกระเด็นเพราะตัวเล็กแบบขาดสารอาหารมาก ทุกคนยืนดูโดยที่ไม่ห้ามอะไรบางคนก็หัวเราะที่พวกเราทะเลาะกัน บางคนก็ยืนดูนิ่งๆ หนูยังจำได้ไม่เคยลืมความรู้สึกที่กลัวสายตาของคนอื่นจ้องมาที่พวกเรา
หลังจากที่เราทะเลาะกันรุ่นน้องก็สั่งแบนไม่ให้ทุกคนเล่นกับหนูแม้แต่เพื่อนห้องเดียวกันก็ตาม หนูคิดว่ามันไม่เป็นอะไรหรอกเพราะแค่ปีเดียวเองก็จะจบแล้ว อดทนหน่อยนะ ระหว่างนั้นมีรุ่นน้องผู้ชายที่เอาแต่ล้อชื่อแม่จนหนูควบคุมอารมณ์ไม่ได้ไปพักนึงหนูหยิบแก้วพลาสติกแล้วปาไปที่หน้าต่างแต่มันไปโดนหัวพอดี(หนูก็แม่นเหมือนกันนะเนี่ย)จู่ๆรุ่นน้องผู้ชายก็ร้องไห้และเลือดออกหนูไม่รู้ว่าตัวเองขว้างไปแรงขนาดไหนเพราะเราอยู่ไกลกันมากตอนที่หนูขว้างแก้วพลาสติกไปสุดท้ายหนูก็ต้องไปขอโทษและรุ่นน้องผู้ชายก็ไม่ได้ล้อชื่อแม่หนูอีกเลย(น้องมาขอโทษแล้วค่ะ) หลังจากที่ขึ้นมัธยมก็มีอีกหลายเรื่องที่หนูไม่เข้าใจเกี่ยวกับการบูลลี่เลยมันเป็นอะไรที่ไม่มีเหตุหรือผล แค่เพราะไม่ชอบก็เลยบอกให้คนอื่นไม่ชอบด้วย แล้วหนูก็ได้เข้าใจว่าทำไมถึงพวกเค้าถึงทำแบบนั้นในช่วงมัธยมต้นหนูเองก็ไปบูลลี่เพื่อนคนนึงเหมือนกัน เพื่อนFมักจะไม่ค่อยคุยกับหนูแล้วก็ตีตัวออกห่างจากหนูเพื่อนอีกคนบอกว่าพวกเขากำลังพูดถึงหนูอยู่(หนูชอบแต่งตัวหรือหน้าไปโรงเรียนเพราะมันทำให้หนูรู้สึกสบายใจเหมือนเราใส่หน้ากากอยู่)หนูคิดว่าน่าจะเป็นเรื่องนี้เพราะเราไม่ได้รู้จักกันเป็นพิเศษถึงแม้จะอยู่กลุ่มเดียวกัน หนูเลยถามเพื่อนเกี่ยวกับเพื่อนFบ้างมันทำให้เราสองฝ่ายต่างไม่พอใจกันแล้วก็เริ่มพูดถึงกันในทางลบมากขึ้น แม้แค่จะเดินเปลี่ยนคาบเรียนก็ยังมีเรื่องให้นินทากัน พวกเราเหม็นขี้หน้ากันมาตั้งแต่วันนั้น จนมีเรื่องอื่นมาทำให้ปวดหัวแทน(เรื่องในครอบครัว) เป็นเพราะว่าหนูชอบแต่งหน้าไปโรงเรียนแค่ทาปากนิดหน่อยแล้วก็น้องกานิเย่(มีเพื่อนผู้ชายเคยบอกว่าหน้าหนูเหมือนศพเพราะปากซีดหนูก็เลยไม่ค่อยมั่นใจในตัวเอง)เลยทำกลายเป็นว่าหนูอยากเด่นอยู่ตลอดเวลา(นั่นก็ใช่นะคะเพราะเกิดเป็นผู้หญิงอย่าหยุดสวย)ทำให้หลายคนไม่ค่อยชอบสักเท่าไหร่(มันแสดงออกทางสีหน้าหมดนั่นแหละค่ะ) หนูเองก็เคยมีวีรกรรมเข้าห้องปกครองเพราะกระโปรงสั้นครั้งนึงด้วยนะคะ หลังจากเข้าค่ายลูกเสือเสร็จก็ขก.