วันนี้มาเล่าจ้า ดราม่าเบาๆก่อนยื่นจดทะเบียนสมรสข้ามประเทศกับแฟนญี่ปุ่น

สวัสดีค่ะ ทุกคน

ห่างหายกันไปนานกับการเล่าเรื่องราวต่างๆของเรา วันนี้เราอยากมาแชร์ประสบการณ์หรือจะเรียกได้ว่าเรื่องดราม่าเล็กๆน้อยๆที่เกิดขึ้นระหว่างทำเรื่องจดทะเบียนสมรสกับแฟนชาวญี่ปุ่นค่ะ
ย้อนความเดิมสักนิดนึงละกันฮ่าๆๆ แฟนเราเป็นหนุ่มหน้ามนคนใจดีจากแดนอาทิตย์อุทัย เราคบกันได้ปีนี้ก็เข้าปีที่สามแล้วค่ะ 
ปีแรกที่คบกันคือบินไปมาหาสู่กันรวมถึงบินไปเที่ยวอีกประเทศด้วยกันสนุกสนานเลยค่ะ
พอเข้าปีที่สองก็เจอโควิดไปเต็มๆเลยทีเดียว ก่อนประเทศของแต่ละคนจะปิดในช่วงต้นปี 2020 เราได้เจอกันและเราก็ตัดสินขอผู้ชายแต่งงานค่ะ
เวลาผ่านล่วงเลยมานึงปีเต็มจนถึงช่วงต้นปี 2021 จากที่จะรอได้เจอกันก่อน เราทั้งสองก็เห็นพ้องต้องกันว่า เอ้อ จดทะเบียนสมรสกันข้ามประเทศไปเลยดีกว่า เรายื่นจดทะเบียนสมรสที่ญี่ปุ่นก่อน
(การจดทะเบียนสมรสที่ญี่ปุ่นใครไปยื่นเรื่องก็ได้จ้า) เราก็เตรียมเอกสารจากฝั่งเราและส่งไปเรียบร้อยตั้งแต่ช่วงต้นเดือนพฤษภา
ด้วยความที่แฟนก็เพิ่งตัดสินใจลาออกจากงานประจำงานแรกที่ทำมา 5 ปีเต็มตั้งแต่เรียนจบพร้อมทั้งยังหาจังหวะคุยกับที่บ้านไม่ได้(แฟนเราเพิ่งบอกพ่อกับแม่ไปว่ามีแฟนเป็นคนไทยและคบกันมาได้เข้าปีที่สามแล้วเมื่อช่วงเดือนกุมภา)

จนเข้าต้นเดือนมิถุนาที่ผ่านมา แฟนก็นั่งคุยกับพ่อและแม่เนื่องจากต้องการพยานสองคนเซ็นลงในคำร้องยื่นจดทะเบียนสมรสซึ่งพยานนั้นจะเป็นใครก็ได้ ขอแค่มีสัญชาติญี่ปุ่น ดราม่าจึงบังเกิดจากตอนนี้แหละจ้าฮ่าๆๆ
หลังจากคุยเสร็จ พร้อมทั้งแฟนเราเองนั้นก็นำเสนอโปรไฟล์ของเราเต็มที่ว่าเราเป็นใครมาจากไหน เจอกันได้ยังไง เรียนจบอะไรมา ทำงานอะไรที่ไหน สื่อสารกันยังไง(เราใช้ภาษาอังกฤษสื่อสารกันเป็นหลักเพราะเป็นภาษาเดียวที่พูดได้คล่องตรงกัน)
ซึ่งที่ผ่านมาไม่มีปัญหาเรื่องภาษาเลย หลังจากพ่อแฟนฟังจบ พ่อก็ปิดท้ายการขายงาน(เรา)ของแฟนเราว่า ชีวิตการแต่งงานสำหรับคนที่มาจากที่เดียวกัน ใช้ภาษาเดียวกัน มันก็ยากและปัญหาก็เยอะพอแล้ว
แต่งกับคนที่มาคนละที่คนละวัฒนธรรม มันจะเพิ่มปัญหาเข้าไปอีก พยานที่จะเซ็นอ่ะ ใครเซ็นให้ก็ได้ ถ้าจะแต่งงานกับคนๆนี้ต่อก็ได้ แต่พ่อจะตัดความสัมพันธ์ (แฟนเราใช้คำว่า cut a tide ไม่อยากแปลว่าตัดพ่อตัดลูก มันสะเทือนใจเรางือ)

