สรุปย่อๆสำหรับคนขี้เกียจอ่านรีวิว
ข้อดี
1. จอ+ค่าติดตั้ง ถูกกว่า สามารถเลือกรุ่นที่เหมาะสมกับงบตัวเองได้ ถ้าแค่ฟังเพลง ใช้โทรศัพท์ งบ 3-5 พัน, ดูแผนที่ ดู youtube ไวฟายในตัว 7-9 พัน, ใส่ซิมได้ GPS ในตัว หมื่นต้นๆ และได้จอใหญ่กว่า ได้จอ IPS
2. เป็น Android สามารถลงแอพได้อิสระ รวมทั้งแอพเถื่อน (เพราะเครื่องจะรูทมาแล้ว พร้อมติดตั้ง APK Installer)
3. *** ปรับ Dashboard ได้! (Android เรียกว่า Car launcher) อันนี้สำคัญเพราะเราสามารถเปลี่ยนหน้าตา หรือจัดวางแอพที่ใช้บ่อยๆได้ตามอิสระ รวมถึงการแจ้งเตือนที่ต้องการได้ เตือนข้อความจาก FB, Line, IG บลาๆ
4. รองรับอุปกรณ์เสริมได้มาก เช่นนำค่าจาก odb2 มาแสดงในจอเพื่อดู Error Code ของรถ, นำภาพกล้องติดรถมาแสดงในจอ (รุ่นใหม่มีกะระยะ เตือนออกนอกเลน), ติดตั้งกล้อง 360 แล้วแสดงในจอได้, ติดตั้งจุ๊บลมล้อส่งค่าความดันลมมาแสดงในจอได้ และอื่นๆในอนาคต ซึ่งสามารถ "จบในจอเดียว" ได้
ข้อเสีย
1. ต้องมีความรู้เรื่อง Android พอสมควร ช่างบางคนไม่ทราบเรื่องระบบ Android (แต่หาได้ใน youtube หรือคุยกับเซียนทั้งหลายใน Android Head-Units | XDA Forums) เพราะงั้นต้องใจเย็นๆ
2. ประกันต้องขึ้นกับร้านที่ติดตั้ง บางร้าน 6 เดือน บางร้าน 3 เดือน ไม่มีศูนย์ หรือศูนย์หายาก แนะนำให้ติดกับร้านที่คุณคุยและติดต่อได้ตลอดเวลา
3. ต้องดูสเปคเป็น ใช่ว่า Ram 4 หรือ 8 Core แล้วจะลื่น ต้องดูชิปเซตที่ใช้ด้วย แนะนำชิปเซต 7862 เพราะรองรับอุปกรณ์เสริมได้ และปรับแต่งเสียงได้ดีกว่า
ข้อแนะนำ
- หารุ่นที่ใช้ Android 10 ขึ้นไป ให้ดูที่ระบุว่าใช้ชิป cpu 7862 เพื่อรองรับอุปกรณ์เสริมในอนาคตได้
- ต้องเป็นจอ IPS เพราะรถต้องมองได้หลายมุม
- หากเน้น Facebook, Youtube หรือแอพดูหนังควร Ram 4GB ขึ้นไป
- หากเน้น CarPlay, Android Auto ควร Ram 6GB ขึ้นไป และต้องเป็น Bluetooth 5.0 ขึ้นไป
- ร้านน่าเชื่อถือ ต้องเปิดให้ลองเล่น ลองใช้ ลองต่อกับมือถือตัวเองว่าใช้งานได้ไหม ลองเปิดแอพที่ตัวเองจะใช้บ่อยๆว่าไม่ช้าหงุดหงิด และควรยืนดูการประกอบว่าเรียบร้อยดีไหม เขี้ยวล็อคหักหรือไม่
- อย่าคาดหวังว่าจะถามการเปลี่ยนค่าต่างๆของ Android จากช่าง ไม่ใช่ช่างไม่รู้ แต่มันเยอะมากและมีความหลากหลายมากในแต่ละรุ่น สเปคเดียวกันแต่คนละโรงงาน หน้าจอก็ต่างกันแล้ว ใน Youtube จะมีคำตอบที่ชัดเจนกว่า
- การเปลี่ยนจอ จะทำให้ประกัน "ส่วนวิทยุ" ขาดทันที
-------------------------
มารีวิวจอ Android 10" ติดรถครับ ใครคิดจะเปลี่ยนวิทยุอยากให้มาดูทางนี้ก่อน แต่ก่อนอื่นขออธิบายเกี่ยวกับคนไม่รุ้เรื่องวิทยุรถมาก่อนเผื่อไม่เข้าใจ
1. วิทยุรถมีสองแบบ 1din คือช่องวิทยุ 1 แถวและ 2din ช่องขนาด 2 แถว
2. วิทยุรถรุ่นที่เป็นจอทัชกรีน มีเป็นแบบรุ่น brandname ที่เขียน ux/ui ขึ้นมาเอง ภายในอาจจะรันด้วยระบบ Linux เป็นต้น (จะต้องลงแอพผ่านตัวกลาง เช่น WebLink จะได้แค่บางแอพ หรือลงไม่ได้เลย) และรุ่นที่เป็น Android (Brandname ก็เริ่มนำระบบ Android มาใช้งาน)
3. รุ่นที่เป็น Android จะเรียกกันว่า Android Head Unit ซึ่งล่าสุดจะเป็น Android 10 รหัส API29 และจะรองรับ Android Auto โดยส่วนใหญ่

