สวัสดีครับ ผมขอเล่าประสบการณ์ที่เคยป่วยเป็นโรค ฝีคัณฑสูตรนี้มานาน และได้รับการรักษาโดยการผ่าตัดไปแล้วหลายรอบ (ทั้งหมด 4 รอบ) ผมจึงอยากเขียน บทความนี้ ไว้เพื่อเป็น วิทยาทาน สำหรับคนที่ยังไม่รู้ว่า ตัวเองป่วยเป็น โรคอะไร หรือไม่ทราบแม้กระทั่งว่าจะรักษาอย่างไร แต่พอสังเกตุตัวเองได้ว่า อาการที่เป็นอยู่ มีลักษณะคล้ายดังนี้ ซึ่ง ทำให้เกิด ความเจ็บปวด ทรมาณ ตั้งแต่อาการน้อย ๆจนเริ่มเจ็บมากขึ้น ในช่วงระยะเวลาหลังๆ ทำให้ไปไหนมาไหนได้ลำบากและ ทวีความรุนแรงจากการปวดยิ่งขึ้น เมื่อปล่อยไว้เป็นเวลานานมาก ๆ
อาการเริ่มแรก
1. ปวด บวมบริเวณแก้มก้น หรือบริเวณขอบรูทวารหนัก (เกิดฝี ตรงจุดไหนก็ได้ แต่ใกล้บริเวณ รูทวาร)
2. เริ่มเจ็บปวดขณะขับถ่าย (เหมือนถ่ายแข็งแล้วบาดก้น)
3. มีน้ำเหลืองซึมออกมาจากรูที่ผิวหนัง (บางทีก้นอาจจะแฉะๆคัน มีหนองปน บ้าง)
4. มีกลิ่นหนองจางๆ ถึง แรง (กรณีฝีแตก)
5. มีอาการคันรอบ ๆ รูที่ผิวหนัง
6. มีการอักเสบและแดง บริเวณผิวหนังรอบ ๆ รู
อาการหลังจากเป็นมาสักระยะ
1. มีอาการบวมบริเวณทวารหนักหรือแก้มก้น และเจ็บรอบ ๆ หรือภายในรูทวารหนักตลอดเวลา
2. มีอาการคันบริเวณรอบทวารหนัก หรือบริเวณผิวหนังโดยรอบ
3. มีเลือดหรือน้ำเหลืองไหลออกมาจากทวารหนัก โดยเฉพาะ เมื่อถ่ายอุจจาระแล้วมีหนองจำนวนมาก ปนออกมาในระยะเรื้อรัง
4. มีอาการ เจ็บแปลบๆ เหมือน เข็มจิ้ม บริเวณ รูทวารหนัก เป็นระยะ ๆ เมื่อนั่งเป็นเวลานาน ๆ หากฝีไม่แตกเอง จะเริ่มปวดมากขึ้น
ผมเชื่อว่า มีหลายๆท่าน ที่ไม่เคยรู้จักโรคฝีคัณฑสูตร มาก่อน มักจะคิดว่า ตัวเอง เป็น ริดสีดวง เมื่อมีอาการเจ็บบริเวณทวารหนัก หรือ ถ่ายมีเลือดปน แต่ความจริงแล้วมีความเป็นได้ที่ท่านอาจะเป็นโรคฝีคัณฑสูตรโดยไม่รู้ตัว และหากปล่อยไปเฉยๆ โดยไม่สนใจที่จะรักษาแบบจริงจัง เพราะคิดว่าเดี่ยวก็น่าจะดีขึ้นและหายไปเอง ต้องบอกก่อนเลยว่า ท่านคิดผิด เพราะ โรคฝีคัณฑสูตรนั้น ไม่สามารถหายเองได้เหมือนริดสีดวง เพราะมีทางเข้าของเชื้อโรคจากด้านในรูทวารหนัก โดยแพทย์จะรักษาด้วยการผ่าตัด เนื่องจากช่องผ่านของเชื้อโรคอยู่ลึกและซับซ้อน แพทย์จะต้องผ่าตัดเลาะอุโมงค์ผ่านกล้ามเนื้อเข้าไป หรือตัดทางผ่านของเชื้อโรคจากรูด้านในให้ได้ (โพรงหนองที่เชื่อมต่อกันระหว่าง