หลังจากแฟนเล่าให้เราฟังจนจบ เราก็ถามแฟนต่อว่าแล้วจะเอายังไงกันดี คืนนั้นเป็นคืนแรกที่ได้ยินเสียงซู๊ดน้ำมูกของแฟนตั้งแต่รู้จักกันมา เราก็ต่างคนต่างปลอบกันและกัน และฮึบขึ้นสู้ฮ่าๆๆ แฟนเราไม่เลิกและจะเดินหน้าเรื่องจดทะเบียนต่อ
ส่วนพยานก็จะส่งไปให้บริษัทที่รับเซ็นพยานเซ็นให้และจ่ายเงินไป เราบอกแฟนแค่ว่าเราเคารพทุกการตัดสินใจและแฟนตัดสินใจที่จะเลิก แน่นอนว่าเราจะเสียใจมากกกกกกกกกกกกกและคงสาปแช่งไปสักพักนึงฮ่าๆๆ
แฟนบอกว่าไม่เลิกเพราะเข้าใจความเป็นห่วงของพ่อ แต่การที่ไม่เชื่อพ่อแล้วพ่อจะเทมันไม่สมเหตุสมผล ซึ่งเราโครตเห็นด้วยนั่นแหละ ขนาดเราเป็นลูกสาวคนเดียวที่ต้องย้ายไปตั้งครอบครัวเองห่างไกลจากครอบครัวตัวเองที่ไทย
พ่อและแม่ก็ยังสนับสนุนความสุขและเคารพการตัดสินใจของลูก

ในมุมมองของเรานั้นเราเข้าใจดีมากๆเลยค่ะว่าสิ่งที่พ่อคิดนั้นมันมาจากความเป็นห่วง แต่ก็รู้สึกดีในคราวเดียวกันที่แฟนตัดสินใจเลือกชีวิตด้วยตัวเอง ส่วนฝั่งที่บ้านเราพอรู้เรื่องนี้ พ่อเราแค่พูดยิ้มๆว่า สมัยนี้ยังมีคนคิดแบบนี้อยู่อีกเหรอ
ส่วนแม่นั้นก็ออกเสียง โอ้โห เบาๆ คงนึกว่าดูละครอยู่ ฮ่าๆๆ ฝั่งแฟนเรานั้น ตอนนี้ก็ย้ายออกมาอยู่ข้างนอกเรียบร้อยแล้วค่ะ ตอนช่วงเริ่มต้นคบกับแฟนใหม่ๆเราก็ศึกษาเรื่องราวของคนญี่ปุ่นและวัฒนธรรมโดยเฉพาะความคิดเกี่ยวกับชาวต่างชาติมาพอสมควร
และก็มีสังหรณ์ใจในตอนเริ่มว่ามันจะเจอกับตัวไหมนะ และก็เจอจริงๆฮ่าๆๆ เราเลยเขียนเรื่องนี้มาเล่าให้ฟังกันค่ะ เผื่อว่าจะมีสาวๆที่กำลังคบกับหนุ่มญี่ปุ่นโดยเฉพาะในวัย 25-30 ปี ที่ไม่คิดว่าจะเจอเรื่องราวแนวนี้แล้ว อันนี้แล้วแต่ครอบครัวจริงๆค่ะ
เราถามแฟนตั้งแต่เริ่มคบเลยว่าที่บ้านโอเคกับการมีแฟนต่างชาติใช่ไหม ซึ่งแฟนเราก็ไม่คิดว่าที่บ้านจะมีปัญหาเหมือนกัน ณ ตอนนั้น ตอนที่บอกว่าเป็นแฟน พ่อก็ไม่ได้รีแอคชั่นใดๆ
แต่พอบอกว่าจะแต่งงานพ่อกับจะมาเทซะงั้น อันนี้แฟนเราซึ่งเป็นคนรุ่นใหม่มากๆก็มองว่าไร้สาระไปเลย