- จอสัมผัส Capacitive จอกระจก แบบ IPS ความละเอียด 1280*720 Ram 6GB, Rom 128GB เป็นชิป cpu 7862
- รองรับ WiFi 2.4 และ 5GHz
- รองรับ GPS และซิม 4G
- Bluetooth 5.0
- ไม่มีช่องใส่ CD ใดๆ ไม่รองรับ HDMI Input (ยกเว้นบางรุ่น)
- จอปุ่มซ้ายมีสีขาวสีเดียว (บางรุ่นปรับสีได้)
- แบ่งจอเพื่อเปิดแอพได้สองจอ (บางรุ่นได้ 3 จอ)
- รองรับ FM/AM RDS
- รองรับกล้อง AHD ความละเอียดสูง
- รองรับ DSP (ชิป cpu 7862) ปรับแต่ง EQ ต่างๆ

เสา GPS

ช่องใส่ซิม เก็บไว้ในลิ้นชัก

รองรับ CarPlay แบบมีสายและไร้สาย (รองรับ Android Auto ด้วย แต่ผมไม่มีเครื่องลอง)
การใช้งานครั้งแรก แตะที่แอพ TLink แล้วเสียบสาย 1 ครั้ง พอเข้า CarPlay จากนั้นถอดออก ไม้ต้องเสียบสายอีก สามารถตั้งค่าให้เมื่อสตาร์ทรถแล้วต่อ CarPlay อัตโนมัติได้

รูปหน้าจอ CarPlay ไอค่อน Car สามารถตั้งค่าได้ว่าคุณใช้รถยี่ห้ออะไร เมือแตะ จะกลับไปหน้าหลักของ Android
**หมายเหตุ
- เมื่อกลับไปหน้าจอ Android ตัว CarPlay ยังคงทำงานอยู่ เพลงหรือแมพก็ยังทำงานอยู่
- เท่าที่ลอง หากเป็น Ram 4GB ฝั่ง Android จะลื่น แต่ CarPlay กระตุกหนักมาก ใช้งานจริงไม่ได้
- ถ้าแชร์เนตมือถือให้จออยู่ พอเข้า CarPlay จะตัด WiFi ทันที เพราะ CarPlay โหมดไร้สายต้องใช้งานทั้ง Bluetooth และ WiFi (แนะนำให้ใส่ซิมเทพ)

ผมมาตั้งค่าเพิ่มในตอนกลางคืน เพราะกลางวันร้อนเหลือเกิน ซึ่งจอสว่างมากขนาดลดแสงสุด ก็ยังสว่าง
- สามารถเปลี่ยนเป็นจอดำ+แสดงเวลาได้ในโหมด screen saver
- ในกรณีใช้งานไม่ถนัด หรืองงปุ่ม สามารถเรียกปุ่ม AssistiveTouch แบบเดียวกับไอโฟน (ในรูปจะเป็นปุ่มเทาๆด้านซ้าย)

ขั้นแรก ให้ไป Play Store และลง Car Launcher ก่อน ผมแนะนำยอดนิยมสุด AGAMA ราคา 69 บาท ปรับได้สวยมากๆ และใช้งานง่าย

