คืนกระสือหอน


กระท่อมปลายนาอันเป็นที่อาศัยของสองผัวเมีย ไอ้มิ่งกับนังแย้ม  เป็นคนไม่สุงสิงใคร 
ตื่นเช้ามาผู้ผัวก็ออกไปดูนา ส่วนเมียสาวแม้กำลังท้องแก่อุ้ยอ้ายเต็มที ยังขยันทำกิน 
พายเรือออกไปหาปลาทุกวัน ยังไม่วายถูกชาวบ้านค่อนขอดนินทาลับหลัง 
เจ้าตัวแม้รู้แต่ก็ทำเมินเฉยเสีย ไม่คิดเอาเรื่องเอาราวกับใคร 
คิดเสียว่ามันเป็นเวรกรรมเก่าในชาติก่อน

ขณะนี้ตะวันพาดยอดไม้ นาข้าวริมหนองกำลังเหลืองอร่าม 
นังแย้มพายเรือมาหย่อนเบ็ด เสียบกอข้าว สายตามองกราดไปทั่วท้องนาอันเงียบเหงา 
แล้วมันก็คิดไปต่างๆ นานา จนต้องสะอื้นไห้ออกมา ด้วยเป็นคนมีหัวจิตหัวใจ สะเทือนใจก็เป็น 
คิดถึงเรื่องของตัวเอง ตั้งแต่เป็นเติบโตมา เป็นเด็กไม่เคยมีเพื่อนเล่น 
แม้โตเป็นสาว ยังต้องผจญกับสายตาไม่เป็นมิตรของชาวบ้าน 
เพราะใครๆ ต่างก็ลือว่าแม่เฒ่ายง แม่ของแย้มเป็นกระสือ

นังแย้มปล่อยทิ้งเรื่องเศร้าใจออกไป หันมาแหวกกอข้าวหย่อนเบ็ดเกี่ยวกุ้งฝอยลงไป 
ไม่กี่อึดใจก็ตวัดเบ็ดขึ้นมา ได้ปลาตัวโตดิ้นกระแด่วๆ อีสาวบ้านนาปลดปลาใส่ท้องเรือ 
แล้วเกี่ยวเหยื่อใหม่ จากนั้นก็วัดเอาๆ ไม่ช้าก็ได้ปลาหลายสิบตัว

ย้อนไปเมื่อหลายเดือนก่อน นังแย้มอาศัยอยู่กับแม่สองคน 
แม่เฒ่ายงสังขารร่วงโรยด้วยวัยชรา แกล้มเจ็บด้วยโรคประจำตัวมานาน จะตายก็ไม่ตาย 
ได้แต่นอนร้องโอยๆ ทุกคืน 

ในคืนหนึ่งแย้มต้องตะลึงงัน เมื่อแม่เฒ่ายงเรียกเข้าไปหาในห้อง 
อ้อนวอนให้ลูกสาวรับสืบทอดเป็นทายาทกระสือ  โดยให้แกบ้วนน้ำลายใส่ปากแย้ม 
แกก็จะได้ตายอย่างสงบ แย้มตกใจมาก ไม่คิดว่าแม่จะเป็นกระสือตามที่ชาวบานเล่าลือมาจริง  

รุ่งเช้าแย้มหนีไปหาไอ้มิ่งหนุ่มคนรัก ซึ่งเป็นหนุ่มคนเดียว ที่รักใคร่เห็นอกเห็นใจกันตลอดมา

“พี่รู้มานานแล้ว พี่เคยเห็นแกเป็นกระสือ  แต่พี่ไม่เคยรังเกียจแย้มเลยนะ”
“แต่แม่จะให้ฉันรับเป็นทายาท ถ้าฉันไม่หนี ฉันก็ต้องรับมัน..”

แย้มสะอื้นไห้ ในอ้อมกอดของชายคนรัก

“พี่ก็จนใจจะคิดอ่านแก้ไขแล้วแย้มเอ๋ย  มันเป็นเรื่องของเวรกรรม”
ไอ้มิ่งได้แต่ถอนใจ ด้วยจนปัญญาจะคิดอ่านแก้ไข  
“ฉันหวังพึ่งพี่มิ่งเท่านั้น หากพี่มิ่งไม่รักฉันจริง ฉันก็จะลาไปตายเอาดาบหน้า”

เมื่อหญิงสาวออกปากไปเช่นนั้น ไอ้มิ่งก็ชาย ไม่คิดเสียคนรัก 
จึงได้เสียกันคืนนั้นเอง และอยู่กินกันเงียบๆ ที่กระท่อมปลายนาของไอ้มิ่ง 
จนกระทั่งแม่เฒ่ายงทุรนทุรายใกล้ตาย  
นังแย้มจึงพาไอ้มิ่งลูกเขยไปขอขมาถึงบ้าน 
รุ่งขึ้นแม่เฒ่าก็สิ้นใจอย่างสงบ  ไม่มีใครในหมู่บ้าน 
แม้กระทั่งไอ้มิ่งผู้เป็นลูกเขยล่วงรู้ว่า  
แกได้ถ่ายทอดวิชากระสือให้กับใคร  

โบร๋ว..วว.. โบร๋ว..วว.. โบร๋ว..วว..

