ซาบะห์-ซาราวะก์ เชื่อว่าถ้าใครติดตามกระทู้ของผมมาตลอด เชื่อว่าน่าจะได้รู้เรื่องราวของทั้ง 2 รัฐที่อยู่คนละฟากกับทางมาเลเซียฝั่งตะวันตกกันแล้ว
ทั้ง 2 รัฐ แทบไม่มีความผูกพันใดๆ แต่เดิมกับฝั่งมาเลเซียตะวันตก นอกเสียจากว่าต่างเคยเป็นอาณานิคมของอังกฤษเหมือนกันในช่วงระยะเวลาหนึ่ง
ซาราวะก์ เดิมเป็นราชอาณาจักรอิสระ ปกครองโดย James Brooke ชาวเมืองเรียกว่า รายาคนขาว เดิมเป็นดินแดนของบรูไนก่อนที่จะได้ขยายเพิ่มเติม
ซาบะห์ เป็นดินแดนของอาณาจักรซูลูซึ่งศูนย์กลางอยู่ในฟิลิปปินส์ปัจจุบัน ดินแดนนี้ยังเป็นกรณีพิพาทอยู่เนื่องจากความหมายกำกวมของสนธิสัญญา
ภายหลังรายาซาราวะก์ได้ยกดินแดนให้กับอังกฤษจนกลายเป็นอาณานิคมโดยสมบูรณ์ และทั้ง 2 รัฐก็ถูกยกให้เป็นส่วนหนึ่งของมาเลเซียถึงปัจจุบัน
มีตลกร้ายเกี่ยวกับตอนที่ซาราวะก์ถูกยกให้เป็นอาณานิคมของอังกฤษ เพราะหลังจากมีการยกดินแดนให้ไม่นาน ก็มีกลุ่มชนพื้นเมืองประท้วงต่อต้าน
เรื่องตลกร้ายดังกล่าวก็คือ ชนพื้นเมืองต่อต้านการยกดินแดนซาราวะก์ให้กับอังกฤษ และยังนิยม Anthony Brooke ซึ่งเป็นรายาคนขาวคนสุดท้าย
แต่ทว่า Anthony Brooke นั้น ทั้งโดยนิตินัยและพฤตินัยคือยังเป็นคนอังกฤษที่ยังอยู่ใต้ธง Union Jack (จริงๆ คือทุกคนตั้งแต่ James Brooke)
ถึงกระนั้น ชนพื้นเมืองก็ยังนิยมในตัวตระกูล Brooke เพราะเป็นผู้นำที่ปกครองซาราวะก์มาร้อยกว่าปี เรียกได้ว่าเกิดและโตมากับรายาต่างชาติก็ได้
ความพยายามต่อต้านของชนพื้นเมือง ถึงขั้นว่ามีการลอบสังหารผู้สำเร็จราชการที่มาปกครองซาราวะก์กันเลยทีเดียวและสุดท้ายก็ถูกปราบปรามไป
ส่วนซาบะห์ ตลกร้ายกว่านั้น แต่เป็นเรื่องที่ประชากรของรัฐส่วนใหญ่นั้นเป็นชาวมุสลิม แต่ทว่าพวกเขาไม่ใช่คนมลายู และไม่ใช่คนมาเลเซียด้วยซ้ำ
ประชากรส่วนใหญ่ อพยพมาจากฟิลิปปินส์ หนีการสู้รบและความขัดแย้ง ส่วนใหญ่เป็นชาวซูลุ (เตาซุก) และชาวโมโร (ชื่อเรียกมุสลิมในฟิลิปปินส์)
แต่เดิม ช่วงทศวรรษ 1960 สัดส่วนผู้นับถือศาสนาอิสลามมีอยู่แค่ 37.9% ขณะที่ผู้นับถือลัทธิพื้นเมืองมีอยู่ประมาณ 33.3% มากกว่าแค่เพียง 4.6%
แต่หลังจากการอพยพเข้ามาเนื่องจากการสู้รบของกลุ่มแบ่งแยกดินแดน ทำให้ปัจจุบันมีผู้อพยพเข้ามาจนทำให้จำนวนของมุสลิมเพิ่มขึ้นโดยชัดเจน
ทั้งนี้ นอกจากชาวฟิลิปปินส์แล้ว ยังมีชาวอินโดนีเซียจากทางตอนใต้ของรัฐได้อพยพเข้ามาอยู่ทั้งในรัฐซาบะห์และในรัฐซาราวะก์อีกเป็นจำนวนมาก
เดือนเมษายน 2019 (2562) รัฐสภาระดับสหพันธ์ของมาเลเซีย มีการประชุมกันเรื่องการฟิ้นฟูสถานะของทั้ง 2 รัฐให้เป็นไปได้ตามข้อตกลงปี 1963