ลงเสร็จ จัดการทำ Home App ให้แตะค้างที่ไอค่อน AGAMA ค้างไว้ จนมีไอค่อนถังขยะกับ i ปรากฏให้ลากไปวางที่ i จนไอค่อน AGAMA เปลี่ยนสีตามรูป (ใครใช้ Android อื่นๆ ก็ทำแบบนี้ได้ครับ)

พอเข้าหน้า App info ของ AGAMA เลื่อนล่างๆ จะเจอเมนู Advanced

เลือกติ้กตรงแอพ AGAMA แทน Launcher เดิมจากโรงงาน

จากนี้ทุกครั้งที่สตาร์ทรถ Android จะเริ่มแอพ AGAMA ก่อนเสมอ สามารถไปเปลี่ยนโลโก้บูท โดยแตะตรงมุมซ้ายล่าง
- สามารถเพิ่มลดเสียงโดย ปัดนิ้ววนขึ้นลง
- สามารถเปลี่ยนเพลงโดยปัดซ้ายขวาตรง Music Player (ใช้งานกับ Youtube ก็ได้นะ)
- สามารถกำหนดแอพที่ให้เปิดได้ เช่น youtube, CarPlay รวมทั้งตั้งหน่วงเวลาการเปิดได้
- ตรงกลางให้แสดงเวลา ลูกศรของ Navi ความเร็ว และระยะทางที่ใช้ (ถ้าติดกล่อง obd2) และอื่นๆได้อีกเพียบ

กดปุ่ม Apps ที่มุมขวาล่าง จะแสดงแอพทั้งหมดที่เราติดตั้งไว้

แอพที่สาวๆน่าจะชอบ CarMate สามารถ tracking รถได้ ผ่านจากมือถือ (ติดมากับเครื่อง ลบไม่ได้ ปิดการทำงานไม่ได้, ทดลองใช้ 3 เดือน)

สามารถปิดการ tracking จากมือถือได้ (แต่เจ้าของมือถือต้องมาสั่งปิดเอง) รวมถึงดูภาพจากกล้องในรถได้ (ถ้าติดตั้งกล้องไว้) สามารถส่งข้อความมาขึ้นในจอได้ การ tracking จะใช้สัญญาณ 4G จากซิม

