ตอนเดิม
ตอนที่ 11
อาทิตย์สาดลำแสงสุดท้ายอ่อนแรงโรยราลงทุกที ราตรีกำลังคืบคลานเข้ามาแทนที่ คืนจันทร์กระจ่างฟ้าลาลับไปแล้ว ค่ำคืนนี้ห้วงนภาอันดำมืดมีเพียงแสงระยิบระยับจากดวงดาว
แสงสว่างจากเปลวเทียนเล่มน้อยบนเชิงเทียน ช่วยขับไล่เงามืดแห่งรัตติกาลให้หายไปจากมุมระเบียงมุมหนึ่งข้างห้องพระ เจ้าชายหนุ่มน้อยนั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้นระเบียง พักตร์เคยอ่อนละมุนดูหม่นเศร้า กระดาษแผ่นน้อยถูกคลี่ออกอ่านซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนกระดาษแผ่นบางเริ่มยับย่น ข้อความพรรณนาข้างในนั้นมีว่า
ถึ
งสุดที่รักของฉัน
นานแล้วที่เราไม่ได้เจอกัน แต่ฉันยังระลึกถึงเธอเสมอ ฉันเฝ้ามองดูภาพวาดของเธอที่มอบให้ฉันเมื่อครั้งเราไปเที่ยวชมชนบทอังกฤษด้วยกัน ครั้งใดที่ฉันมองดูมันก็เสมือนได้เห็นหน้าเธอ ขณะที่เธออ่านจดหมายนี้ ฉันพำนักอยู่ที่เชียงใหม่ ฉันไม่ได้กลับไปอังกฤษกับครอบครัวของหมอสมิธ แต่ปักหลักทำธุรกิจค้าขายอัญมณีและช่วยดูแลกิจการโรงงานยาสูบให้แก่คุณพ่ออยู่ที่นี่ เป็นเช่นที่เธอเคยพูดไว้จริงๆ นั่นแหละ การทำธุรกิจต้องมีเส้นสายและพันธมิตร ด้วยเหตุนี้ฉันจึงเข้าร่วมเป็นสมาชิกสมาคมนักธุรกิจของทั้งเชียงใหม่และลำปาง รวมทั้งค้าขายกับเชียงตุงด้วย อ้อ เจ้าชายพรหมลือท่านได้อภิเษกกับเจ้าหญิงทิพวรรณสมพระทัยท่านแล้วนะ และท่านทั้งสองได้เสด็จกลับไปครองรักกันที่เชียงตุง อากาศที่เมืองเวียงแถนหนาวมาก ระวังรักษาสุขภาพให้ดี เชียงใหม่ไม่ค่อยหนาวเท่าใดแต่ก็ทำให้ฉันมีอาการไออยู่นาน เฟอะฟะ ฉันอยากรู้เสียจริงว่าเธอกำลังทำอะไรอยู่ เธอจะคิดถึงฉันบ้างหรือไม่หนอ
ปิมปา กานดา
อ่านจบเป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วก็จำไม่ได้ อ่านเสร็จก็พับจดหมายใส่ซองสอดเก็บไว้ใต้ฉลองพระองค์ชุดพื้นเมืองตามเดิม ความอ้างว้างเปล่าเปลี่ยวถาโถมเข้ามาห้อมล้อมจนกายสั่นสะท้าน ถอนสะอื้นออกมาด้วยความปวดร้าว ลูบคลำแผ่วเบาบริเวณที่เก็บจดหมายราวจะได้สัมผัสกับตัวคนเขียน พักตร์หมองก้มมองต่ำ อังสะตกลู่ลง บุรุษสูงศักดิ์ทว่าอาภัพรักปล่อยให้น้ำใสจากนัยน์โศกไหลริน คิดถึงนางอันเป็นที่รักจนพระทัยเจียนแหลกสลาย ความจริงที่ประสบอยู่ช่างโหดร้ายนัก
...คนในโลกนี้มีตั้งมากมาย ทำไมถึงต้องเป็นเราสองคน ฟ้าดินไฉนไร้ความปรานี...