ยกตัวอย่างเช่น การศึกษาที่จะให้ทั้ง 2 รัฐมีเสรีภาพในการร่างนโยบายทางการศึกษาได้ แต่ปัจจุบันกลับใช้มาตรฐานเช่นเดียวกับทางฝั่งตะวันตก
การตรวจคนเข้าเมืองที่ควรจะต้องเข้มงวด แต่กลับมีการหละหลวมและอำนาจอยู่กับรัฐบาลกลางมากกว่า รวมไปถึงภาษา กฎหมาย ศาสนา และอื่นๆ
อย่างไรก็ตาม ความพยายามที่จะคืนสถานะของทั้ง 2 รัฐ ถูกตีตกไปพร้อมทั้งเสียงคัดค้านจากทั้งอัมโนและพรรค PAS ซึ่งเป็นฝ่ายค้านในช่วงเวลานั้น
หลังจากที่มหาธีร์ลาออกจากตำแหน่งพร้อมทั้งการเสียชีวิตของลิววุ่ยเก็ง ตัวตั้งตัวตีการแก้ไขสถานะ ทำให้ทั้ง 2 รัฐหมดโอกาสคืนสถานะไปในที่สุด
แม้ว่าสถานะนั้นจะคล้ายคลึงกับปากีสถานตะวันออก (ปัจจุบันคือบังกลาเทศ) แต่ด้วยหลายๆ ปัจจัย ทำให้ฝั่งตะวันออกยังอยู่กับรัฐบาลกัวลาลัมเปอร์
ปัจจัยแรกก็คือ มาเลเซียฝั่งตะวันออก ไม่ได้รวมเป็นหนึ่งเดียวเหมือนปากีสถานตะวันออก แต่แยกเป็น 2 รัฐ ทำให้รวมตัวกันต่อต้านได้ค่อนข้างยาก
ปัจจัยที่สองก็คือ มาเลเซียไม่เคยมีระบอบการปกครองเผด็จการทหารและไม่มีปัญหากระทบมากเหมือนกับปากีสถาน ทำให้มีการกระทบกระทั่งน้อย
ปัจจัยสุดท้ายก็คือ ไม่มีการหนุนหลังจากเพื่อนบ้านโดยเฉพาะอินโดนีเซีย (แม้จะเคยมีในช่วงการเผชิญหน้าหรือ Konfrontasi แต่ก็ทำไม่สำเร็จ)
ทั้งนี้ ยังไม่รวมปัจจัยเล็กๆ น้อยๆ เช่นการให้สิทธิให้เสียงแก่ สส จากฝั่งตะวันออก รวมไปถึงเสรีภาพทางวัฒนธรรม ศาสนา แม้จะยังมีไม่มากก็ตาม
อดีต ปัจจุบัน และอนาคตของ ซาบะห์-ซาราวะก์
ทั้ง 2 รัฐ แทบไม่มีความผูกพันใดๆ แต่เดิมกับฝั่งมาเลเซียตะวันตก นอกเสียจากว่าต่างเคยเป็นอาณานิคมของอังกฤษเหมือนกันในช่วงระยะเวลาหนึ่ง
ซาราวะก์ เดิมเป็นราชอาณาจักรอิสระ ปกครองโดย James Brooke ชาวเมืองเรียกว่า รายาคนขาว เดิมเป็นดินแดนของบรูไนก่อนที่จะได้ขยายเพิ่มเติม
ซาบะห์ เป็นดินแดนของอาณาจักรซูลูซึ่งศูนย์กลางอยู่ในฟิลิปปินส์ปัจจุบัน ดินแดนนี้ยังเป็นกรณีพิพาทอยู่เนื่องจากความหมายกำกวมของสนธิสัญญา
ภายหลังรายาซาราวะก์ได้ยกดินแดนให้กับอังกฤษจนกลายเป็นอาณานิคมโดยสมบูรณ์ และทั้ง 2 รัฐก็ถูกยกให้เป็นส่วนหนึ่งของมาเลเซียถึงปัจจุบัน
มีตลกร้ายเกี่ยวกับตอนที่ซาราวะก์ถูกยกให้เป็นอาณานิคมของอังกฤษ เพราะหลังจากมีการยกดินแดนให้ไม่นาน ก็มีกลุ่มชนพื้นเมืองประท้วงต่อต้าน
เรื่องตลกร้ายดังกล่าวก็คือ ชนพื้นเมืองต่อต้านการยกดินแดนซาราวะก์ให้กับอังกฤษ และยังนิยม Anthony Brooke ซึ่งเป็นรายาคนขาวคนสุดท้าย
แต่ทว่า Anthony Brooke นั้น ทั้งโดยนิตินัยและพฤตินัยคือยังเป็นคนอังกฤษที่ยังอยู่ใต้ธง Union Jack (จริงๆ คือทุกคนตั้งแต่ James Brooke)
ถึงกระนั้น ชนพื้นเมืองก็ยังนิยมในตัวตระกูล Brooke เพราะเป็นผู้นำที่ปกครองซาราวะก์มาร้อยกว่าปี เรียกได้ว่าเกิดและโตมากับรายาต่างชาติก็ได้