แอพต่อมาคือ EasyConnection จะเป็นการ mirror ภาพจากมือถือผ่านสาย usb (ไม่ใช่ HDMI ) ซึ่งจะส่งภาพและชาร์จไปด้วยในตัว ช่างบอกต้องใช้สายชาร์จแท้และไอโฟนรุ่นใหม่ไม่รองรับ แต่ผมใช้กับสายเทียบ และ iPhone 11 Pro Max ก็ใช้ได้ปกตินะ
หมายเหตุ**
- บางครั้งใช้ CarPlay อยู่มักจะไป conflict กับแอพนี้ ทำให้ใช้แอพนี้ไม่ได้ ต้องรีสตาร์ทมือถือแล้วเสียบสายใหม่จะใช้งานได้
- ผมยังไม่ค่อยเห็นประโยชน์จากแอพนี้เท่าไร เพราะเล่นแอพจาก Android ได้อยู่แล้ว แถมแอพสตรีมหนังก็ไม่อนุญาตให้แชร์จอด้วย
สำหรับการตั้งค่าของรถจะมีตามภาพด้านล่าง
- กำหนดความสว่างขอจอภาพ
- แสดงความดันของแบตรถ
- กำหนด WiFi หรือทำตัวเองเป็น Hotspot ให้คนในรถใช้เนต
- กำหนด Navigation ผมใช้ของ Sygic
- กำหนดค่ากล้องหลังรถ ถ้าใช้กล้องถอยที่เป็น AHD จะกำหนดความละเอียดได้สูงถึง Full HD
- ตั้งเวลาหลับของเครื่อง
- สำหรับเมนู General จะเป็นการตั้งค่าทั่วไปแบบละเอียด ฟังก์ชันปุ่มควบคุมบนพวงมาลัย รวมถึงโลโก้ตอนบูทเครื่องให้เป็นยี่ห้อรถอะไร
- ในส่วนของเมนู More จะเป็นการตั้งค่าของอุปกรณ์ Android และกำหนดสิทธิ์ต่างๆของแอพ
- ในส่วนของ About จะแสดงรายละเอียดของเครื่อง และการอัพเดท Firmware
แอพที่แนะนำ
- Drivvo เก็บข้อมูลของรถ ข้อมูลการเดินทาง การใช้น้ำมัน การเช็คระยะ และคำนวณค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นได้ รวมถึงหาปั๊มน้ำมันที่ใกล้ๆพร้อมแสดงราคาน้ำมันที่เราใช้งานของปั๊มนั้นๆ และอื่นๆที่เราขี้เกียจจำ
- AGAMA แอพปรับแต่ง Car Launcher
อุปกรณ์เสริมที่ใช้คู่กับจอ Android ได้
- ODB2 ไว้อ่านค่า Error ที่เจอในรถ เช็คก่อนเข้าศูนย์ซ่อม จะช่วยลดค่าใช้จ่ายได้
- กล้องบันทึกติดรถหน้า-หลังผ่าน usb ต่อเข้ากับ usb หลังจอได้เลย ไม่ต้องเสียบที่จุดบุหรี่ บันทึกและแสดงภาพ+แจ้งเตือนออกนอกเลน+แจ้งเตือนใกล้เกินไป
- กล้องรอบตัว 360 องศา แสดงภาพจากกล้องรอบคันขึ้นที่จอ (
https://www.youtube.com/watch?v=hEobo7Lp4IQ&ab_channel=OneBizMY)
- แสดงข้อมูลความดันลมจากล้อผ่านจุ๊บลม
- ระบบสั่งการด้วยเสียง (คล้ายรถ MG)
ถ้ามีอะไรเพิ่มเติมจะมาลงในนี้ครับ หรือโพสถามได้ครับ ไหนๆเจ็บมาแล้วก็อยากจะแชร์ให้ทราบ
***
Update 1
อัพเดทเพิ่มเติมสำหรับระบบเสียงครับ
แอพ DSP สามารถปรับแต่ง EQ และโซนเสียงได้
ตัวเครื่องรองรับสาย optic และ coaxial เพื่อเล่นไฟล์
lossless
ใครติดตั้งแล้วไปสั่งฟิล์มกันรอยใน shopeee lazada ด้วยนะครับ
[CR] รีวิวจอ Android 10" ใครจะเปลี่ยนวิทยุ ติดดีไหม ดีกว่าแบรนด์เนมยังไง มีคำแนะนำครับ
ข้อดี
1. จอ+ค่าติดตั้ง ถูกกว่า สามารถเลือกรุ่นที่เหมาะสมกับงบตัวเองได้ ถ้าแค่ฟังเพลง ใช้โทรศัพท์ งบ 3-5 พัน, ดูแผนที่ ดู youtube ไวฟายในตัว 7-9 พัน, ใส่ซิมได้ GPS ในตัว หมื่นต้นๆ และได้จอใหญ่กว่า ได้จอ IPS
