MB SP2: ศาสนาพุทธมีประโยชน์อะไรบ้าง ในเวลาที่เกิดโรคระบาด นอกจากสวดมนต์

เรารู้สึกกันอย่างชัดเจน ว่ารัฐบาลจัดการโรคระบาดได้อย่างไม่มีประสิทธิภาพเลย ผู้คนติดโรคกันมากมาย ล้มตายกันไม่เว้นแต่ละวัน เศรษฐกิจพังยับเยิน

เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ทำงานกันเหน็ดเหนื่อยมากมาย

หลายคนออกมาช่วยแจกอาหาร เป็นจิตอาสา เท่าที่ทำได้

หลายคนบริจาคเงินทองสิ่งของ เท่าที่พอไหว

แต่เหมือนว่าช่วยกันได้แค่ปลายเหตุเท่านั้น สถานการณ์ยังแย่ลงทุกวัน

รัฐบาลมัวทำอะไรอยู่? วัคซีนดีๆ อยู่ไหน? เยียวยาเมื่อไร? เท่าไร?

หันไปทางไหน ฟังข่าวอะไร ล้วนไม่พ้นเต็มไปด้วยความอดอยาก ความเจ็บป่วย และความตาย

ความยากลำบากในใช้ชีวิต เริ่มเปลี่ยนเป็นไม่พอใจ และค่อยๆ ขยายตัวเป็นความโกรธแค้น จนเป็นความหดหู่ สิ้นหวัง


ศาสนาพุทธสอนให้เห็นและยอมรับความจริง สำหรับคนทั่วไปที่ไม่ได้ฝึกมาก่อน ความจริงเบี้องต้นคือเหตุผล อย่าคิด อย่าตัดสินใจทำอะไรด้วยอารมณ์ ด้วยความรู้สึก


เราโกรธเกลียดรัฐบาล ที่จัดการดูแลปกป้องพวกเราไม่ได้เลย อยากขับไล่ อยากให้ออก ให้เปลี่ยนใหม่ ตรงนี้ศาสนาจะบอกว่า ให้ดูดีๆ ว่าที่โกรธเกลียด ที่อยากขับไล่นั้น ทำด้วยเหตุผลหรือทำด้วยความรู้สึกกลัวตาย ด้วยความรู้สึกอยากมีสตางค์เหมือนเดิม ศาสนาจะบอกว่า ให้เอาความรู้สึกกลัว ความรู้อยากพวกนี้ออกไปจากระบบการคิดก่อน แล้วค่อยมาคิดดูใหม่ ว่ารัฐบาลผิดผลาดตรงไหน จะขับไล่อย่างไรดี

ผมเชื่อว่าหลายคนคงทำไม่ได้ เพราะสถานการณ์มันแย่จนจำไม่ได้แล้วว่า หัวเราะจนปอดโยกครั้งสุดท้ายเมื่อไร ตรงนี้ศาสนาจะบอกให้ทำใจให้สงบก่อนเล็กน้อย ตามตำราว่าไว้ว่า ความรู้สึกเกลียดรัฐบาล ความรู้สึกกลัวตาย ความรู้สึกอยากได้ชีวิตเดิม จะเกิดขึ้นเป็นครั้งๆ สั้นบ้าง ยาวบ้าง ไม่ได้เกิดตลอดเวลา แต่เพราะเราเขี่ยมือถือดูข่าว เพราะเรานึกถึงรัฐบาลบ่อยๆ ความรู้สึกเหล่านี้จึงเกิดบ่อยๆ จนกลายเป็นว่า รู้สึกทั้งวันต่อๆ กัน ต่อเนื่องจากประเด็นหนึ่งไปอีกประเด็นหนึ่ง ตั้งแต่ตื่นจนหลับ เป็นแบบนี้ทั้งวันและทุกวัน

แต่ถ้าเราสามารถทำสมาธิได้นิดนึง จนเห็นจิตใจที่ไม่มีความคิดเจือปนได้แว๊บเดียว แว๊บนี้เราจะหยุดความต่อเนื่องของความรู้สึกพวกนี้ได้แป๊ปนึง แล้วความคิดความรู้สึก จะไหลขึ้นมาเหมือนเดิม ถ้าฝึกอีกซักหน่อย ก็จะหยุดได้หลายครั้งหน่อย จะพบว่าใจจะคิดๆสลับกับว่าง คิดๆ ว่าง คิดๆ ว่าง ถ้าถึงตรงนี้ ความคิดความรู้สึกจะสั้นลง ขยายตัวได้แป๊ปเดียว ก็รู้ทันและถูกคั่นด้วยใจที่ว่าง ความรุนแรงก็จะน้อยลง