ซักชุดนักเรียนที่เป็นชุดลำลองตอนเข้าค่ายทำให้ไม่มีกระโปรงใส่ เลยไปค้นชุดตอนประถมของพี่มาใส่ พอถึงเวลาก็ดึงๆลงแล้วก็ไปโรงเรียน(มันเลยหัวเข่ามาครึ่งของครึ่งค่ะ)ตอนนั้นเสื้อคุมเกาหลีกำลังฮิตสำหรับหนูก็เลยใส่ไปค่ะ ปรากฏว่ามันดึงกระโปงขึ้นมาทำให้ดูสั้นไปอีก คุณครูเลยประกาศออกหน้าเสาธงแล้วก็เรียกไปพบที่ห้องด่วนเลยค่ะ หนูเริ่มจะร้องไห้เพราะเอาแต่คิดว่าถ้ารีบซักกระโปงก็คงไม่เป็นแบบนี้ พอหนูบอกว่าเป็นกระโปงของพี่ครูก็ให้ไปเรียกพี่มาค่ะ พี่ก็มาแล้วคุณครูก็บอกให้พี่มาใส่กระโปง(ตอนนี้พี่เรียนพละก็เลยใส่ชุดวอร์มค่ะ)พี่เลยบอกว่ามันไม่ใช่ของพี่(พี่หนูขึ้นม.ปลายไปแล้วไม่ได้ใส่ตั้ง3-4ปีเพราะนี่มันกระโปงตอนประถม)หนูก็อธิบายไปว่าไปหยิบอันเก่าของพี่มา(ฟังดูเหมือนข้อแก้ตัวใช่ไหมคะแต่มันเป็นความจริงที่มีแค่หนูที่รู้ค่ะ) แต่พี่ก็ยังปฏิเสธและไม่ช่วยอะไรหนูเลย คุณครูก็เลยให้เขียนเรียงความยาว1หน้า(แค่ให้เล่าสถานการณ์ค่ะ)
หนูเขียนไปด้วยร้องไห้ไปด้วยเพราะรู้สึกกดดันมากคิดได้แค่ต้องรีบกลับไปซักเสื้อผ้าเร็วๆ หลังจากนั้นหนูก็โดนบูลลี่อีกแล้วจากเพื่อนในกลุ่มด้วยกันยังไม่ทันได้ถามเหตุผลก็ไม่มีคนคิดที่จะรับฟัง มันจะต้องมีค่าใช้จ่ายถ้าอยากได้มิตรภาพ จบมัธยมต้นแล้วก็เริ่มมัธยมปลาย หนูขอแม่ไปสอบที่โรงเรียนอื่นด้านภาษา หนูออกค่าเข้าสอบเองค่าบัตรและทุกๆอย่างสุดท้ายก็ไม่ได้ไปเรียนถึงแม้จะสอบติดก็ตามเพราะว่าแม่ไม่มีเงินจ่ายค่าเทอมให้อีกแล้ว หนูเลยต้องกลับไปเรียนที่โรงเรียนเดิมจ่ายค่าเทอมเองแล้วอยู่กลุ่มที่เคยพูดนินทาหนูและบูลลี่หนูเหมือนเดิม ทุกๆอย่างไม่ได้เปลี่ยนไปจากเดิม ก็แค่กระโปงหนูมันยาวมากแต่หนูก็ชอบนะเพราะมันน่ารักดี หนูเลือกเรียนสายวิทย์คณิตเพราะคติที่ว่าเลือกได้หลายคณะหลายอาชีพ แต่หนูลืมสิ่งสำคัญไปว่าหนูอยากเป็นอะไร มันทำให้หนูไม่มีความสุข รู้สึกหมดpassionบวกกับปัญหาครอบครัวตอนนั้นหนูคิดแค่ว่าตายได้ก็คงจะดีไหนๆแม่ก็ชอบบอกให้ไปตายอยู่แล้วเป็นแค่เลือดก้อนเดียวที่สามารถตัดทิ้งได้ หนูไม่มีความรู้สึกอีกแล้วสมองของหนูมันไม่รับอะไรอีกแล้ว มันมีแต่ความรู้สึกที่ว่างเปล่า ความฝันของหนูยังไงก็ถูกแม่กำหนดไว้อยู่แล้ว เพื่อนพวกนั้นต่อให้เค้าไม่คุยกับหนู หนูก็ไม่อยากสนใจอะไรอีกแล้ว