2. เป็น Android สามารถลงแอพได้อิสระ รวมทั้งแอพเถื่อน (เพราะเครื่องจะรูทมาแล้ว พร้อมติดตั้ง APK Installer)
3. *** ปรับ Dashboard ได้! (Android เรียกว่า Car launcher) อันนี้สำคัญเพราะเราสามารถเปลี่ยนหน้าตา หรือจัดวางแอพที่ใช้บ่อยๆได้ตามอิสระ รวมถึงการแจ้งเตือนที่ต้องการได้ เตือนข้อความจาก FB, Line, IG บลาๆ
4. รองรับอุปกรณ์เสริมได้มาก เช่นนำค่าจาก odb2 มาแสดงในจอเพื่อดู Error Code ของรถ, นำภาพกล้องติดรถมาแสดงในจอ (รุ่นใหม่มีกะระยะ เตือนออกนอกเลน), ติดตั้งกล้อง 360 แล้วแสดงในจอได้, ติดตั้งจุ๊บลมล้อส่งค่าความดันลมมาแสดงในจอได้ และอื่นๆในอนาคต ซึ่งสามารถ "จบในจอเดียว" ได้
ข้อเสีย
1. ต้องมีความรู้เรื่อง Android พอสมควร ช่างบางคนไม่ทราบเรื่องระบบ Android (แต่หาได้ใน youtube หรือคุยกับเซียนทั้งหลายใน Android Head-Units | XDA Forums) เพราะงั้นต้องใจเย็นๆ
2. ประกันต้องขึ้นกับร้านที่ติดตั้ง บางร้าน 6 เดือน บางร้าน 3 เดือน ไม่มีศูนย์ หรือศูนย์หายาก แนะนำให้ติดกับร้านที่คุณคุยและติดต่อได้ตลอดเวลา
3. ต้องดูสเปคเป็น ใช่ว่า Ram 4 หรือ 8 Core แล้วจะลื่น ต้องดูชิปเซตที่ใช้ด้วย แนะนำชิปเซต 7862 เพราะรองรับอุปกรณ์เสริมได้ และปรับแต่งเสียงได้ดีกว่า
ข้อแนะนำ
- หารุ่นที่ใช้ Android 10 ขึ้นไป ให้ดูที่ระบุว่าใช้ชิป cpu 7862 เพื่อรองรับอุปกรณ์เสริมในอนาคตได้
- ต้องเป็นจอ IPS เพราะรถต้องมองได้หลายมุม
- หากเน้น Facebook, Youtube หรือแอพดูหนังควร Ram 4GB ขึ้นไป
- หากเน้น CarPlay, Android Auto ควร Ram 6GB ขึ้นไป และต้องเป็น Bluetooth 5.0 ขึ้นไป
- ร้านน่าเชื่อถือ ต้องเปิดให้ลองเล่น ลองใช้ ลองต่อกับมือถือตัวเองว่าใช้งานได้ไหม ลองเปิดแอพที่ตัวเองจะใช้บ่อยๆว่าไม่ช้าหงุดหงิด และควรยืนดูการประกอบว่าเรียบร้อยดีไหม เขี้ยวล็อคหักหรือไม่
- อย่าคาดหวังว่าจะถามการเปลี่ยนค่าต่างๆของ Android จากช่าง ไม่ใช่ช่างไม่รู้ แต่มันเยอะมากและมีความหลากหลายมากในแต่ละรุ่น สเปคเดียวกันแต่คนละโรงงาน หน้าจอก็ต่างกันแล้ว ใน Youtube จะมีคำตอบที่ชัดเจนกว่า
- การเปลี่ยนจอ จะทำให้ประกัน "ส่วนวิทยุ" ขาดทันที
-------------------------
มารีวิวจอ Android 10" ติดรถครับ ใครคิดจะเปลี่ยนวิทยุอยากให้มาดูทางนี้ก่อน แต่ก่อนอื่นขออธิบายเกี่ยวกับคนไม่รุ้เรื่องวิทยุรถมาก่อนเผื่อไม่เข้าใจ
1. วิทยุรถมีสองแบบ 1din คือช่องวิทยุ 1 แถวและ 2din ช่องขนาด 2 แถว
2. วิทยุรถรุ่นที่เป็นจอทัชกรีน มีเป็นแบบรุ่น brandname ที่เขียน ux/ui ขึ้นมาเอง ภายในอาจจะรันด้วยระบบ Linux เป็นต้น (จะต้องลงแอพผ่านตัวกลาง เช่น WebLink จะได้แค่บางแอพ หรือลงไม่ได้เลย) และรุ่นที่เป็น Android (Brandname ก็เริ่มนำระบบ Android มาใช้งาน)
3. รุ่นที่เป็น Android จะเรียกกันว่า Android Head Unit ซึ่งล่าสุดจะเป็น Android 10 รหัส API29 และจะรองรับ Android Auto โดยส่วนใหญ่
