JJNY : "พท."ถามปล่อยปชช.จ่ายเงินจองวัคซีนผิด รธน.หรือไม่│เซ่นโควิดหนุ่มลูก4ผูกคอ│ส่งออกข้าวลุ้นเหนื่อย│ชาวบราซิลไล่ผู้นำ

"เพื่อไทย" ย้อนถาม ปล่อยปชช.จ่ายเงินจองวัคซีนทางเลือก ผิด รธน. หรือไม่
https://www.nationtv.tv/news/378828250
 
 
“เพื่อไทย” ถามนายกฯ ปล่อยปชช. จ่ายเงินจองวัคซีนผิดรธน. มาตรา 47 หรือไม่ อัดบริการผิดพลาด เปรียบให้บุคลากรแพทย์สู้ด้วยชุดเกราะกระดาษ จี้รีบฉีดเข็ม 3 ก่อนสาธารณสุขไทยจะพังทลายเหมือนปราสาททราย
 
วันนี้ (4 ก.ค.) นายชนินทร์ รุ่งธนเกียรติ รองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า การบริหารจัดการวัคซีนของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี  ใน ผอ.ศบค. ผิดพลาดมาตั้งแต่ต้น  แม้แต่การแก้ไขปัญหาในขณะนี้ก็ยังผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำอีก เพราะช่วงแรกรัฐบาลกำหนดให้วัคซีนแอสตร้าเซเนก้าเป็นวัคซีนหลักเพียงเจ้าเดียว จึงไม่มีวัคซีนคุณภาพมาเพียงพอเร่งฉีดให้ประชาชน จนวันนี้จึงปรับแผนใช้วัคซีนแก้ขัดอย่างซิโนแวคที่ประชาชนไม่ไว้ใจ มาเป็นวัคซีนหลัก และยังเตรียมจะซื้อเพิ่มอีก 28 ล้านโดส
 
ส่วนวัคซีนที่ประชาชนเรียกร้อง อย่างโมเดอร์นา กลับถูกปิดกั้นดำเนินการล่าช้า ทั้งที่มีงานวิจัยหลายฉบับรองรับว่ารับมือกับโควิด-19 สายพันธุ์ที่มีแนวโน้มระบาดอยู่ได้มากกว่า กลับกลายเป็น “วัคซีนทางเลือก” ที่ประชาชนต้องเสียเงินจ่ายด้วยตนเอง ทำให้อดสงสัยไม่ได้ว่า  ทันทีที่ประชาชนกดโอนเงินมัดจำค่าวัคซีนทางเลือก วินาทีนั้นเท่ากับว่าพลเอกประยุทธ์ กระทำขัดต่อรัฐธรรมนูญ ปี 2560 มาตรา 47 ที่ระบุว่า “บุคคลย่อมมีสิทธิได้รับการป้องกันและขจัดโรคติดต่ออันตรายจากรัฐโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย” หรือไม่
 
นายชนินทร์ กล่าวว่า  พลเอกประยุทธ์ ในฐานะ ผอ.ศบค. ต้องใช้วิธีการทางการทูตไม่ว่าจะเป็นการทูตแบบทางการหรือไม่เป็นทางการ  รวมทั้งใช้ศักยภาพของภาคเอกชนที่ติดต่อธุรกิจกับต่างชาติให้เข้ามาช่วยจัดหาวัคซีนยี่ห้ออื่นๆให้เร็วขึ้นได้ อย่าจมอยู่กับวาทกรรมวัคซีนที่ดีคือวัคซีนที่มี ในเมื่อของที่มีอาจจะไม่เพียงพอต่อการควบคุมการระบาด
 
"การบริหารวัคซีนภายใต้รัฐบาลชุดนี้ มีความพยายามผูกขาดวัคซีน ทำให้บุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้าจำนวนมากที่ได้ฉีดเพียงซิโนแวค 2 เข็ม เหมือนต้องสู้รบด้วยชุดเกราะกระดาษ  ศบค.ต้องพิจารณาฉีดวัคซีนคุณภาพเข็มที่ 3 ให้แพทย์เป็นการฉุกเฉิน ก่อนที่สาธารณสุขไทยจะพังทลายเหมือนปราสาททราย”


 
เซ่นพิษโควิดไม่หยุด! ‘หนุ่มลูก4’ผูกคอ-ถูกไล่ออกจากงาน
https://www.dailynews.co.th/news/21033/
 
สลด! อดีตลูกจ้างหนุ่มสุดเครียด ตัดสินใจผูกคอดับคาห้องนํ้า หลังถูกบริษัทไล่ออกจากงาน เซ่นพิษโควิด ก่อนทิ้งลูกน้อยไว้อีก 4 คน
 