หนูกินยาแล้วก็มานอนห้องพยาบาลทุกวันเหมือนกับว่าป่วยหรือจริงๆแล้วหนูป่วยกันแน่นะ ความรู้สึกทั้งหมดที่หนูเก็บไว้จู่ๆวันนึงมันก็ระเบิดออกมา หนูรู้เลยว่าตอนนั้นหนูเหนื่อยมากที่ต้องพยายามเพื่อให้ได้รับความรักจากคนอื่น น้ำตามันไหลออกมาไม่หยุดเลย หลังจากนั้นหนูก็ไม่ไปโรงเรียนอีกเลย ชีวิตม.5ก็จบลงแบบนั้น(หลายคนอาจจะบอกว่าน่าเสียดายทำไมถึงไม่ทนเรียนไปก่อน แต่สำหรับหนู หนูไม่เคยเสียใจที่จะรักตัวเองหรอกนะคะ)หลังจากที่หนูออกไปไม่นานมีเพื่อนหลายคนมาปรึกษาเกี่ยวกับการออกจากโรงเรียนด้วยปัญหาคล้ายๆกัน บางคนออกจากโรงเรียนแต่ไม่เรียนต่อบางคนก็หาที่เรียนใหม่ แต่สภาพจิตใจของหนูตอนนั้นมันยังไม่พร้อมหนูเลยหาวิธีสอบเทียบวุฒิม.6ที่ไม่ต้องไปเรียนและได้พบกับGED เพื่อนFที่มักจะเหม็นขี้หน้ากันได้ทักมาหาหนูแล้วบอกว่าเค้าเข้าใจแล้วนะกับสิ่งที่หนูเจอตอนนี้เค้าก็กำลังเจอแบบเดียวกัน ทุกคนไม่พูดด้วยทั้งๆที่ไม่มีเหตุผล เค้าเข้าใจหนูแล้วคำพูดนี้ทำให้หนูสั่นไปทั้งตัวหนูร้องไห้อีกครั้งแล้วก็ปลอบเพื่อนFและบอกให้เพื่อนFไปเล่นกับเพื่อนผู้ชายน่าจะดีกว่าอย่างน้อยก็ยังมีเพื่อนนะ(พวกเราบอกขอโทษกันในเรื่องที่เคยเกิดขึ้นต่างๆและตอนนี้เราเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน)
ความฝันที่มาจากใจ
หนูเคยบอกเพื่อนและคนในครอบครัวว่าอยากจะเป็นอะไรตอนโตขึ้น ดูเหมือนว่ามันจะไม่ง่ายเลยที่จะทำให้พวกเค้ายอมรับความฝันที่ไม่มีทางเป็นจริงได้เหล่านั้น(ศิลปิน,โปรดิวเซอร์,นักเขียน,นักเต้น)ใช่ค่ะมันง่ายมากถ้าให้เทียบกับสายตาและคำพูดที่ดูถูกพวกนั้นแต่หนูไม่สามารถข้ามผ่านมันไปได้เลย เพราะว่าเคยทำผิดพลาดก็เลยเกิดอาการฝังใจว่าจะต้องผิดพลาดอีก ตอนนี้หนูทำได้แค่หาpassion และฝึกซ้อมเท่านั้น
ปล.อย่าลืมรักตัวเองกันด้วยนะคะ
ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่หนูอยากออกไปจากที่นี่
ทุกๆครั้งที่แม่และพี่ทะเลาะกันหนูมักจะโดนไปด้วยเสมอ แม่มักจะพูดจารุนแรงและกระทบจิตใจอย่างมากตั้งแต่ตอนที่กลับมาอีกครั้ง มันส่งผลกับการใช้ชีวิตของหนูเพราะถ้าสองคนทะเลาะกันหนูจะไม่ได้เงินไปโรงเรียน แต่เวลาที่หนูทะเลาะกับแม่พี่กลับได้เงินไปโรงเรียน ทำให้หนูรู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรม นับตั้งแต่วันนั้นถ้าแม่ไม่ให้อะไรหนูก็จะไม่ขอหรือบอกว่าอยากได้อีกเลย