ผิวกับรูทวาร) ฉะนั้นหากท่านใดมีอาการดังกล่าวนี้ ควรเข้ารับการวินิจฉัยจากแพทย์เฉพาะทาง และรีบรักษาโดยเร็ว มิฉะนั้นแล้ว อาการจะยิ่งรุนแรง เพราะ โพรงหนอง จะกินลึกและยาวขึ้น เนื่องจาก มีการติดเชื้อ ที่มาจากการขับถ่ายในทุก ๆวัน จะยิ่งเร่งอัตราการอักเสบและติดเชื้อให้ทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น (หนองจะเริ่มมีให้เห็นมากขึ้น) ทำให้การรักษายากขึ้นเรื่อย ๆ เช่นกัน
การผ่าตัด ในปัจจุบัน พ.ศ. 2564
1. ผ่าตัดแบบดั้งเดิม และเย็บขอบแผล (Fitulotomy and marsupialised wound edges)
2. ผ่าตัด โดยไม่ต้องตัดหูรูด เทคนิค LIFT (Ligation of intersphincteric fistula tract) เนื่องจากฝีคัณฑสูตรเป็นเส้นที่แทรกไปตามกล้ามเนื้อหูรูด เพราะฉะนั้นการผ่าตัดวิธีดั้งเดิม ทำให้แพทย์จำเป็นต้องผ่าตัดหูรูดด้วย ซึ่งปัจจุบันแพทย์ได้พัฒนาวิธีการผ่าตัด สามารถผ่าตัดฝีคัณฑสูตร โดยไม่ต้องตัดหูรูดออก ผลการผ่าตัด ผู้ป่วยหายขาด 70 - 90% ส่วนน้อยประมาณ 10% อาจต้องผ่าตัดซ้ำ แต่ในที่สุด ฝีคัณฑสูตรจะรักษาหายทุกคน (ตามความเห็นของผมวิธีนี้ เห็นผลเร็วและโอกาสหายสูงมาก แต่ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่ประสบการณ์การผ่าตัดของแพทย์แต่ล่ะท่านด้วย)
3. ผ่าตัดโดยการตัดหูรูด และเย็บซ่อมหูรูดในครั้งเดียวกัน (FIPS) เป็นวิธีที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นในปัจจุบัน
4. ผ่าตัดเปิดระบายฝีหนองที่อยู่ภายในทวารหนัก (IAF) เป็นวิธีผ่าตัดฝีที่อยู่สูงภายในทวารหนัก
การผ่าตัดฝีคัณฑสูตรใช้เวลา
1. กรณี ผู้ป่วยที่มีฝีคัณฑสูตรขนาดเล็ก ใช้เวลาในการผ่าตัด 20 นาที
2. กรณี ผู้ป่วยเป็นฝีมีขนาดใหญ่ มีความซับซ้อนของโพรงหนอง (กินลึก) จะใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง ถึง 1 ชั่วโมงครึ่ง
ประสบการ์ณการผ่าตัด
ปี พ.ศ. 2557: ผ่าตัด ริดสีดวง มี อาการปวดมาก ๆจน ไม่สามารถนั่งได้เลย ต้อง Admit ฉุกเฉิน ที่ รพ. ศิครินทร์