เมื่อวันที่ 4 ก.ค. พ.ต.อ.ญาณพงศ์ อุบลบาน ผกก.สภ.เมืองปัตตานี รับแจ้งเหตุคนผูกคอตายภายในห้องน้ำธนาคารแห่หงนึ่ง เลขที่ 88 ถนนอุดมวิถี ต.อาเนาะรู อ.เมืองปัตตานี จ.ปัตตานี จึงไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ พบนายเอ (นามสมมุติ) อายุ 42 ปี ผูกคอเสียชีวิตภายในห้องนํ้าของธนาคารดังกล่าว สภาพศพผูกคอในท่ายืน ขาแตะพื้น เบื้องต้นไม่พบร่องรอยการถูกทำร้าย คาดว่าน่าจะเสียชีวิตมาแล้วประมาณ 1 ชั่วโมง เจ้าหน้าที่จึงนำศพชันสูตรที่ รพ.ปัตตานี อย่างละเอียดอีกครั้งหนึ่ง
 
จากการสอบสวน รปภ. ของธนาคาร เล่าว่า หลังเดินทางมาถึงธนาคาร เห็นแต่กระเป๋าและกาน้ำร้อนของผู้ตายตั้งไว้อยู่ จากนั้นได้ตะโกนเรียกหา แต่ก็ไม่มีใครขานรับ จึงเดินตามหาในห้องน้ำ ปรากฏว่าห้องล็อก ก่อนดันประตูเข้าไป ก็เห็นผู้ตายผูกคอเสียชีวิตแล้ว ด้วยความตกใจจึงรีบออกไปข้างนอกโทรหาผู้จัดการ และเจ้าหน้าที่ตำรวจทันที โดยผู้ตายมักเดินทางมาช่วยงานเพื่อนที่เป็น รปภ. อีกคนที่ธนาคารอยู่เป็นประจำ 
 
เบื้องต้นเจ้าหน้าที่สันนิษฐานว่า ผู้ตายอาจจะเครียด หลังถูกไล่ออกจากงานบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง มาแล้ว 1 อาทิตย์ เนื่องจากพิษโควิด-19 และอาจจะเครียดเรื่องการเงิน เพราะผู้ตายมีลูก 4 คน ยังเล็กอยู่ จึงอาจจะตัดสินใจจบชีวิตดังกล่าว ก่อนนำศพให้ญาติไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อไป.
 

 
ปัจจัยรุมเร้าส่งออกข้าวไทย ลุ้นเหนื่อยเป้าปีนี้ 6 ล้านตัน
https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/946769
  
ข้าวไทยแพง  บาทแข็ง  ทำส่งออกข้าวไทย  6   เดือนแรกได้เพียง  2.2 ล้านตัน   พาณิชย์เร่งเครื่องทำจีทูจีขายข้าว ดันยอดส่งออกข้าวให้ได้ตามเป้า 6 ล้านตัน
  
ครึ่งปีแรกปี 64 ( ตั้งแต่วันที่ 1ม.ค.-23 มิ.ย.64 ) ไทยส่งออกข้าวแล้ว 2.2  ล้านตัน ลดลง 21.03% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน คิดเป็นมูลค่า 1,382  ล้านดอลลาร์ ลดลง 28.14%  ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่ไม่เป็นผลดีต่อการส่งออกข้าวไทย  จากเป้าหมายทั้งปี ไว้ที่ 6 ล้านตัน มูลค่า  5,000 ล้านดอลลาร์ หรือ 150,000 ล้านบาท  โดยปี 63 ไทยส่งออกข้าวได้ 5.7 ล้านตัน ซึ่งนายกสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย”   ร.ต.ท.เจริญ เหล่าธรรมทัศน์” ระบุว่า   หากจะส่งออกข้าวให้ได้ 6 ล้านตันไทยต้องส่งออกข้าวให้ได้เฉลี่ยเดือนละ 5 แสนตัน แต่จากการติดตามสถานการณ์การส่งออกพบว่าไทยส่งออกข้าวต่ำกว่าเป้าหมาย  ปัญหามาจากราคาข้าวไทยสูงกว่าราคาข้าวของคู่แข่ง ซึ่งเป็นผลจากค่าเงินบาทที่แข็งค่า ปริมาณข้าวน้อยกว่าปกติที่เกิดจากภัยแล้ง  
  