เงินที่หนูสมควรได้รับ
เวลาที่มีเงินเก็บแม่จะมาขอยืม แล้วถ้าหนูไม่ให้แม่ก็จะด่าบอกว่ากูเป็นแม่ไม่ใช่ลูก แต่ว่าแม่ไม่คืนเงินที่หนูพยายามเก็บมาตลอดครึ่งปี มันยากนะคะและก็เอาไปโพสต์หน้าเฟสพูดถึงแต่เรื่องแย่ๆที่ขนาดหนูก็ไม่ได้รู้จักแม่อีกต่อไปแล้ว แต่หนูไม่สามารถระบายทุกอย่างออกไปได้นอกจากนั่งอยู่เงียบๆให้คนอื่นพูดในสิ่งที่พวกเค้าไม่รู้ หลังจากนั้นแม่ก็จะพูดเหน็บอยู่ตลอดเวลา
บางครั้งหนูก็อยากถามเหมือนกัน แล้วหนูไม่ใช่ลูกหรอ ถ้าอยากจะได้อะไรสักอย่างต้องแลกกับค่าอาหารที่ตัวเองควรจะได้กิน เงินพวกนั้นมันเป็นสิ่งที่หนูสมควรได้รับไม่ใช่หรอ
ความสัมพันธ์ของเพื่อน
หนูเคยขอไปนอนค้างบ้านเพื่อนเพราะมีงานที่ต้องช่วยกันทำ แม่ไม่อนุญาติให้ไปแต่ให้เพื่อนมาบ้านได้ พอเพื่อนมาแม่ก็จะพูดจาเหน็บเหมือนไม่อยากเห็นเพื่อนหนู หลังจากนั้นเพื่อนก็แทบจะไม่คุยกับหนูเลย พวกเราดูอึดอัดเวลาอยู่ด้วยกัน
สังคมในโรงเรียนตอนประถมและมัธยม
หนูมักจะย้ายโรงเรียนบ่อย เพราะแม่ต้องย้ายที่ทำงานบวกกับสุขภาพและเศรษฐกิจช่วงนั้น(ลุง...)
ช่วงที่ย้ายกลับมาจากBหนูก็ต้องเตรียมตัวไปโรงเรียนใหม่ตอนป.6 หนูนึกว่ามันจะดีขึ้นแล้วซะอีกเพราะที่โรงเรียนเดิมเวลาเพื่อนสองคนทะเลาะกัน หากหนูเลือกฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง พอพวกเค้าคืนดีกัน หนูกลับไม่มีเพื่อนเลย แต่ที่นี่เป็นการบูลลี่ที่แรงกว่านั้นแรกๆมันก็ดีเพราะทุกคนเข้ามาทักทายและพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน พอจบบทสนทนาของทุกคน รุ่นน้องคนนึงก็พูดว่า"อย่าไปเล่นกับอีนั่นนะ" หนูอึ้งไปสักพักแล้วก็ถามต่อว่าทำไม ถึงแม้ว่าหนูจะจำสิ่งที่รุ่นน้องคนนั้นอธิบายไม่ได้ แต่หนูก็พยายามไม่เข้าใกล้หรือพูดคุยกับเพื่อนคนนั้นเพราะหนูไม่อยากจะมีปัญหา
มันคงจะเป็นความผิดที่หนูไม่เข้าไปช่วยเหลือหรือคุยกับเพื่อนคนนั้น วันนึงเพื่อนผู้ชายของรุ่นน้องมาบอกชอบหนู ทุกคนบอกให้คบกันเลยแต่หนูยังไม่แน่ใจเลยยังไม่ได้ให้คำตอบ ตอนพักเที่ยงรุ่นน้องมาบอกว่ากำลังแอบชอบเพื่อนตัวเอง แล้วหนูก็บอกรุ่นน้องว่ายังไงพี่ก็ไม่ได้คิดอะไรอยู่แล้วรุ่นน้องก็พูดขึ้นมาว่าคบไปเหอะหนูพูดเล่น