ปี พ.ศ. 2558 : เดือน ตุลาคม เริ่มมีอาการ เจ็บปวดบริเวณ รูทราร มีหนองไหลออกมามาก และมีกลื่นเหม็นมาก ๆ จนผิดปกติ ซึ่งตอนนั้น กำลัง บวชพระ และเริ่มเป็น ฝีคัณฑสูตร พบว่าการถ่ายแต่ล่ะครั้ง ปวดแสบบริเวณ รูทวารมากและติดเชื้อรุนแรง จนมีหนองไหลออกมาปริมาณมาก เลอะ แฉะเต็มผ้าอนามัย (ขอใส่เป็นกรณ๊พิเศษ เนื่องจากป่วย) จนทำให้เดินแทบไม่ได้ เพราะเนื่องจากมีหนองไหลออกมาตลอดเวลา ทรมาณมากจนอยากสึก แอบร้องไห้ในห้องนํ้า เพราะเครียดมาก ๆ ไม่รู้ว่าเป็นโรคอะไร ถึงขนาดเคยคิดสั้น ในขณะครอง ผ้าเหลือง โดยตอนนั้นยังไม่ทราบว่าตัวเองป่วยเป็นโรคอะไร หลายคนทักว่าอาจเป็นกามโรค หรือเปล่า
ปี พ.ศ. 2559 : หลังจาก สึกออกมา ปลาย เดือน มกราคม ก็ได้ไปรักษากับ ศ.นพ. ชูชีพ สหกิจรุ่งเรือง (ขออนุญาติเอ่ยนาม) คุณหมอบอกว่า เป็น โรคฝีคัณฑสูตรที่ค่อนข้างติดเชื้อรุนแรง ซึ่งได้ทำการผ่าตัดครั้งแรก หลังจากผ่าเสร็จได้ประมาณ 2 เดือนแรก หนองลดลงอย่างมาก จากที่เคยเลอะเปื้อนเต็มผ้าอนามัย ลดลงมาจนเกือบเป็นปกติ แต่หลังจากเข้าเดือนที่ 3 พบว่า เกิดมี ตุ่มฝีอักเสบขึ้นมาเฉียบพลันบริเวณ ใกล้บริเวณอวัยวะเพศและขาหนีบ ทำให้เกิดความเจ็บปวดแสนสาหัส ขณะเคลื่อนไหว จึงต้องทำการ Admit ฉุกเฉิน เพื่อเจาะระบายหนองออก ในเบื้องต้น (ฝีไม่ยอมแตกเอง ทำให้ปวดมากๆ) ซึ่งได้ทำการผ่าตัดฝีคัณฑสูตรเป็นครั้งที่ 2 ที่ โรงพยาบาล จุฬาลงกรณ์ (เดือน พฤษภาคม) หลังจากนั้น ประมาณ เกือบ 4 เดือน (กันยายน) พบว่า ฝีที่เคยเจาะระบาย หนองออก (ผ่ารอบที่ 2) ใกล้บริเวณ อวัยวะเพศ เกิดบวม อักเสบ ขึ้นมาอีกรอบ จนฝีแตกเอง (เจ็บเกินบรรยาย) ก็เลยไปพบ คุณ หมอ ชูชีพ อีกครั้ง เพื่อดูอาการ คุณหมอบอกว่า คงต้องผ่าอีกรอบ (รอบที่ 3) หลังจากผ่าตัด เสร็จ ผ่าตัดประมาณ 1 ชั่วโมงกว่าๆ คุณหมอบอกว่า มีโรคลำไส้เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยทำให้ก้นแฉะ อยู่ตลอดเวลา แต่ สาเหตุที่ มันอักเสบขึ้นมา เนื่องมาจาก มีแผลเปิดบริเวณหูรูด โดยได้ทำการรักษา บริเวณจุดนั้นไปแล้ว คาดว่าน่าจะหายขาด
ปี พ.ศ. 2564 : หลังจากที่หายจากโรคนี้ไปประมาณ 5 ปีกว่าๆ ประมาณ เดือน พฤษภาคม พบว่ามีอาการ ปวด บริเวณ ทวารหนัก คล้ายฝี คัณฑสูตร แต่อาการไม่หนักเหมือน 5 ปีก่อน มีอาการเริ่มต้น แต่เหมือนจะไม่ใช้ จุดเดิมที่เคยเป็น แต่เป็น บริเวณใหม่ คนล่ะจุด ปวดเป็นฝี แต่คราวนี้ฝีแตกเอง เลยไม่ค่อยเจ็บ มีกลิ่นหนองจางๆ ปวดเป็นระยะ ๆ เลยไม่นิ่งนอนใจ ไปหา ศ.กิตติคุณ.นพ.