พี่นางคำหยาดฟ้าเข้ามานั่งลงข้างน้องชายเหมือนเคย สองพี่น้องนั่งเงียบงันเคียงกันอยู่บนระเบียง วิหคหลงรังตัวหนึ่งบินโฉบเข้ามาเกาะราวระเบียง มันเกาะนิ่งอย่างงวยงงอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนกางปีกบินถลาจากไป นิ้วเรียวอย่างศิลปินปาดน้ำใสจากนัยน์โศกทิ้ง ขณะเงยมองตามมัน ในที่สุดเจ้าชายผู้ชอกช้ำก็เป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นก่อน
“น่าอิจฉานกตัวนั้นเสียจริง มันมีอิสระที่จะโบยบินไปในที่ต่าง ๆ ตามใจปรารถนา ไม่ว่าจะเป็นทิวาราตรีใด ตราบเท่าที่มันมีแรงบิน” ฟังคำน้องเปรียบเปรย พี่นางคำหยาดฟ้าหันมาหา แล้วตอบน้องด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า
“เจ้ามองเห็นเพียงด้านที่มันมีปีก จึงสามารถบินไปไหนต่อไหนได้ตามใจชอบ แต่เจ้าลืมนึกถึงท้องฟ้าอันกว้างใหญ่นี้ เป็นที่อาศัยของสรรพสิ่ง มีทั้งนกเหยี่ยวและอินทรี ไหนจะอันตรายจากปืนไฟฝีมือมนุษย์ หอหลวงป้องกันแดดลมและภยันตรายแก่เรามาช้านาน หากพวกเราไม่ช่วยกันปกป้องดูแลให้มั่นคง ภายภาคหน้าลูกหลานเราจะอยู่อาศัยสืบไปได้เยี่ยงไร เจ้ามิต้องการเช่นนั้นหรอกรึ”
“ที่ท่านพูดมาก็จริงอยู่ มิมีที่ใดจะอบอุ่นปลอดภัยเท่าบ้านเรา ชายไม่ได้ลืมข้อนั้น แต่ด้วยเคยออกสู่โลกกว้างและเคยมีเสรีมาก่อน ชายปรารถนาชีวิตเยี่ยงนั้นจนยากจะหวนคืนสู่กรงทอง ทั้งวิชาความรู้และเงินทองก็พอมี ให้สามารถดำเนินชีวิตไปในเส้นทางที่เลือกได้ อันความภักดีต่อเจ้าพ่อและเวียงแถนก็ยังคงอยู่ มิได้เสื่อมคลายลง เพียงแต่ชายไม่เคยต้องการตำแหน่งรัชทายาท พี่นางเข้าใจหรือไม่ หากได้ขึ้นเป็นเจ้าครองเมืองแล้วไซร้ แต่มีเหตุให้ต้องขัดใจกับพี่น้องคนอื่น ถูกเกลียดชัง ถูกครหา...”
โพล่งออกมาถึงความอัดอั้นตันพระทัย เพียงหวังให้มีใครสักคนในหอหลวงเข้าใจตนเองบ้าง ซึ่งพี่นางคงเข้าพระทัยได้ง่ายกว่าใคร อธิบายให้ฟังพลางหลั่งน้ำตานอง
“เดี๋ยวนี้เจ้าพี่มหาคำคืนเปลี่ยนไป ไม่พูดเล่นเย้าแหย่กับชายเหมือนเคย หากบังเอิญเจอกันก็ทักทายนิดหน่อยพอเป็นพิธี แม้แต่เจ้าพี่โหลงขนานก็มักหลบหน้า ท่านถึงกับพูดว่าวางตัวไม่ถูก เจ้าแม่จันทร์หอมกับเจ้าแม่อุษาประไพก็มึนตึงต่อกันมาพักใหญ่แล้ว”
คนฟังถอนหายใจยาว ไฉนตนจะดูไม่ออก หรือไม่ตระหนักในเรื่องนี้ แต่ด้วยวิริยะแห่งราชธิดาองค์โตจึงต้องทำตัวให้เข้มแข็งเข้าไว้ แม้ว่าข้างในจะเป็นทุกข์ร้อนเพียงใดก็ตาม