แล้วใช้ใจที่ว่างจากความโกรธเกลียด หรืออย่างน้อยใช้ใจที่มีความโกรธเกลียดที่ไม่รุนแรง มาคิดมาตัดสินใจ

เริ่มหัดทำสมาธิ ก็วางมือถือลงก่อนซักพัก หลายคนเริ่มนึกถึงลมหายใจ มีอายุหน่อยจะเริ่มนึกถึงพุทโธ(อันนี้ก็สวดมนต์จนได้ล่ะนะ) สำหรับมือใหม่ ตรงนี้ศาสนาจะสอนให้หัดทำอนุสสติ ๑๐ คือวิธีทำใจให้สงบแบบง่ายๆ https://th.m.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%B8%E0%B8%AA%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%B4

ส่วนตัวผมแนะนำให้ฟังเพลงชิลๆ ก่อนซัก 5-10 นาที คือบางทีหงุดหงิดมาก ใจมันไม่ลงง่ายๆ ให้ใจมันเพลิน มันอินกับเพลงแป๊ปนึง ลืมๆ รัฐบาลไปหน่อยๆ แล้วลองมาทำอนุสสติดู

แต่อนุสสติของคนยุคนี้อาจจะยากหน่อย อย่างเช่นให้นึกถึงพระพุทธเจ้า ก็คงจะมีแต่จินตนาการที่เต็มไปด้วยอภินิหาร จนยากจะเชื่อว่าเป็นเรื่องจริง ผมก็จะให้ลองนึกง่ายๆ ว่า มีคนคนนึงที่รวยมาก มีอำนาจมากเท่าๆ ผู้นำประเทศ แต่ทิ้งทุกอย่างเข้าวัด เข้าป่า เพื่อคนหาชีวิต มองเผินๆ คงเหมือนเสียสติ แต่สุดท้ายแล้ว เค้าหาวิธีฝึกจิตใจจนพบว่า ต้องทำอย่างไร ต้องคิดอย่างไร ถึงจะอยู่ในสถานการณ์ที่แย่แบบนี้ได้โดยไม่โกรธเกลียด ไม่หดหู่สิ้นหวัง แล้วเอามาสอนคนอื่นต่อได้มาเป็นพันๆ ปี  ถึงตรงนี้ อาจมีบางคน เริ่มใจเย็นลงบ้างแล้วมั้งครับ

เอาล่ะ ใจเย็นลงหน่อย สงบลงหน่อยแล้วย้อนกลับมาดูรัฐบาลกัน

มีข้อเท็จจริงๆ เรียบๆ ข้อหนึ่งที่ผมรู้สึกได้ คือ ไม่ว่าจะจัดการได้แย่แค่ไหน แต่รัฐบาลนี้ก็ไม่ใช่ต้นเหตุของปัญหา ไม่ใช่ต้นตอของโรค และเป็นไปได้ยากมาก ที่จะควบคุมไม่ให้โรคนี้ เข้ามาในประเทศตั้งแต่แรก

พอถึงตรงนี้คงมีหลายคนเริ่มหงุดหงิดใหม่ ก็ย้อนกลับไปทำสมาธิใหม่ ทำใจชิลๆ ทำอนุสสติอีกที

ถ้านึกถึงพระพุทธเจ้าไม่ออก ก็ลองนึกถึงคนที่เสียสละประโยชน์ของตัวเอง เพื่อสร้างประโยชน์ให้พวกเรา ให้เกิดความสุขสบาย ก็พยายามนึกถึงคนที่ไม่ค่อยมีเรื่องเสียหายนะครับ อย่างเช่น ไอสไตน์, เทสล่า, พี่น้องไรท์ ว่าสิ่งที่เค้าค้นคว้าเรียนรู้ ทำให้เกิดเทคโนโลยี ให้พวกเราได้สบายขึ้นขนาดไหน บางคนนึกแล้วก็จะมีความสบายใจอ่อนๆ ลอยขึ้นมานะครับ

ใจจะเริ่มมีสมาธิ ความโกรธเกลียดรุนแรงน้อยลง ไม่ลำเอียงจากความรู้สึกเชิงลบแล้ว ย้อนกลับมาดูรัฐบาลกันอีกที