อรุณ ท่านตรวจแล้ว บอกว่า เป็นฝี คัณฑสูตรแต่เป็นคนล่ะจุด (ด้านหลัง) แผลเก่า เมื่อ 5 ปีก่อน หายแล้ว (ด้านหน้า) คราวนี้เป็น ฝีจุดใหม่ และยังบอกว่า เหมือนถูก ล็อตตารี่ 2 รอบ โอกาสที่คนเราเป็น ฝีคัณฑสูตรได้ในแต่ล่ะครั้งก็ถือว่ายากแล้ว การที่เป็นถึง 2 ครั้ง ในจุดที่แตกต่าง ถือว่าค่อนข้างยากมาก ๆ ผมเลยไปทำการผ่า ที่ รพ. บางประกอก 9 (ครั้งที่ 4) หลังจากผ่าเสร็จ อาการบาดเจ็บหลังผ่าตัดไม่หนัก เท่า 5 ปีก่อน ทั้ง ๆที่โพรงหนองก็ค่อนข้างยาว ซึ่งหมอบอกคำเดียวว่า ยังไงก็ต้องผ่าเอาออกอย่างเดียว ถึงจะมีสิทธิ์หายขาด (เนื่องจาก เราพอมีประสบการณ์มาบ้างแล้ว เลยสังเกตุอาการตัวได้ก่อนมันจะเริ่มกินลึกไปมากกว่านี้) เลย คิดว่าน่าจะจบ ภายในครั้งเดียว
สุดท้ายนี้ ผมขอพูดได้เลยว่า ไม่จะไปกินยาแผนโบราณ หรือ แผนปัจจุบัน หากเป็นฝีคัณฑสูครที่มีอาการมานานแล้ว เห็นสมควรอย่างยิ่งที่จะเข้ารักษาด้วยวิธีการผ่าตัด โดยไม่จำเป็นต้องลองรักษาด้วยวิธีอื่น ทำให้เสียค่าใช้จ่ายหมดในระยะยาวและเห็นผลค่อนข้างช้า แต่ให้ใช้วิธีการผ่าตัด ซึ่งมักจะใช้เวลาในการผ่าไม่นานมาก ก็จะช่วย คลายความเจ็บทรมาณจากโรคนี้จนหายขาดได้ ในระยะเวลาไม่นาน (ประมาณ 1-2 เดือน หลังการผ่าตัด แล้วแต่กรณี) โดยไม่ต้องเสียเวลาไป ลองผิดลองถูกกับวิธีอื่น ขอให้ท่านที่ป่วย พิจารณาอาการของตัวเองว่าหนักแค่ไหน ผมเข้าใจว่า การผ่าตัดแต่ล่ะครั้งใช้เงินสูง แต่หากท่านไม่ผ่าในเร็ววัน อาการของท่านจะยิ่งเจ็บขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่ดุลพินิจของแต่ล่ะท่าน ที่จะรักษาโรคนี้ แต่ทั้งนี้ ต้องบอกไว้ก่อนเลยว่า โรคนี้ สามารถกลับมาเป็นอีกได้เสมอและไม่มีสาเหตุที่ชัดเจน โดยการผ่าตัดแต่ล่ะครั้ง จะต้องทำการผ่า เพื่อเลาะ เอาโพรงหนองออกให้หมด โดยไม่ให้เหลือรากทิ้งเอาไว้ เพราะจะทำให้กลับมาปะทุได้อีก แต่ถ้าท่านใดต้องการกินยา แผนโบราณหรือสมุนไพร เพื่อที่จะรักษาควบคู่กันไป ก็แล้วแต่เหตุผลอันสมควรของแต่บุคคลเลยครับ ทั้งนี้ พยายามอย่าเครียด กินอาหารที่มีประโยชน์ ดื่มนํ้า เยอะๆ อย่าให้ท้องผูกบ่อยๆ และสำหรับที่สุด อย่านิ่งนอนใจ พยายามสังเกตุตัวเอง หากมีเริ่มมีอาการ สำหรับ ท่านใดที่เคยผ่าตัดหลายครั้งแล้วยังไม่หายขาด ก็ลองปรึกษากับแพทย์ ที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง จะดีกว่าครับ ทั้งนี้ ขอให้หายขาดจากโรคนี้ทุกท่าน นะครับ
Thananchai W.