- จอสัมผัส Capacitive จอกระจก แบบ IPS ความละเอียด 1280*720 Ram 6GB, Rom 128GB เป็นชิป cpu 7862
- รองรับ WiFi 2.4 และ 5GHz
- รองรับ GPS และซิม 4G
- Bluetooth 5.0
- ไม่มีช่องใส่ CD ใดๆ ไม่รองรับ HDMI Input (ยกเว้นบางรุ่น)
- จอปุ่มซ้ายมีสีขาวสีเดียว (บางรุ่นปรับสีได้)
- แบ่งจอเพื่อเปิดแอพได้สองจอ (บางรุ่นได้ 3 จอ)
- รองรับ FM/AM RDS
- รองรับกล้อง AHD ความละเอียดสูง
- รองรับ DSP (ชิป cpu 7862) ปรับแต่ง EQ ต่างๆ
เสา GPS
ช่องใส่ซิม เก็บไว้ในลิ้นชัก
รองรับ CarPlay แบบมีสายและไร้สาย (รองรับ Android Auto ด้วย แต่ผมไม่มีเครื่องลอง)
การใช้งานครั้งแรก แตะที่แอพ TLink แล้วเสียบสาย 1 ครั้ง พอเข้า CarPlay จากนั้นถอดออก ไม้ต้องเสียบสายอีก สามารถตั้งค่าให้เมื่อสตาร์ทรถแล้วต่อ CarPlay อัตโนมัติได้
รูปหน้าจอ CarPlay ไอค่อน Car สามารถตั้งค่าได้ว่าคุณใช้รถยี่ห้ออะไร เมือแตะ จะกลับไปหน้าหลักของ Android
**หมายเหตุ
- เมื่อกลับไปหน้าจอ Android ตัว CarPlay ยังคงทำงานอยู่ เพลงหรือแมพก็ยังทำงานอยู่
- เท่าที่ลอง หากเป็น Ram 4GB ฝั่ง Android จะลื่น แต่ CarPlay กระตุกหนักมาก ใช้งานจริงไม่ได้
- ถ้าแชร์เนตมือถือให้จออยู่ พอเข้า CarPlay จะตัด WiFi ทันที เพราะ CarPlay โหมดไร้สายต้องใช้งานทั้ง Bluetooth และ WiFi (แนะนำให้ใส่ซิมเทพ)
ผมมาตั้งค่าเพิ่มในตอนกลางคืน เพราะกลางวันร้อนเหลือเกิน ซึ่งจอสว่างมากขนาดลดแสงสุด ก็ยังสว่าง
- สามารถเปลี่ยนเป็นจอดำ+แสดงเวลาได้ในโหมด screen saver
- ในกรณีใช้งานไม่ถนัด หรืองงปุ่ม สามารถเรียกปุ่ม AssistiveTouch แบบเดียวกับไอโฟน (ในรูปจะเป็นปุ่มเทาๆด้านซ้าย)
ขั้นแรก ให้ไป Play Store และลง Car Launcher ก่อน ผมแนะนำยอดนิยมสุด AGAMA ราคา 69 บาท ปรับได้สวยมากๆ และใช้งานง่าย
ลงเสร็จ จัดการทำ Home App ให้แตะค้างที่ไอค่อน AGAMA ค้างไว้ จนมีไอค่อนถังขยะกับ i ปรากฏให้ลากไปวางที่ i จนไอค่อน AGAMA เปลี่ยนสีตามรูป (ใครใช้ Android อื่นๆ ก็ทำแบบนี้ได้ครับ)
พอเข้าหน้า App info ของ AGAMA เลื่อนล่างๆ จะเจอเมนู Advanced
เลือกติ้กตรงแอพ AGAMA แทน Launcher เดิมจากโรงงาน
จากนี้ทุกครั้งที่สตาร์ทรถ Android จะเริ่มแอพ AGAMA ก่อนเสมอ สามารถไปเปลี่ยนโลโก้บูท โดยแตะตรงมุมซ้ายล่าง
- สามารถเพิ่มลดเสียงโดย ปัดนิ้ววนขึ้นลง
- สามารถเปลี่ยนเพลงโดยปัดซ้ายขวาตรง Music Player (ใช้งานกับ Youtube ก็ได้นะ)
- สามารถกำหนดแอพที่ให้เปิดได้ เช่น youtube, CarPlay รวมทั้งตั้งหน่วงเวลาการเปิดได้
- ตรงกลางให้แสดงเวลา ลูกศรของ Navi ความเร็ว และระยะทางที่ใช้ (ถ้าติดกล่อง obd2) และอื่นๆได้อีกเพียบ
กดปุ่ม Apps ที่มุมขวาล่าง จะแสดงแอพทั้งหมดที่เราติดตั้งไว้
แอพที่สาวๆน่าจะชอบ CarMate สามารถ tracking รถได้ ผ่านจากมือถือ (ติดมากับเครื่อง ลบไม่ได้ ปิดการทำงานไม่ได้, ทดลองใช้ 3 เดือน)