การส่งออกข้าวไทยในหลายตลาดลดลงอย่างต่อเนื่อง ดูได้จากสถานการณ์การส่งอกของข้าวไทยไปยังประเทศเพื่อนบ้านอย่าง ประเทศมาเลเซีย การส่งออกของข้าวไทยข้อมูลใน  2 เดือนแรก (ม.ค.-ก.พ.) ปี 64 อินเดีย ขึ้นเป็นอันดับ 1 ที่ 72,203 รองลงมาคือ ปากีสถาน 19,575 ตัน, เวียดนาม 13,978 ตัน, เมียนมา 10,899 ตัน ส่วนไทยยังคงอยู่อันดับ 5 ที่ 6,059 ตัน ขณะที่ฟิลิปปินส์ ในช่วง 4 เดือน (ม.ค.-เม.ย.) 64 ไทยส่งออกข้าวได้ 1.46 ล้านตัน ลดลง 31%จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ส่งออกได้ 2.11 ล้านตัน มูลค่า 28,190 ล้านบาท ลดลง 34.5%จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีมูลค่า 43,079 ล้านบาท  เป็นต้น นอกจากนี้การส่งออกข้าวไทยไปยังตลาดหลักของไทยก็ยังลดลงต่อเนื่องทั้งตลาดสหรัฐ แอฟริกาใต้  ญี่ปุ่น เป็นต้น        
  
ปี 64  กระทรวงพาณิชย์จับมือกับสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทยวางแผนผลักดันการส่งออกข้าวไทยใน 3 ตลาดหลักคือ 1.ตลาดพรีเมียม ที่จะส่งออกข้าวหอมมะลิ ที่ต้องเป็นขยายตัว 4.8% เมื่อเทียบกับปีก่อน ข้าวหอม 5.2%  2.ตลาดทั่วไป เน้นข้าวขาว ขยายตัว 4.7% ข้าวนึ่ง  4.9% และ3. ตลาดเฉพาะ เน้นข้าวเหนียวขยายตัว  3.6% ส่วนข้าวกล้องและข้าวสี 12.5%   เร่งรัดการเปิดตลาดการซื้อขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐหรือจีทูจี
 
ล่าสุดนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พาณิชย์ เปิดเผยว่า ขณะนี้ กรมการค้าต่างประเทศ สามารถเจรจาขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) ให้กับรัฐบาลจีนได้เพิ่มอีก 20,000 ตัน เป็นชนิดข้าวขาว 5% ภายใต้สัญญาการซื้อข้าวจีทูจีของ 2 ประเทศรวม 1 ล้านตัน ซึ่งไทยจะส่งมอบให้เร็วๆ นี้ โดยหลังจากนี้แล้ว ไทยจะพยายามเจรจาขายให้กับจีนให้ครบสัญญาโดยเร็ว
  
รวมทั้งจะเดินหน้าเจรจาขายข้าวจีทูจี ภายใต้เอ็มโอยู ที่ไทยได้ลงนามกับบังกลาเทศ  และอินโดนีเซีย โดยมีกรอบเอ็มโอยูซื้อข้าวจากไทยปีละ 1 ล้านตัน เพื่อให้การส่งออกข้าวไทยในปีนี้ เป็นไปได้ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้  6 ล้านตัน 
 
ปัญหาของการส่งออกข้าวไทยยังคงเป็นปัญหาเดิมที่มีอย่างต่อเนื่องในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา สาเหตุสำคัญยังเป็นเรื่องเดิมๆคือ ราคาข้าวไทยสูงกว่าคู่แข่งสำคัญมาก ทั้งเวียดนาม อินเดีย ปากีสถาน รวมถึงจีน ปัญหาค่าเงินบาทแข็ง  พันธุ์ข้าวไทยไม่ตอบสนองความต้องการของ  ล่าสุดยังมีปัญหาเรื่องของค่าระวางเรือที่ปรับตัวสูงขึ้นส่งผลต่อต้นทุนการส่งออกของข้าวไทย ข้าวไทยที่เคยครองอันดับ 1 ในตลาดโลกด้วยคุณภาพและมาตรฐาน จึงถูกคู่แข่งจากเวียดนามและอินเดีย แย่งส่วนแบ่งการตลาดไป ไม่เพียงเท่านี้ตลาดจีนที่เป็นตลาดส่งออกของไทยก็เปลี่ยนเป็นผู้ส่งออกเป็นคู่แข่งของไทยอีกประเทศหนึ่ง
 
ช่วงเวลาอีก 6 เดือนที่ยอดการส่งออกต้องได้ 4 ล้านตัน  เพื่อให้ได้ตามเป้าการส่งออกที่ 6 ล้านตัน ซึ่งส่งออกข้าวไทยยังต้องลุ้นกันเหนื่อยหนักแน่นอน
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่