แต่สีหน้ามันคนละทางเลยนะถ้าชอบแล้วทำไมต้องบอกให้คบด้วยล่ะ(คิดในใจ) หนูเลยตอบตกลงไปก่อนเพราะยังไงมันก็แค่ความรักของเด็กๆ วันนึงรุ่นน้องเล่นบางอย่าง(ถกกระโปง)แต่หนูไม่อยากจะเล่นด้วยพวกเราเลยทะเลาะกันอย่างรุนแรงเพราะรุ่นน้องคนนั้นกำลังจะถอดเสื้อผ้าหนู หนูเลยถีบเข้าที่หน้าอก(ถอดรองเท้าแล้วนะคะ) ทำให้รุ่นน้องหงายหลังไป แล้วหนูก็ลุกขึ้นมาบอกว่าพอแล้วพูดยังไม่จบก็โดนรุ่นน้องผลักกระเด็นเพราะตัวเล็กแบบขาดสารอาหารมาก ทุกคนยืนดูโดยที่ไม่ห้ามอะไรบางคนก็หัวเราะที่พวกเราทะเลาะกัน บางคนก็ยืนดูนิ่งๆ หนูยังจำได้ไม่เคยลืมความรู้สึกที่กลัวสายตาของคนอื่นจ้องมาที่พวกเรา
หลังจากที่เราทะเลาะกันรุ่นน้องก็สั่งแบนไม่ให้ทุกคนเล่นกับหนูแม้แต่เพื่อนห้องเดียวกันก็ตาม หนูคิดว่ามันไม่เป็นอะไรหรอกเพราะแค่ปีเดียวเองก็จะจบแล้ว อดทนหน่อยนะ ระหว่างนั้นมีรุ่นน้องผู้ชายที่เอาแต่ล้อชื่อแม่จนหนูควบคุมอารมณ์ไม่ได้ไปพักนึงหนูหยิบแก้วพลาสติกแล้วปาไปที่หน้าต่างแต่มันไปโดนหัวพอดี(หนูก็แม่นเหมือนกันนะเนี่ย)จู่ๆรุ่นน้องผู้ชายก็ร้องไห้และเลือดออกหนูไม่รู้ว่าตัวเองขว้างไปแรงขนาดไหนเพราะเราอยู่ไกลกันมากตอนที่หนูขว้างแก้วพลาสติกไปสุดท้ายหนูก็ต้องไปขอโทษและรุ่นน้องผู้ชายก็ไม่ได้ล้อชื่อแม่หนูอีกเลย(น้องมาขอโทษแล้วค่ะ) หลังจากที่ขึ้นมัธยมก็มีอีกหลายเรื่องที่หนูไม่เข้าใจเกี่ยวกับการบูลลี่เลยมันเป็นอะไรที่ไม่มีเหตุหรือผล แค่เพราะไม่ชอบก็เลยบอกให้คนอื่นไม่ชอบด้วย แล้วหนูก็ได้เข้าใจว่าทำไมถึงพวกเค้าถึงทำแบบนั้นในช่วงมัธยมต้นหนูเองก็ไปบูลลี่เพื่อนคนนึงเหมือนกัน เพื่อนFมักจะไม่ค่อยคุยกับหนูแล้วก็ตีตัวออกห่างจากหนูเพื่อนอีกคนบอกว่าพวกเขากำลังพูดถึงหนูอยู่(หนูชอบแต่งตัวหรือหน้าไปโรงเรียนเพราะมันทำให้หนูรู้สึกสบายใจเหมือนเราใส่หน้ากากอยู่)หนูคิดว่าน่าจะเป็นเรื่องนี้เพราะเราไม่ได้รู้จักกันเป็นพิเศษถึงแม้จะอยู่กลุ่มเดียวกัน หนูเลยถามเพื่อนเกี่ยวกับเพื่อนFบ้างมันทำให้เราสองฝ่ายต่างไม่พอใจกันแล้วก็เริ่มพูดถึงกันในทางลบมากขึ้น แม้แค่จะเดินเปลี่ยนคาบเรียนก็ยังมีเรื่องให้นินทากัน พวกเราเหม็นขี้หน้ากันมาตั้งแต่วันนั้น