ในคืนที่แม่เฒ่ายงเสีย  อีจ่อยหมาแก่ มันหอนทั้งคืน 
เสียงมันโหยไห้คร่ำครวญเย็นยะเยือกอยู่เป็นนานสองนาน  
จนชาวบ้านเล่าลือกันไปต่างๆ นานาว่าวิญญาณของแก 
ยังฝ้าวนเวียนตามหาลูกสาว ให้มาเป็นทายาทกระสือ

นับแต่นั้นมา นังแย้มไม่ยอมกลับไปอยู่บ้านแม่  
เพราะขยาดปากชาวบ้านที่เล่าลือว่า กระสือยายยงบ้วนน้ำลายใส่ปากลูกสาวไปแล้ว 
แย้มต้องทนทุกข์ทรมานใจ ได้แต่เก็บตัวเงียบๆ อยู่กันสองผัวเมียในกระท่อมปลายนา 
รอเวลาให้ข่าวเรื่องกระสือได้สร่างซาไปกับกาลเวลา 

แย้มค่อยโล่งอก แต่ไม่คิดห่วงบ้านเก่า ซึ่งไม่มีสมบัติอะไร 
ห่วงก็แต่อีจ่อยหมาของแม่ตัวเดียว ไปเรียกไปจูงให้มันมาอยู่ด้วย 
พอเผลอทีไรมันก็วิ่งกลับไปนอนซุกอยู่ใต้ถุนบ้านแม่เฒ่ายง  

อีจ่อยเป็นหมาแก่  ยิ่งอดมื้อกินมื้อ ไม่กี่เดือนมันก็ผอมโกรก 
แต่มันก็รักบ้านเก่าไม่ยอมไปไหน  หิวก็วิ่งหากินซ่อกๆ อิ่มเมื่อไหร่ก็กลับมานอนอุตุ
ตามมุมมืดใต้ถุนบ้านยายยง

ทุกครั้งที่แย้มไปดูบ้านแม่ จะเอาข้าวไปให้อีจ่อยกิน แต่ดูมันจะไม่สนใจ
แย้มได้แต่สลดใจ ไม่นานมันคงสิ้นใจตามแม่ไป

ระยะหลังที่แย้มตั้งท้องได้สี่ห้าเดือน ชีวิตของสองผัวเมียหนุ่มสาว 
ต้องพบกับความยุ่งยากอีกครั้ง ไอ้มิ่งต้องนอนกอดดาบทุกคืน  
เมื่อมีข่าวกระสือออกอาละวาด  เริ่มแรกคือบ้านลุงเพิ่มป้าฟัก 
คืนหนึ่งสองผัวเมียได้ยินเสียงหมาเห่าขับไล่  

มันเหมือนมีสัตว์ หรือคนมากวนไก่ในเล้า จึงออกมาดู  
ลุงเพิ่มแกเป็นนักเลงใหญ่คนหนึ่ง ถืออีดาบใหญ่ออกมา 
ร้องนั่นใคร! ทำอะไรในเล่าไก่ข้า 
ไม่ทันขาดคำ แสงสว่างดวงใหญ่  
เขียวคล้ำน่ากลัวลอยวูบออกไปอย่างรวดเร็ว 
ทิ้งซากไก่ตายยกเล้า 

ป้าฟักกำลังไต่ลงบันไดมาเห็นกระสือเข้า ตกใจจนสิ้นสติ 
พลัดตกลงบันไดลงมาคอหักตายอย่างอนาถ  
และหลังจากวันนั้นข่าวกระสืออาละวาด มีไม่เว้นแต่ละคืน  
โดยเฉพาะบ้านหลังไหน ที่มีแม่พึ่งคลอดลูกอ่อน 
จะตกเป็นเป้าหมายของกระสือ 