โรคฝีคัณฑสูตร (Anal Fistula ) ขอแชร์ประกบการณ์ การเจ็บป่วยเกี่ยวกับโรคนี้ ควรทำอย่างไร
อาการเริ่มแรก
1. ปวด บวมบริเวณแก้มก้น หรือบริเวณขอบรูทวารหนัก (เกิดฝี ตรงจุดไหนก็ได้ แต่ใกล้บริเวณ รูทวาร)
2. เริ่มเจ็บปวดขณะขับถ่าย (เหมือนถ่ายแข็งแล้วบาดก้น)
3. มีน้ำเหลืองซึมออกมาจากรูที่ผิวหนัง (บางทีก้นอาจจะแฉะๆคัน มีหนองปน บ้าง)
4. มีกลิ่นหนองจางๆ ถึง แรง (กรณีฝีแตก)
5. มีอาการคันรอบ ๆ รูที่ผิวหนัง
6. มีการอักเสบและแดง บริเวณผิวหนังรอบ ๆ รู
อาการหลังจากเป็นมาสักระยะ
1. มีอาการบวมบริเวณทวารหนักหรือแก้มก้น และเจ็บรอบ ๆ หรือภายในรูทวารหนักตลอดเวลา
2. มีอาการคันบริเวณรอบทวารหนัก หรือบริเวณผิวหนังโดยรอบ
3. มีเลือดหรือน้ำเหลืองไหลออกมาจากทวารหนัก โดยเฉพาะ เมื่อถ่ายอุจจาระแล้วมีหนองจำนวนมาก ปนออกมาในระยะเรื้อรัง
4. มีอาการ เจ็บแปลบๆ เหมือน เข็มจิ้ม บริเวณ รูทวารหนัก เป็นระยะ ๆ เมื่อนั่งเป็นเวลานาน ๆ หากฝีไม่แตกเอง จะเริ่มปวดมากขึ้น
ผมเชื่อว่า มีหลายๆท่าน ที่ไม่เคยรู้จักโรคฝีคัณฑสูตร มาก่อน มักจะคิดว่า ตัวเอง เป็น ริดสีดวง เมื่อมีอาการเจ็บบริเวณทวารหนัก หรือ ถ่ายมีเลือดปน แต่ความจริงแล้วมีความเป็นได้ที่ท่านอาจะเป็นโรคฝีคัณฑสูตรโดยไม่รู้ตัว และหากปล่อยไปเฉยๆ โดยไม่สนใจที่จะรักษาแบบจริงจัง เพราะคิดว่าเดี่ยวก็น่าจะดีขึ้นและหายไปเอง ต้องบอกก่อนเลยว่า ท่านคิดผิด เพราะ โรคฝีคัณฑสูตรนั้น ไม่สามารถหายเองได้เหมือนริดสีดวง เพราะมีทางเข้าของเชื้อโรคจากด้านในรูทวารหนัก โดยแพทย์จะรักษาด้วยการผ่าตัด เนื่องจากช่องผ่านของเชื้อโรคอยู่ลึกและซับซ้อน แพทย์จะต้องผ่าตัดเลาะอุโมงค์ผ่านกล้ามเนื้อเข้าไป หรือตัดทางผ่านของเชื้อโรคจากรูด้านในให้ได้ (โพรงหนองที่เชื่อมต่อกันระหว่าง ผิวกับรูทวาร) ฉะนั้นหากท่านใดมีอาการดังกล่าวนี้ ควรเข้ารับการวินิจฉัยจากแพทย์เฉพาะทาง และรีบรักษาโดยเร็ว มิฉะนั้นแล้ว อาการจะยิ่งรุนแรง เพราะ โพรงหนอง จะกินลึกและยาวขึ้น เนื่องจาก มีการติดเชื้อ ที่มาจากการขับถ่ายในทุก ๆวัน จะยิ่งเร่งอัตราการอักเสบและติดเชื้อให้ทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น (หนองจะเริ่มมีให้เห็นมากขึ้น) ทำให้การรักษายากขึ้นเรื่อย ๆ เช่นกัน
การผ่าตัด ในปัจจุบัน พ.ศ. 2564
1. ผ่าตัดแบบดั้งเดิม และเย็บขอบแผล (Fitulotomy and marsupialised wound edges)