ผมว่ามีความจริงง่ายๆ อีกข้อนึง ที่หลายคนคงรู้สึกอยู่แล้ว แต่หลงลืมหรือตาลายมองไม่เห็น ว่าจะมีใครที่ไหนอยากเป็นนายก อยากเป็นรัฐมนตรี ที่ทำงาน 24 ชม.ต่อวัน สัปดาห์ละ 7 วัน เพียงเพื่อมารับใช้ มาดูแล มารองรับอารมณ์ มาทำตามความต้องการ คนหลายสิบล้านคน ด้วยเงินเดือนเพียงไม่กี่แสน ถ้าไม่ได้เพราะต้องการอำนาจและผลประโยชน์ นักการเมืองในระบอบประชาธิปไตยของประเทศโลกที่สามอย่างเรา เกือบทั้งหมดเค้าไม่สนใจหรอกว่าคุณจะรวยหรือจน จะสุขหรือทุกข์อย่างไร เค้าขอเพียงแค่ทำยังไงก็ได้ ให้คนส่วนใหญ่พอใจกับการตัดสินใจของเค้าบ้าง นิดๆ หน่อยๆ พร้อมๆ กับหาโอกาสตักตวงผลประโยชน์เนียนๆ ในขณะที่มีอำนาจ ก็เท่านั้น

ถ้าอายุมากระดับนึง จะพบว่าระบบ ว่ากติกามันแย่ๆ เยินๆ มานานแล้ว เลือกตั้งได้ก็มาเนียนๆ สั่งโน่นสั่งนี่หน่อย เพียงเพื่อจ้องจะหาจังหวะกอบโกยผลประโยชน์เท่านั้น เป็นแบบนี้มาแทบจะทุกยุคทุกสมัย

ข้าราชการประจำก็เหมือนกัน คิดเหรอว่าคนประเทศนี้อยากเป็นข้าราชการ เพราะอยากมารับใช้ประชาชน แทบทั้งหมดอยากหาอาชีพที่ทำงานน้อย แต่มั่นคง และสวัสดิการดี บางทีก็เบ่งกับประชาชนได้ด้วย ก็เท่านั้น

พอเจอกับโรคระบาด ความเยินมันเลยอาจจะออกมาชัดเจนขึ้นเท่านั้นเอง แต่ความชัดเจนคือความอดอยากและความตาย พวกเราเลยอินกันมาก ก็ไม่แปลกอะไร

และการเอาประเทศด้อยพัฒนาแบบนี้ ไปเปรียบเทียบการแก้ปัญหาโรคระบาด กับประเทศพัฒนาแล้ว กับประเทศมหาอำนาจ ยังไม่ทันหาข้อมูลก็รู้แล้วว่าใครจะทำได้ดีกว่า ถ้ามัวแต่ไปคิดว่าทำไมเราไม่ดีเหมือนเค้า ก็มีแต่จะแผดเผาใจตัวเอง ให้คับแค้นใจ อย่างไร้ประโยชน์ โดยไม่มีเหตุผลเท่านั้น



เมื่อเรามีสมาธิมากพอ เมื่อเราใช้เหตุผลได้เต็มที่แล้ว เราก็จะเหลือแต่สิ่งที่จำเป็นต้องทำต่อรัฐบาล เช่น เราจะขับไล่โดยไม่ด่าหยาบคาย เราจะเรียกร้องในสิ่งที่เราต้องการ เราจะอารยะขัดขืนในสิ่งที่เราไม่ต้องการ เราจะวิจารณ์ในสิ่งที่เราไม่เห็นด้วย เพื่อให้พวกเค้าเห็นและรู้สึกเท่าที่เป็นได้ ก็เท่านั้น แต่ที่สำคัญยิ่งกว่านั้น คือเราก็ยังสามารถคิดอ่านแก้ไขปัญหาตัวเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ จะอดทนรอทำอาชีพเดิมหรือจะเปลี่ยน จะเก็บไว้หรือจะขาย ล้วนใช้เหตุผล ไม่ใช่ประชดโกรธแค้น

รวมไปถึงเราจะเหลือความรู้สึก เท่าที่จำเป็นต้องรู้สึกเท่านั้น คนทั่วไปอย่างเราๆ คงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะโกรธเกลียด ที่จะหดหู่สิ้นหวัง แต่ถ้าเรามีเหตุผลมากพอ เราจะรู้สึกเท่าที่มันเป็นจริงๆ เท่านั้น ไม่ได้คิดซ้ำๆ จนเกินไป ไม่ได้ด่าท่อให้ฟังกันเอง จนพากันขยายความรู้สึกให้ตัวเองอีกหลายเท่า โดยไม่จำเป็นและไม่เกิดประโยชน์ และยังจะกลายเป็นผลเสียทางจิตใจอย่างมาก ทั้งที่จริงๆ แล้วสามารถหลีกเลี่ยงได้