เพราะหากเกิดเป็นบุรุษแล้วไซร้ บัลลังก์กษัตริย์ย่อมตกเป็นของตนอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ในเมื่อเป็นสตรีจึงมีปัญหาตามมา วิธีเลือกผู้สืบทอดราชบัลลังก์เวียงแถนนี้ มักจะไม่ค่อยชัดเจนเสมอ มันไม่ง่ายเหมือนในประเทศอังกฤษที่มีกฎหมายการให้สิทธิแก่บุตรคนแรก ซึ่งกำหนดให้บุตรที่มีอายุมากที่สุดของกษัตริย์เป็นผู้สืบทอดราชบัลลังก์ พร้อมระบุกรณีที่อาจเป็นไปได้ทั้งหมดเอาไว้ด้วย
แม้ตนจะนึกสงสารน้องชายเพียงใด แต่เพื่อปกป้องบ้านเมืองให้ไกลจากคนโฉด ในเมื่อบัลลังก์มิอาจฝืนจารีตประเพณี สตรีมิอาจขึ้นเป็นกษัตริย์ได้ บัลลังก์นี้จึงต้องตกเป็นของเจ้าชายน้อยผู้เชื่อฟัง และเป็นที่สนิทเสน่หาของตนแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น เวียงแถนจึงจะรอดพ้นเงื้อมมือของพวกเจ้าแม่อุษาประไพไปได้ ซึ่งเมื่อเจ้าหญิงผู้ปรีชาชาญมีดำริเช่นนี้ จึงปลอบน้องตนเองไปว่า
“ต่างคนต่างมีเหตุผลที่จะอยู่หรือไป แต่สิ่งที่เจ้าเป็นก็เพราะเจ้าเลือกเกิดเองไม่ได้ เช่นนี้ก็โทษฟ้าโทษดินเถิดน้องพี่”
ทุกคราวที่ได้รับคำชี้แจงเรื่องใดจากพระภคินี เจ้าชายฟ้าคุ้มมักโอนอ่อนคล้อยตามเสมอ แต่คราวนี้กลับตรงกันข้าม หนุ่มน้อยหันมาจ้องพระพักตร์คนพูด แล้วบอกตรง ๆ ด้วยน้ำเสียงมั่นคง
“คนเราแม้เลือกเกิดไม่ได้ แต่เราเลือกหนทางชีวิตของเราได้นะเจ้าข้า”
“โอ...อย่าคิดฟุ้งซ่านแบบนี้อีกเลย ความคิดของเจ้าที่บอกออกมาแต่ละอย่างนั้น ทำเอาพี่นางหัวใจจะวายตาย”
ห้ามน้อง พร้อมพูดตัดบทอย่างอ่อนพระทัย ใคร่ยุติเจรจาเรื่องนี้ลงเสียที เจ้าชายน้อยจึงไม่กล่าวอะไรให้เป็นที่ระอาพระทัยอีก คู้กายลงนอนหนุนตักพี่นางสาว เธอก็ลูบเส้นเกศาน้องเล่นอย่างรักใคร่ พักตร์ขาวสะอ้านเงยขึ้นมองพระพักตร์ที่ยิ้มให้อย่างเอ็นดู กล่าวขออภัยแล้วให้คำมั่นบางประการกับพี่นางของตน
“ชายขอโทษที่ทำให้ท่านไม่สบายใจ แต่โปรดจงเชื่อในคำมั่นต่อไปนี้ ชายขอสัญญาว่าแม้หากภายภาคหน้าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม น้องจะทำทุกวิถีทางเพื่อรักษาหอหลวงของเราให้ชั่วลูกชั่วหลาน และจะคุ้มครองดูแลพี่นางให้มีความสุขตลอดไป”
เจ้านางคำหยาดฟ้าพยักพักตร์รับ พลางจับปลายคางหนุ่มน้อยสั่นเบา ๆ
“พี่นางไว้ใจเจ้าเสมอ พี่รู้ว่าเจ้าซื่อสัตย์ในคำพูด รักและหวังดีต่อเวียงแถนและตัวพี่ แต่อย่าเพิ่งด่วนใจร้อนวู่วามด้วยเรื่องรักใคร่ไปเลย ยังมีเรื่องอีกมากมายที่กษัตริย์เวียงแถนองค์ต่อไปจักต้องทำ”