ชาวบ้านหวาดผวา พากันหาหนามไผ่มาสะใต้ถุนบ้าน  
หรือไม่ก็หาเบ็ดมาขึงล้อมบ้าน เพื่อป้องกันกระสือ เฒ่ายิ้มกับทิดนิ่ม 
พ่อตากับลูกเขย ต้องออกแรงกันแต่เช้า เอาหนามไผ่มาล้อมรั้วบ้านให้สูงเข้าไว้  
นังดาวเรืองกำลังใกล้คลอดเต็มที   

“เท่านี้ยังไม่พออีกหรือพ่อ...”
“ยัง..ยังไม่พอ ต้องกันให้แน่นหนากว่านี้อีก  
กระสือมันลากไส้ลอยมา จะเกี่ยวโดนหนาม มันจะได้ไม่กล้าเข้ามาในบ้านเรา”

กลางคืนพวกหนุ่มฉกรรจ์ นำโดยลุงเพิ่มนักเลงใหญ่ ออกตระเวนดักฆ่ากระสือกันแทบทุกคืน  
ในที่สุดก็เจอกระสือตัวแสบ ลอยดวงวนเวียนหาทางเข้าบ้านเฒ่ายิ้ม  
เสียงปืนจึงดังสนั่นบ้านทุ่ง  แสงไฟลอยวูบวาบหนีไปได้ 

ทุกคนส่งเสียงเอะอะ วิ่งติดตามไม่ลดละ ก่อนที่แสงไฟจะหายในเขตบ้านของยายยง  
บ้านร้างไม่ใครอยู่  มีแต่หมาแก่ตัวเดียวนอนเฝ้า  
ชาวบ้านเริ่มซุบซิบหนาหูว่า อีกระสือ น่าจะเป็นนังแย้ม เมียไอ้มิ่งแน่ๆ

“พวกเรา มีใครเห็นหน้ามันชัดๆ มั้ยว่ามันเป็นใคร”
“มองไม่ทันเลยลุงเพิ่ม  ถ้าให้เดาจะต้องเป็นนังแย้มแน่  นี่บ้านแม่ของมัน จะเป็นใครอื่นไปได้”
“ใช่ๆ มันแพ้ท้อง และชอบกินของสดของคาว มิน่าถึงได้ออกหาปลาทุกวัน”

แย้มต้องใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก  แม้ออกตกปลายังต้องระวังตัวแจ ไปไม่ให้ไกลบ้านนัก 
เพราะกลัวชาวบ้านที่แค้นเคืองจะยกพวกมารุมทำร้ายเอา  
คิดแล้วก็อัดอั้นตันใจ จนน้ำตาไหลพราก ในที่สุดตัดสินใจเด็ดขาดว่า 
เมื่อคลอดลูกแล้ว จะชวนผัวรักอพยพหนีไปอยู่บ้านอื่น  

แย้มครบกำหนดคลอดในคืนหนึ่ง ไอ้มิ่งต้องวิ่งวุ่นหาคนมาช่วยทำคลอดให้ 
เมื่อชาวบ้านเขาเกลียดชังจนไม่มีใครมาดูดำดูดี  
โชคดียังได้ยายแพงหมอตำแยมาช่วยทำคลอด  
ลูกของแย้มคลอดง่ายดาย ได้ลูกชายตัวอ้อนจ้ำม่ำ ไอ้มิ่งดีใจนัก 
หลังเที่ยงคืนนั้น บันไดบ้านไหวเยือก ไอ้มิ่งคว้าดาบทันที

“นั่นใครวะ!”
“ฉันเองจ้ะพี่มิ่ง”
ไอ้จ้อย ลูกศิษย์วัดตัวน้อยนั่นเอง

“มีอะไรวะไอ้จ้อย  เอ็งมาทำไมดึกดื่น”
“หลวงตาให้มาตามพี่มิ่ง ไปพบด่วนจ้ะ”

ที่วัด หลวงตาพวนกำลังรอไอ้มิ่ง  ข้างตักมีบาตรน้ำมนต์ กับห่อผ้ามีของขลังอยู่ภายใน 
ไอ้มิ่งเข้ามากราบด้วยสีหน้าสงสัย ในเมื่อเป็นญาติกันจึงไม่อยากขัด 
หลวงตาพวนไม่ใช่พระที่เด่นด้านคาถาอาคม แต่ท่านก็มีใจอยากจะช่วยเหลือ