จนมีเรื่องอื่นมาทำให้ปวดหัวแทน(เรื่องในครอบครัว) เป็นเพราะว่าหนูชอบแต่งหน้าไปโรงเรียนแค่ทาปากนิดหน่อยแล้วก็น้องกานิเย่(มีเพื่อนผู้ชายเคยบอกว่าหน้าหนูเหมือนศพเพราะปากซีดหนูก็เลยไม่ค่อยมั่นใจในตัวเอง)เลยทำกลายเป็นว่าหนูอยากเด่นอยู่ตลอดเวลา(นั่นก็ใช่นะคะเพราะเกิดเป็นผู้หญิงอย่าหยุดสวย)ทำให้หลายคนไม่ค่อยชอบสักเท่าไหร่(มันแสดงออกทางสีหน้าหมดนั่นแหละค่ะ) หนูเองก็เคยมีวีรกรรมเข้าห้องปกครองเพราะกระโปรงสั้นครั้งนึงด้วยนะคะ หลังจากเข้าค่ายลูกเสือเสร็จก็ขก.ซักชุดนักเรียนที่เป็นชุดลำลองตอนเข้าค่ายทำให้ไม่มีกระโปรงใส่ เลยไปค้นชุดตอนประถมของพี่มาใส่ พอถึงเวลาก็ดึงๆลงแล้วก็ไปโรงเรียน(มันเลยหัวเข่ามาครึ่งของครึ่งค่ะ)ตอนนั้นเสื้อคุมเกาหลีกำลังฮิตสำหรับหนูก็เลยใส่ไปค่ะ ปรากฏว่ามันดึงกระโปงขึ้นมาทำให้ดูสั้นไปอีก คุณครูเลยประกาศออกหน้าเสาธงแล้วก็เรียกไปพบที่ห้องด่วนเลยค่ะ หนูเริ่มจะร้องไห้เพราะเอาแต่คิดว่าถ้ารีบซักกระโปงก็คงไม่เป็นแบบนี้ พอหนูบอกว่าเป็นกระโปงของพี่ครูก็ให้ไปเรียกพี่มาค่ะ พี่ก็มาแล้วคุณครูก็บอกให้พี่มาใส่กระโปง(ตอนนี้พี่เรียนพละก็เลยใส่ชุดวอร์มค่ะ)พี่เลยบอกว่ามันไม่ใช่ของพี่(พี่หนูขึ้นม.ปลายไปแล้วไม่ได้ใส่ตั้ง3-4ปีเพราะนี่มันกระโปงตอนประถม)หนูก็อธิบายไปว่าไปหยิบอันเก่าของพี่มา(ฟังดูเหมือนข้อแก้ตัวใช่ไหมคะแต่มันเป็นความจริงที่มีแค่หนูที่รู้ค่ะ) แต่พี่ก็ยังปฏิเสธและไม่ช่วยอะไรหนูเลย คุณครูก็เลยให้เขียนเรียงความยาว1หน้า(แค่ให้เล่าสถานการณ์ค่ะ)
หนูเขียนไปด้วยร้องไห้ไปด้วยเพราะรู้สึกกดดันมากคิดได้แค่ต้องรีบกลับไปซักเสื้อผ้าเร็วๆ หลังจากนั้นหนูก็โดนบูลลี่อีกแล้วจากเพื่อนในกลุ่มด้วยกันยังไม่ทันได้ถามเหตุผลก็ไม่มีคนคิดที่จะรับฟัง มันจะต้องมีค่าใช้จ่ายถ้าอยากได้มิตรภาพ จบมัธยมต้นแล้วก็เริ่มมัธยมปลาย หนูขอแม่ไปสอบที่โรงเรียนอื่นด้านภาษา หนูออกค่าเข้าสอบเองค่าบัตรและทุกๆอย่างสุดท้ายก็ไม่ได้ไปเรียนถึงแม้จะสอบติดก็ตามเพราะว่าแม่ไม่มีเงินจ่ายค่าเทอมให้อีกแล้ว หนูเลยต้องกลับไปเรียนที่โรงเรียนเดิมจ่ายค่าเทอมเองแล้วอยู่กลุ่มที่เคยพูดนินทาหนูและบูลลี่หนูเหมือนเดิม ทุกๆอย่างไม่ได้เปลี่ยนไปจากเดิม ก็แค่กระโปงหนูมันยาวมากแต่หนูก็ชอบนะเพราะมันน่ารักดี หนูเลือกเรียนสายวิทย์คณิตเพราะคติที่ว่าเลือกได้หลายคณะหลายอาชีพ แต่หนูลืมสิ่งสำคัญไปว่าหนูอยากเป็นอะไร