เพลานั้นราชธิดาองค์โตของเจ้าฟ้าไม่คาดคิดเลยว่า เหตุการณ์ภายภาคหน้าจะเป็นไปตามสัญญาของเจ้าชายผู้นิราศบ้านเมืองทุกประการ
(มีต่อ)
ริษยารักข้ามภพ บทที่ 11
อาทิตย์สาดลำแสงสุดท้ายอ่อนแรงโรยราลงทุกที ราตรีกำลังคืบคลานเข้ามาแทนที่ คืนจันทร์กระจ่างฟ้าลาลับไปแล้ว ค่ำคืนนี้ห้วงนภาอันดำมืดมีเพียงแสงระยิบระยับจากดวงดาว
แสงสว่างจากเปลวเทียนเล่มน้อยบนเชิงเทียน ช่วยขับไล่เงามืดแห่งรัตติกาลให้หายไปจากมุมระเบียงมุมหนึ่งข้างห้องพระ เจ้าชายหนุ่มน้อยนั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้นระเบียง พักตร์เคยอ่อนละมุนดูหม่นเศร้า กระดาษแผ่นน้อยถูกคลี่ออกอ่านซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนกระดาษแผ่นบางเริ่มยับย่น ข้อความพรรณนาข้างในนั้นมีว่า
ถึงสุดที่รักของฉัน
นานแล้วที่เราไม่ได้เจอกัน แต่ฉันยังระลึกถึงเธอเสมอ ฉันเฝ้ามองดูภาพวาดของเธอที่มอบให้ฉันเมื่อครั้งเราไปเที่ยวชมชนบทอังกฤษด้วยกัน ครั้งใดที่ฉันมองดูมันก็เสมือนได้เห็นหน้าเธอ ขณะที่เธออ่านจดหมายนี้ ฉันพำนักอยู่ที่เชียงใหม่ ฉันไม่ได้กลับไปอังกฤษกับครอบครัวของหมอสมิธ แต่ปักหลักทำธุรกิจค้าขายอัญมณีและช่วยดูแลกิจการโรงงานยาสูบให้แก่คุณพ่ออยู่ที่นี่ เป็นเช่นที่เธอเคยพูดไว้จริงๆ นั่นแหละ การทำธุรกิจต้องมีเส้นสายและพันธมิตร ด้วยเหตุนี้ฉันจึงเข้าร่วมเป็นสมาชิกสมาคมนักธุรกิจของทั้งเชียงใหม่และลำปาง รวมทั้งค้าขายกับเชียงตุงด้วย อ้อ เจ้าชายพรหมลือท่านได้อภิเษกกับเจ้าหญิงทิพวรรณสมพระทัยท่านแล้วนะ และท่านทั้งสองได้เสด็จกลับไปครองรักกันที่เชียงตุง อากาศที่เมืองเวียงแถนหนาวมาก ระวังรักษาสุขภาพให้ดี เชียงใหม่ไม่ค่อยหนาวเท่าใดแต่ก็ทำให้ฉันมีอาการไออยู่นาน เฟอะฟะ ฉันอยากรู้เสียจริงว่าเธอกำลังทำอะไรอยู่ เธอจะคิดถึงฉันบ้างหรือไม่หนอ
ปิมปา กานดา
อ่านจบเป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วก็จำไม่ได้ อ่านเสร็จก็พับจดหมายใส่ซองสอดเก็บไว้ใต้ฉลองพระองค์ชุดพื้นเมืองตามเดิม ความอ้างว้างเปล่าเปลี่ยวถาโถมเข้ามาห้อมล้อมจนกายสั่นสะท้าน ถอนสะอื้นออกมาด้วยความปวดร้าว ลูบคลำแผ่วเบาบริเวณที่เก็บจดหมายราวจะได้สัมผัสกับตัวคนเขียน พักตร์หมองก้มมองต่ำ อังสะตกลู่ลง บุรุษสูงศักดิ์ทว่าอาภัพรักปล่อยให้น้ำใสจากนัยน์โศกไหลริน คิดถึงนางอันเป็นที่รักจนพระทัยเจียนแหลกสลาย ความจริงที่ประสบอยู่ช่างโหดร้ายนัก
...คนในโลกนี้มีตั้งมากมาย ทำไมถึงต้องเป็นเราสองคน ฟ้าดินไฉนไร้ความปรานี...