ความพยายามต่อต้านของชนพื้นเมือง ถึงขั้นว่ามีการลอบสังหารผู้สำเร็จราชการที่มาปกครองซาราวะก์กันเลยทีเดียวและสุดท้ายก็ถูกปราบปรามไป
ส่วนซาบะห์ ตลกร้ายกว่านั้น แต่เป็นเรื่องที่ประชากรของรัฐส่วนใหญ่นั้นเป็นชาวมุสลิม แต่ทว่าพวกเขาไม่ใช่คนมลายู และไม่ใช่คนมาเลเซียด้วยซ้ำ
ประชากรส่วนใหญ่ อพยพมาจากฟิลิปปินส์ หนีการสู้รบและความขัดแย้ง ส่วนใหญ่เป็นชาวซูลุ (เตาซุก) และชาวโมโร (ชื่อเรียกมุสลิมในฟิลิปปินส์)
แต่เดิม ช่วงทศวรรษ 1960 สัดส่วนผู้นับถือศาสนาอิสลามมีอยู่แค่ 37.9% ขณะที่ผู้นับถือลัทธิพื้นเมืองมีอยู่ประมาณ 33.3% มากกว่าแค่เพียง 4.6%
แต่หลังจากการอพยพเข้ามาเนื่องจากการสู้รบของกลุ่มแบ่งแยกดินแดน ทำให้ปัจจุบันมีผู้อพยพเข้ามาจนทำให้จำนวนของมุสลิมเพิ่มขึ้นโดยชัดเจน
ทั้งนี้ นอกจากชาวฟิลิปปินส์แล้ว ยังมีชาวอินโดนีเซียจากทางตอนใต้ของรัฐได้อพยพเข้ามาอยู่ทั้งในรัฐซาบะห์และในรัฐซาราวะก์อีกเป็นจำนวนมาก
เดือนเมษายน 2019 (2562) รัฐสภาระดับสหพันธ์ของมาเลเซีย มีการประชุมกันเรื่องการฟิ้นฟูสถานะของทั้ง 2 รัฐให้เป็นไปได้ตามข้อตกลงปี 1963
ยกตัวอย่างเช่น การศึกษาที่จะให้ทั้ง 2 รัฐมีเสรีภาพในการร่างนโยบายทางการศึกษาได้ แต่ปัจจุบันกลับใช้มาตรฐานเช่นเดียวกับทางฝั่งตะวันตก
การตรวจคนเข้าเมืองที่ควรจะต้องเข้มงวด แต่กลับมีการหละหลวมและอำนาจอยู่กับรัฐบาลกลางมากกว่า รวมไปถึงภาษา กฎหมาย ศาสนา และอื่นๆ
อย่างไรก็ตาม ความพยายามที่จะคืนสถานะของทั้ง 2 รัฐ ถูกตีตกไปพร้อมทั้งเสียงคัดค้านจากทั้งอัมโนและพรรค PAS ซึ่งเป็นฝ่ายค้านในช่วงเวลานั้น
หลังจากที่มหาธีร์ลาออกจากตำแหน่งพร้อมทั้งการเสียชีวิตของลิววุ่ยเก็ง ตัวตั้งตัวตีการแก้ไขสถานะ ทำให้ทั้ง 2 รัฐหมดโอกาสคืนสถานะไปในที่สุด
แม้ว่าสถานะนั้นจะคล้ายคลึงกับปากีสถานตะวันออก (ปัจจุบันคือบังกลาเทศ) แต่ด้วยหลายๆ ปัจจัย ทำให้ฝั่งตะวันออกยังอยู่กับรัฐบาลกัวลาลัมเปอร์
ปัจจัยแรกก็คือ มาเลเซียฝั่งตะวันออก ไม่ได้รวมเป็นหนึ่งเดียวเหมือนปากีสถานตะวันออก แต่แยกเป็น 2 รัฐ ทำให้รวมตัวกันต่อต้านได้ค่อนข้างยาก
ปัจจัยที่สองก็คือ มาเลเซียไม่เคยมีระบอบการปกครองเผด็จการทหารและไม่มีปัญหากระทบมากเหมือนกับปากีสถาน ทำให้มีการกระทบกระทั่งน้อย
ปัจจัยสุดท้ายก็คือ ไม่มีการหนุนหลังจากเพื่อนบ้านโดยเฉพาะอินโดนีเซีย (แม้จะเคยมีในช่วงการเผชิญหน้าหรือ Konfrontasi แต่ก็ทำไม่สำเร็จ)
ทั้งนี้ ยังไม่รวมปัจจัยเล็กๆ น้อยๆ เช่นการให้สิทธิให้เสียงแก่ สส จากฝั่งตะวันออก รวมไปถึงเสรีภาพทางวัฒนธรรม ศาสนา แม้จะยังมีไม่มากก็ตาม