วันรุ่งขึ้นพ่อของแฟนเราก็ถามแฟนเราเองเลยว่าตัดสินใจได้หรือยัง จะแต่งต่อไหม ซึ่งแน่นอนแฟนเราตอบว่าก็จะจดทะเบียนสมรสต่อกับคนนี้แหละ พ่อจึงปิดจ๊อบด้วยการพูดว่า งั้นก็หาที่อยู่และย้ายออกไปซะนะ
ส่วนแม่ของแฟนก็คือน่ารักมากกกกกกกกกกกกกกกกก อบอุ่นมากกกกกกก บอกกับแฟนแค่ว่า แม่แค่อยากให้ลูกมีความสุข ตอนแฟนเล่าให้ฟังเรานี่แบบ โหหหหหหหหหหหหห แม่รับมงไปเลย
เราก็ถามแฟนอีกครั้งว่าแน่ใจใช่ไหม แฟนก็ยืนยันพร้อมบอกว่าไม่ได้สนิทกับพ่อตั้งแต่เด็กอยู่แล้ว อยู่บ้านเดียวกันก็แทบไม่ได้คุยกัน เราเลยแซวๆว่าถ้าพ่อตัดออกจากกองมรดกทำไงอ่ะ แบบพ่ออาจจะมีเงินก้อนให้ตั้งตัวถ้าแต่งกับคนญี่ปุ่นงี้
แฟนเราเบะปากเล็กน้อยพร้อมพูดว่า ไม่เคยได้ยินเรื่องพวกนี้จากปากพ่อเลยและก็ไม่เคยความหวังว่าจะได้อะไรด้วย

หลังจากที่แฟนเราดองเอกสารเรามาหนึ่งเดือนเต็ม ก็ได้ฤกษ์ยื่นเอกสารที่อำเภอในญี่ปุ่นเมื่อช่วงต้นเดือนมิถุนาที่ผ่านมา และตอนนี้การจดทะเบียนสมรสที่ญี่ปุ่นของเราก็เสร็จแล้วจ้า หลังจากนั้นก็ได้แค่รอรับเอกสารกลับมา
เพื่อมาอัพเดทสถานภาพการสมรสของเราที่ไทย

สุดท้ายนี้ ในมุมมองของเรานั้นเราเข้าใจดีมากๆเลยค่ะว่าสิ่งที่พ่อคิดนั้นมันมาจากความเป็นห่วง แต่ก็รู้สึกดีในคราวเดียวกันที่แฟนตัดสินใจเลือกชีวิตด้วยตัวเอง ส่วนฝั่งที่บ้านเราพอรู้เรื่องนี้ พ่อเราแค่พูดยิ้มๆว่า สมัยนี้ยังมีคนคิดแบบนี้อยู่อีกเหรอ
ส่วนแม่นั้นก็ออกเสียง โอ้โห เบาๆ คงนึกว่าดูละครอยู่ ฮ่าๆๆ ฝั่งแฟนเรานั้น ตอนนี้ก็ย้ายออกมาอยู่ข้างนอกเรียบร้อยแล้วค่ะ หวังเรื่องนี้จะเป็นเรื่องราวจากประสบการณ์จริงที่ให้ข้อมูลเล็กๆน้อยกับคนอ่านได้บ้างนะคะ โดยเฉพาะสาวๆที่กำลังเดทกับหนุ่มญี่ปุ่น
แม้ว่าปัจจุบันความคิดเกี่ยวกับการแบ่งแยก คนนอก คนใน ของประเทศญี่ปุ่นจะน้อยลงไปเยอะมากแล้ว แต่ก็ยังไม่หมดไปซะทีเดียวค่ะ ซึ่งเราก็คิดว่าน่าจะค่อยๆน้อยลงเรื่อยๆ เพราะชาวต่างชาติในญี่ปุ่นเยอะมากๆในปัจจุบัน และประเทศญี่ปุ่นเองก็ต้องการแรงงาน
หนุ่มสาวเข้ามาในประเทศเพื่อมาทำงานและจ่ายภาษีพัฒนาประเทศต่อไป เพราะคนในประเทศมีลูกกันน้อยลงเนื่องจากสังคมการทำงานที่ตรึงเครียดและไม่เอื้ออำนวย ซึ่งตอนนี้เราก็ดีใจค่ะที่มันค่อยๆเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นเรื่อยๆ ค่อยๆเปิดทีละน้อยๆ

ยังไงก็ขอเป็นกำลังใจให้ทุกๆคนไม่ว่าจะทำอะไรอยู่ที่ไหนนะคะ ขอบคุณที่แวะเข้ามาอ่านกันจนจบค่ะ
สุดท้ายของสุดท้าย ฝากเพจกับช่องยูทูปเปิดไพ่ยิปซีและเรื่องราวต่างๆของเราด้วยนะคะ 
Facebok: https://www.facebook.com/khimkotomi
Youtube: https://www.youtube.com/c/KHimKHim
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่