พี่นางคำหยาดฟ้าเข้ามานั่งลงข้างน้องชายเหมือนเคย สองพี่น้องนั่งเงียบงันเคียงกันอยู่บนระเบียง วิหคหลงรังตัวหนึ่งบินโฉบเข้ามาเกาะราวระเบียง มันเกาะนิ่งอย่างงวยงงอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนกางปีกบินถลาจากไป นิ้วเรียวอย่างศิลปินปาดน้ำใสจากนัยน์โศกทิ้ง ขณะเงยมองตามมัน ในที่สุดเจ้าชายผู้ชอกช้ำก็เป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นก่อน
“น่าอิจฉานกตัวนั้นเสียจริง มันมีอิสระที่จะโบยบินไปในที่ต่าง ๆ ตามใจปรารถนา ไม่ว่าจะเป็นทิวาราตรีใด ตราบเท่าที่มันมีแรงบิน” ฟังคำน้องเปรียบเปรย พี่นางคำหยาดฟ้าหันมาหา แล้วตอบน้องด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า
“เจ้ามองเห็นเพียงด้านที่มันมีปีก จึงสามารถบินไปไหนต่อไหนได้ตามใจชอบ แต่เจ้าลืมนึกถึงท้องฟ้าอันกว้างใหญ่นี้ เป็นที่อาศัยของสรรพสิ่ง มีทั้งนกเหยี่ยวและอินทรี ไหนจะอันตรายจากปืนไฟฝีมือมนุษย์ หอหลวงป้องกันแดดลมและภยันตรายแก่เรามาช้านาน หากพวกเราไม่ช่วยกันปกป้องดูแลให้มั่นคง ภายภาคหน้าลูกหลานเราจะอยู่อาศัยสืบไปได้เยี่ยงไร เจ้ามิต้องการเช่นนั้นหรอกรึ”
“ที่ท่านพูดมาก็จริงอยู่ มิมีที่ใดจะอบอุ่นปลอดภัยเท่าบ้านเรา ชายไม่ได้ลืมข้อนั้น แต่ด้วยเคยออกสู่โลกกว้างและเคยมีเสรีมาก่อน ชายปรารถนาชีวิตเยี่ยงนั้นจนยากจะหวนคืนสู่กรงทอง ทั้งวิชาความรู้และเงินทองก็พอมี ให้สามารถดำเนินชีวิตไปในเส้นทางที่เลือกได้ อันความภักดีต่อเจ้าพ่อและเวียงแถนก็ยังคงอยู่ มิได้เสื่อมคลายลง เพียงแต่ชายไม่เคยต้องการตำแหน่งรัชทายาท พี่นางเข้าใจหรือไม่ หากได้ขึ้นเป็นเจ้าครองเมืองแล้วไซร้ แต่มีเหตุให้ต้องขัดใจกับพี่น้องคนอื่น ถูกเกลียดชัง ถูกครหา...”
โพล่งออกมาถึงความอัดอั้นตันพระทัย เพียงหวังให้มีใครสักคนในหอหลวงเข้าใจตนเองบ้าง ซึ่งพี่นางคงเข้าพระทัยได้ง่ายกว่าใคร อธิบายให้ฟังพลางหลั่งน้ำตานอง
“เดี๋ยวนี้เจ้าพี่มหาคำคืนเปลี่ยนไป ไม่พูดเล่นเย้าแหย่กับชายเหมือนเคย หากบังเอิญเจอกันก็ทักทายนิดหน่อยพอเป็นพิธี แม้แต่เจ้าพี่โหลงขนานก็มักหลบหน้า ท่านถึงกับพูดว่าวางตัวไม่ถูก เจ้าแม่จันทร์หอมกับเจ้าแม่อุษาประไพก็มึนตึงต่อกันมาพักใหญ่แล้ว”
คนฟังถอนหายใจยาว ไฉนตนจะดูไม่ออก หรือไม่ตระหนักในเรื่องนี้ แต่ด้วยวิริยะแห่งราชธิดาองค์โตจึงต้องทำตัวให้เข้มแข็งเข้าไว้ แม้ว่าข้างในจะเป็นทุกข์ร้อนเพียงใดก็ตาม