มันทำให้หนูไม่มีความสุข รู้สึกหมดpassionบวกกับปัญหาครอบครัวตอนนั้นหนูคิดแค่ว่าตายได้ก็คงจะดีไหนๆแม่ก็ชอบบอกให้ไปตายอยู่แล้วเป็นแค่เลือดก้อนเดียวที่สามารถตัดทิ้งได้ หนูไม่มีความรู้สึกอีกแล้วสมองของหนูมันไม่รับอะไรอีกแล้ว มันมีแต่ความรู้สึกที่ว่างเปล่า ความฝันของหนูยังไงก็ถูกแม่กำหนดไว้อยู่แล้ว เพื่อนพวกนั้นต่อให้เค้าไม่คุยกับหนู หนูก็ไม่อยากสนใจอะไรอีกแล้ว หนูกินยาแล้วก็มานอนห้องพยาบาลทุกวันเหมือนกับว่าป่วยหรือจริงๆแล้วหนูป่วยกันแน่นะ ความรู้สึกทั้งหมดที่หนูเก็บไว้จู่ๆวันนึงมันก็ระเบิดออกมา หนูรู้เลยว่าตอนนั้นหนูเหนื่อยมากที่ต้องพยายามเพื่อให้ได้รับความรักจากคนอื่น น้ำตามันไหลออกมาไม่หยุดเลย หลังจากนั้นหนูก็ไม่ไปโรงเรียนอีกเลย ชีวิตม.5ก็จบลงแบบนั้น(หลายคนอาจจะบอกว่าน่าเสียดายทำไมถึงไม่ทนเรียนไปก่อน แต่สำหรับหนู หนูไม่เคยเสียใจที่จะรักตัวเองหรอกนะคะ)หลังจากที่หนูออกไปไม่นานมีเพื่อนหลายคนมาปรึกษาเกี่ยวกับการออกจากโรงเรียนด้วยปัญหาคล้ายๆกัน บางคนออกจากโรงเรียนแต่ไม่เรียนต่อบางคนก็หาที่เรียนใหม่ แต่สภาพจิตใจของหนูตอนนั้นมันยังไม่พร้อมหนูเลยหาวิธีสอบเทียบวุฒิม.6ที่ไม่ต้องไปเรียนและได้พบกับGED เพื่อนFที่มักจะเหม็นขี้หน้ากันได้ทักมาหาหนูแล้วบอกว่าเค้าเข้าใจแล้วนะกับสิ่งที่หนูเจอตอนนี้เค้าก็กำลังเจอแบบเดียวกัน ทุกคนไม่พูดด้วยทั้งๆที่ไม่มีเหตุผล เค้าเข้าใจหนูแล้วคำพูดนี้ทำให้หนูสั่นไปทั้งตัวหนูร้องไห้อีกครั้งแล้วก็ปลอบเพื่อนFและบอกให้เพื่อนFไปเล่นกับเพื่อนผู้ชายน่าจะดีกว่าอย่างน้อยก็ยังมีเพื่อนนะ(พวกเราบอกขอโทษกันในเรื่องที่เคยเกิดขึ้นต่างๆและตอนนี้เราเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน)
ความฝันที่มาจากใจ
หนูเคยบอกเพื่อนและคนในครอบครัวว่าอยากจะเป็นอะไรตอนโตขึ้น ดูเหมือนว่ามันจะไม่ง่ายเลยที่จะทำให้พวกเค้ายอมรับความฝันที่ไม่มีทางเป็นจริงได้เหล่านั้น(ศิลปิน,โปรดิวเซอร์,นักเขียน,นักเต้น)ใช่ค่ะมันง่ายมากถ้าให้เทียบกับสายตาและคำพูดที่ดูถูกพวกนั้นแต่หนูไม่สามารถข้ามผ่านมันไปได้เลย เพราะว่าเคยทำผิดพลาดก็เลยเกิดอาการฝังใจว่าจะต้องผิดพลาดอีก ตอนนี้หนูทำได้แค่หาpassion และฝึกซ้อมเท่านั้น
ปล.อย่าลืมรักตัวเองกันด้วยนะคะ