สำหรับคนที่ชอบเข้าวัดทำบุญ แม้ว่าจะไม่ใช่มือใหม่ในศาสนา แต่จะเห็นได้ว่า แค่บุญอย่างเดียวไม่พอแล้ว ตอนทำบุญมีความสุขแค่ไหน แต่เมื่อเกิดความเกลียดกลัวขึ้นมา ความสุขในบุญก็หายไปได้ พึงระลึกว่า หากเดินปัญญาเป็น หากทำวิปัสสนาได้ จะไม่ทุกข์อย่างนี้ อย่างไรก็ดี หากสถานการณ์ไม่ดี ป่วยอยู่บ้าน อาการหนักลงเรื่อยๆ แต่ไม่มีเตียงซะที ให้นึกถึงความสุขในบุญที่เคยทำเป็นอนุสสติข้อนึงให้ใจสงบ ทำบ่อยๆ นึกบ่อยๆ ลืมรัฐบาลเสีย ถึงตอนนี้แล้ว ความโกรธแค้นคร่ำครวญใดๆ จะเป็นอันตรายอย่างยิ่ง ความตายไม่สำคัญเท่ากับที่ๆ จะไปหลังความตาย ศาสนาบอกไว้ว่า หากสิ้นใจไปพร้อมๆ กับใจที่มีความสุข ความสงบ ก็จะจุติใหม่ในสุขติภูมิ หรือในโลกสุขสงบ เท่าๆ กับความรู้สึกตอนสิ้นใจ

หากจิตใจเศร้าหมองโกรธเกลียดเคียดแค้น โลกที่จะไปจุติ ก็จะเป็นที่ๆ ทุกข์ทรมานอึดอัดเท่าๆ กับความรู้สึกตอนสิ้นใจเช่นกัน


สำหรับคนที่เดินปัญญา ที่ทำวิปัสสนาได้ เป็นนาทีทองของผู้ปฏิบัติ ที่เห็นได้ชัดว่าความตายใกล้ตัวแค่ไหน เห็นใจที่กลัว เห็นใจที่โกรธแค้นว่า ควบคุมไม่ได้ เค้าคิด เค้ารู้สึก เค้าเปลี่ยนแปลงได้เอง เห็นว่าใจไม่ใช่เรา และเห็นว่าร่างกายก็ไม่ใช่ของเรา ตายแล้วก็แล้วไป ใช้ความตายเป็นอนุสสติอีกข้อหนึ่ง นอกจากจะช่วยให้ใจสงบได้ง่ายแล้ว ยังปรับมุมมองเดินปัญญาได้อีกด้วยว่า สุดท้ายแล้ว ร่างกายก็ไม่ใช่ของเรา จิตใจก็ไม่ใช่ของเรา


มือใหม่ และสายบุญ อาจะเริ่มอยากรู้ว่า เดินปัญญาหรือทำวิปัสสนา ทำอย่างไร จริงๆ ผมแทรกไปตั้งแต่ตอนต้น ว่าศาสนาสอนให้ใช้สมาธิ หยุดความต่อเนื่องของความคิด ตรงนี้เป็นจุดเริ่มต้นของการทำวิปัสสนา หรือการปฏิบัติธรรม

ศาสนาสอนให้รู้สึกจากใจลึกๆ ว่าร่างกายและจิตใจนี้ไม่ใช่ของเรา ร่างกายอาจไม่ซับซ้อนนัก ตายแล้วก็เน่า ก็เผาไป รู้สึกได้ไม่ยาก แต่จิตใจนั้น เราจะรู้สึกอย่างชัดเจนว่าความคิด ความรู้สึก ว่าจิตวิญญาณเป็นของเรา เป็นตัวเรา เราบังคับ เราควบคุม ศาสนาจะค่อยๆ พาดูว่า เราควบคุมจิตใจได้เพียงผิวเผินเท่านั้น ลึกๆ แล้วเราควบคุมไม่ได้เลย โดยเริ่มต้นจากการเห็นความคิดขาดเป็นช่วงๆ ตามที่ได้กล่าวข้างต้น พอสมาธิมากหน่อย จะเห็นความคิดขาดเป็นช่วงสั้นลงๆ จนเราเริ่มเห็นขณะที่ความคิดเริ่มก่อตัวขึ้น ซึ่งจะรู้สึกได้ว่า ความคิดก่อตัวขึ้นมาเองโดยที่เราไม่ได้สั่ง ตรงนี้ ศาสนาจะชี้ให้เห็นว่า จิตใจจะเป็นของเราได้อย่างไร ถ้าเค้าเกิดขึ้นได้เอง เค้าทำงานได้เอง

และเมื่อร่างกายก็ไม่ใช่ของเรา จิตใจก็ไม่ใช่ของเรา ความรู้สึกดีร้ายที่เกิดขึ้นในใจหรือมีสิ่งภายนอกมากระทำ ก็ไม่ได้ทำเรา มีแค่ทำกับร่างกายที่ไม่นานก็จะหายไป มีแค่กับจิตใจที่เกิดๆ ดับๆ เดี่ยวก็หายไป เราไม่มี และนี่คือสภาวะของนิพพาน

https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=131551722443056&id=110942417837320
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่