เพราะหากเกิดเป็นบุรุษแล้วไซร้ บัลลังก์กษัตริย์ย่อมตกเป็นของตนอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ในเมื่อเป็นสตรีจึงมีปัญหาตามมา วิธีเลือกผู้สืบทอดราชบัลลังก์เวียงแถนนี้ มักจะไม่ค่อยชัดเจนเสมอ มันไม่ง่ายเหมือนในประเทศอังกฤษที่มีกฎหมายการให้สิทธิแก่บุตรคนแรก ซึ่งกำหนดให้บุตรที่มีอายุมากที่สุดของกษัตริย์เป็นผู้สืบทอดราชบัลลังก์ พร้อมระบุกรณีที่อาจเป็นไปได้ทั้งหมดเอาไว้ด้วย
แม้ตนจะนึกสงสารน้องชายเพียงใด แต่เพื่อปกป้องบ้านเมืองให้ไกลจากคนโฉด ในเมื่อบัลลังก์มิอาจฝืนจารีตประเพณี สตรีมิอาจขึ้นเป็นกษัตริย์ได้ บัลลังก์นี้จึงต้องตกเป็นของเจ้าชายน้อยผู้เชื่อฟัง และเป็นที่สนิทเสน่หาของตนแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น เวียงแถนจึงจะรอดพ้นเงื้อมมือของพวกเจ้าแม่อุษาประไพไปได้ ซึ่งเมื่อเจ้าหญิงผู้ปรีชาชาญมีดำริเช่นนี้ จึงปลอบน้องตนเองไปว่า
“ต่างคนต่างมีเหตุผลที่จะอยู่หรือไป แต่สิ่งที่เจ้าเป็นก็เพราะเจ้าเลือกเกิดเองไม่ได้ เช่นนี้ก็โทษฟ้าโทษดินเถิดน้องพี่”
ทุกคราวที่ได้รับคำชี้แจงเรื่องใดจากพระภคินี เจ้าชายฟ้าคุ้มมักโอนอ่อนคล้อยตามเสมอ แต่คราวนี้กลับตรงกันข้าม หนุ่มน้อยหันมาจ้องพระพักตร์คนพูด แล้วบอกตรง ๆ ด้วยน้ำเสียงมั่นคง
“คนเราแม้เลือกเกิดไม่ได้ แต่เราเลือกหนทางชีวิตของเราได้นะเจ้าข้า”
“โอ...อย่าคิดฟุ้งซ่านแบบนี้อีกเลย ความคิดของเจ้าที่บอกออกมาแต่ละอย่างนั้น ทำเอาพี่นางหัวใจจะวายตาย”
ห้ามน้อง พร้อมพูดตัดบทอย่างอ่อนพระทัย ใคร่ยุติเจรจาเรื่องนี้ลงเสียที เจ้าชายน้อยจึงไม่กล่าวอะไรให้เป็นที่ระอาพระทัยอีก คู้กายลงนอนหนุนตักพี่นางสาว เธอก็ลูบเส้นเกศาน้องเล่นอย่างรักใคร่ พักตร์ขาวสะอ้านเงยขึ้นมองพระพักตร์ที่ยิ้มให้อย่างเอ็นดู กล่าวขออภัยแล้วให้คำมั่นบางประการกับพี่นางของตน
“ชายขอโทษที่ทำให้ท่านไม่สบายใจ แต่โปรดจงเชื่อในคำมั่นต่อไปนี้ ชายขอสัญญาว่าแม้หากภายภาคหน้าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม น้องจะทำทุกวิถีทางเพื่อรักษาหอหลวงของเราให้ชั่วลูกชั่วหลาน และจะคุ้มครองดูแลพี่นางให้มีความสุขตลอดไป”
เจ้านางคำหยาดฟ้าพยักพักตร์รับ พลางจับปลายคางหนุ่มน้อยสั่นเบา ๆ
“พี่นางไว้ใจเจ้าเสมอ พี่รู้ว่าเจ้าซื่อสัตย์ในคำพูด รักและหวังดีต่อเวียงแถนและตัวพี่ แต่อย่าเพิ่งด่วนใจร้อนวู่วามด้วยเรื่องรักใคร่ไปเลย ยังมีเรื่องอีกมากมายที่กษัตริย์เวียงแถนองค์ต่อไปจักต้องทำ”
เพลานั้นราชธิดาองค์โตของเจ้าฟ้าไม่คาดคิดเลยว่า เหตุการณ์ภายภาคหน้าจะเป็นไปตามสัญญาของเจ้าชายผู้นิราศบ้านเมืองทุกประการ
(มีต่อ)