“มิ่งเว้ย  เคราะห์ของเอ็งกับเมียกำลังจะผ่านพ้นไป 
เมื่อหัวค่ำนี้อาจารย์ทอง เป็นหมอผีชื่อดังมาจากเมืองสิงห์ แวะมาเยี่ยมข้า  
เขาเป็นเพื่อนเก่าของหลวงตาเอง  เลยเอาเรื่องของเอ็งกับเมียไปปรึกษา จนได้เรื่อง 
กระสือที่อาจารย์ทองเขามองเห็น ในบาตรน้ำมนต์นี้ว่า  

ก่อนตายยายยง ไม่รู้จะบ้วนน้ำลายใส่ใคร 
ทรมานหนักเข้า เลยบ้วนน้ำลายใส่ปากอีจ่อย  
กระสือนั่นไม่ใช่คนหรอก มันเป็นกระสือหมา  
เมียเอ็งจวนคลอดลูกแล้วไม่ใช่รึ เอาเบ็ดราวลงอาคม 
ของอาจารย์ทองนี่ไปขึงรอบใต้ถุนบ้านเอ็งกันไว้ก่อน”

พ่อลูกอ่อนอย่างไม่มิ่งดีใจจนเนื้อตัวสั่น 
รีบคลานเข่าเข้าไปรับของจากมือหลวงตา ท่านกำชับมาอีกว่า

“ตอนขึงเบ็ดราว อย่าพูดจากับใครนะเว้ย ใครทักมันจะไม่ขลัง”
“ผมต้องไปก่อนแล้ว นังแย้มมันคลอดแล้วล่ะหลวงตา มันอยู่กันสองคนจะไม่ปลอดภัย”

ไอ้มิ่งคว้าเบ็ดราวลุกพรวด ถลันลงกุฏิไปอย่างหมดสำรวม 
วิ่งเต็มเหยียดกลับบ้านไปอย่างร้อนใจ

โบร๋ว..วว.. โบร๋ว..วว..

เสียงหอนเยือกเย็น ดังกังวานทั่วบ้านนา ทำเอาคนต้องนอนคลุมโปง 
ด้วยหวาดหวั่น พรุ่งนี้จะต้องได้ข่าวไม่คนก็สัตว์เลี้ยงมีอันเป็นไป  
ชายทุ่งมีเงาร่างหนึ่งของไอ้มิ่งวิ่งหน้าตั้งกระหืดกระหอบกลับมาถึง  
มองเห็นแสงไฟวอมแวมกำลังมุ่งมาที่กระท่อมเช่นกัน  
หมาก็เห่าหอนกันเพรียก  ไอ้มิ่งกระโจนเข้าใต้ถุนบ้านตาลีตาลานขึงเบ็ดราว

“คุณพระคุณเจ้า ช่วยลูกด้วยเถอะ”

นังแย้มอุ้มลูก  อีกมือถือตะเกียงออกมาถามผัว  
เห็นกำลังทำอะไรง่วนอยู่ใต้ถุนบ้าน  
ไอ้มิ่งไม่ตอบ ตั้งหน้าทำงานของตนไปจนเสร็จ 
แสงสีเขียวเรืองแวบเข้าตา แล้วลอยมาปรากฏที่ดงโสนข้างกระท่อม

ไอ้มิ่งทิ้งเบ็ดราว คว้าดาบหลบเข้าไปในที่มืด 
เสียงไอ้แดงร้องจ้า เมื่อแสงสีเขียวลอยวืดๆ ขึ้นสู่ร่องกระดานทันที 
ไม่น่าเชื่อก็ต้องเชื่อ ไอ้มิ่งจ้องเข้าไปภายในดวงไฟดวงนั้น  
ปรากฏหัวอีจ่อยรางๆ กระสืออีจ่อยแลบลิ้นแผล็บ ๆ น้ำลายสอ 
ปากของอีจ่อยลอยพ้นร่องกระดานขึ้นไปแล้วเหลือแต่คอนิดเดียว  
อย่างไม่รู้เนื้อตัว ไอ้มิ่งเผ่นผึง โจนฟันด้วยดาบสุดแรงเกิด

ฉั๊ว! เอ๋ง! เอ๋ง!
เสียงร้องโหยหวนดังขึ้น ดวงไฟลอยวืดหนีไปในความมืด 
ไอ้มิ่งวิ่งไล่กวดตามไปถึงบ้านแม่ยายพบว่า อีจ่อยนอนชักดิ้นชักงออยู่ที่ลานบ้าน  
ท้องเป็นแผลเหวอะหวะ ไส้พุงกระจายเรี่ยราด  เป็นอันปิดฉากกระสือตัวแสบ  

ไอ้มิ่งยืนมองจนแน่ใจมันตายจริง  จนเห็นแสงสีทองจับขอบฟ้าของเช้าวันใหม่ 
 

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่