สามารถปิดการ tracking จากมือถือได้ (แต่เจ้าของมือถือต้องมาสั่งปิดเอง) รวมถึงดูภาพจากกล้องในรถได้ (ถ้าติดตั้งกล้องไว้) สามารถส่งข้อความมาขึ้นในจอได้ การ tracking จะใช้สัญญาณ 4G จากซิม
แอพต่อมาคือ EasyConnection จะเป็นการ mirror ภาพจากมือถือผ่านสาย usb (ไม่ใช่ HDMI ) ซึ่งจะส่งภาพและชาร์จไปด้วยในตัว ช่างบอกต้องใช้สายชาร์จแท้และไอโฟนรุ่นใหม่ไม่รองรับ แต่ผมใช้กับสายเทียบ และ iPhone 11 Pro Max ก็ใช้ได้ปกตินะ
หมายเหตุ**
- บางครั้งใช้ CarPlay อยู่มักจะไป conflict กับแอพนี้ ทำให้ใช้แอพนี้ไม่ได้ ต้องรีสตาร์ทมือถือแล้วเสียบสายใหม่จะใช้งานได้
- ผมยังไม่ค่อยเห็นประโยชน์จากแอพนี้เท่าไร เพราะเล่นแอพจาก Android ได้อยู่แล้ว แถมแอพสตรีมหนังก็ไม่อนุญาตให้แชร์จอด้วย
สำหรับการตั้งค่าของรถจะมีตามภาพด้านล่าง
- กำหนดความสว่างขอจอภาพ
- แสดงความดันของแบตรถ
- กำหนด WiFi หรือทำตัวเองเป็น Hotspot ให้คนในรถใช้เนต
- กำหนด Navigation ผมใช้ของ Sygic
- กำหนดค่ากล้องหลังรถ ถ้าใช้กล้องถอยที่เป็น AHD จะกำหนดความละเอียดได้สูงถึง Full HD
- ตั้งเวลาหลับของเครื่อง
- สำหรับเมนู General จะเป็นการตั้งค่าทั่วไปแบบละเอียด ฟังก์ชันปุ่มควบคุมบนพวงมาลัย รวมถึงโลโก้ตอนบูทเครื่องให้เป็นยี่ห้อรถอะไร
- ในส่วนของเมนู More จะเป็นการตั้งค่าของอุปกรณ์ Android และกำหนดสิทธิ์ต่างๆของแอพ
- ในส่วนของ About จะแสดงรายละเอียดของเครื่อง และการอัพเดท Firmware
แอพที่แนะนำ
- Drivvo เก็บข้อมูลของรถ ข้อมูลการเดินทาง การใช้น้ำมัน การเช็คระยะ และคำนวณค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นได้ รวมถึงหาปั๊มน้ำมันที่ใกล้ๆพร้อมแสดงราคาน้ำมันที่เราใช้งานของปั๊มนั้นๆ และอื่นๆที่เราขี้เกียจจำ
- AGAMA แอพปรับแต่ง Car Launcher
อุปกรณ์เสริมที่ใช้คู่กับจอ Android ได้
- ODB2 ไว้อ่านค่า Error ที่เจอในรถ เช็คก่อนเข้าศูนย์ซ่อม จะช่วยลดค่าใช้จ่ายได้
- กล้องบันทึกติดรถหน้า-หลังผ่าน usb ต่อเข้ากับ usb หลังจอได้เลย ไม่ต้องเสียบที่จุดบุหรี่ บันทึกและแสดงภาพ+แจ้งเตือนออกนอกเลน+แจ้งเตือนใกล้เกินไป
- กล้องรอบตัว 360 องศา แสดงภาพจากกล้องรอบคันขึ้นที่จอ (https://www.youtube.com/watch?v=hEobo7Lp4IQ&ab_channel=OneBizMY)
- แสดงข้อมูลความดันลมจากล้อผ่านจุ๊บลม
- ระบบสั่งการด้วยเสียง (คล้ายรถ MG)
ถ้ามีอะไรเพิ่มเติมจะมาลงในนี้ครับ หรือโพสถามได้ครับ ไหนๆเจ็บมาแล้วก็อยากจะแชร์ให้ทราบ
***
Update 1
อัพเดทเพิ่มเติมสำหรับระบบเสียงครับ
แอพ DSP สามารถปรับแต่ง EQ และโซนเสียงได้
ตัวเครื่องรองรับสาย optic และ coaxial เพื่อเล่นไฟล์
lossless
ใครติดตั้งแล้วไปสั่งฟิล์มกันรอยใน shopeee lazada ด้วยนะครับ
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้