2. ผ่าตัด โดยไม่ต้องตัดหูรูด เทคนิค LIFT (Ligation of intersphincteric fistula tract) เนื่องจากฝีคัณฑสูตรเป็นเส้นที่แทรกไปตามกล้ามเนื้อหูรูด เพราะฉะนั้นการผ่าตัดวิธีดั้งเดิม ทำให้แพทย์จำเป็นต้องผ่าตัดหูรูดด้วย ซึ่งปัจจุบันแพทย์ได้พัฒนาวิธีการผ่าตัด สามารถผ่าตัดฝีคัณฑสูตร โดยไม่ต้องตัดหูรูดออก ผลการผ่าตัด ผู้ป่วยหายขาด 70 - 90% ส่วนน้อยประมาณ 10% อาจต้องผ่าตัดซ้ำ แต่ในที่สุด ฝีคัณฑสูตรจะรักษาหายทุกคน (ตามความเห็นของผมวิธีนี้ เห็นผลเร็วและโอกาสหายสูงมาก แต่ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่ประสบการณ์การผ่าตัดของแพทย์แต่ล่ะท่านด้วย)
3. ผ่าตัดโดยการตัดหูรูด และเย็บซ่อมหูรูดในครั้งเดียวกัน (FIPS) เป็นวิธีที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นในปัจจุบัน
4. ผ่าตัดเปิดระบายฝีหนองที่อยู่ภายในทวารหนัก (IAF) เป็นวิธีผ่าตัดฝีที่อยู่สูงภายในทวารหนัก
การผ่าตัดฝีคัณฑสูตรใช้เวลา
1. กรณี ผู้ป่วยที่มีฝีคัณฑสูตรขนาดเล็ก ใช้เวลาในการผ่าตัด 20 นาที
2. กรณี ผู้ป่วยเป็นฝีมีขนาดใหญ่ มีความซับซ้อนของโพรงหนอง (กินลึก) จะใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง ถึง 1 ชั่วโมงครึ่ง
ประสบการ์ณการผ่าตัด
ปี พ.ศ. 2557: ผ่าตัด ริดสีดวง มี อาการปวดมาก ๆจน ไม่สามารถนั่งได้เลย ต้อง Admit ฉุกเฉิน ที่ รพ. ศิครินทร์
ปี พ.ศ. 2558 : เดือน ตุลาคม เริ่มมีอาการ เจ็บปวดบริเวณ รูทราร มีหนองไหลออกมามาก และมีกลื่นเหม็นมาก ๆ จนผิดปกติ ซึ่งตอนนั้น กำลัง บวชพระ และเริ่มเป็น ฝีคัณฑสูตร พบว่าการถ่ายแต่ล่ะครั้ง ปวดแสบบริเวณ รูทวารมากและติดเชื้อรุนแรง จนมีหนองไหลออกมาปริมาณมาก เลอะ แฉะเต็มผ้าอนามัย (ขอใส่เป็นกรณ๊พิเศษ เนื่องจากป่วย) จนทำให้เดินแทบไม่ได้ เพราะเนื่องจากมีหนองไหลออกมาตลอดเวลา ทรมาณมากจนอยากสึก แอบร้องไห้ในห้องนํ้า เพราะเครียดมาก ๆ ไม่รู้ว่าเป็นโรคอะไร ถึงขนาดเคยคิดสั้น ในขณะครอง ผ้าเหลือง โดยตอนนั้นยังไม่ทราบว่าตัวเองป่วยเป็นโรคอะไร หลายคนทักว่าอาจเป็นกามโรค หรือเปล่า
ปี พ.ศ. 2559 : หลังจาก สึกออกมา ปลาย เดือน มกราคม ก็ได้ไปรักษากับ ศ.นพ. ชูชีพ สหกิจรุ่งเรือง (ขออนุญาติเอ่ยนาม) คุณหมอบอกว่า เป็น โรคฝีคัณฑสูตรที่ค่อนข้างติดเชื้อรุนแรง ซึ่งได้ทำการผ่าตัดครั้งแรก หลังจากผ่าเสร็จได้ประมาณ 2 เดือนแรก หนองลดลงอย่างมาก จากที่เคยเลอะเปื้อนเต็มผ้าอนามัย ลดลงมาจนเกือบเป็นปกติ แต่หลังจากเข้าเดือนที่ 3 พบว่า เกิดมี ตุ่มฝีอักเสบขึ้นมาเฉียบพลันบริเวณ ใกล้บริเวณอวัยวะเพศและขาหนีบ ทำให้เกิดความเจ็บปวดแสนสาหัส ขณะเคลื่อนไหว จึงต้องทำการ Admit ฉุกเฉิน เพื่อเจาะระบายหนองออก ในเบื้องต้น (ฝีไม่ยอมแตกเอง ทำให้ปวดมากๆ) ซึ่งได้ทำการผ่าตัดฝีคัณฑสูตรเป็นครั้งที่ 2 ที่ โรงพยาบาล จุฬาลงกรณ์ (เดือน พฤษภาคม) หลังจากนั้น ประมาณ เกือบ 4 เดือน (กันยายน) พบว่า ฝีที่เคยเจาะระบาย หนองออก (ผ่ารอบที่ 2) ใกล้บริเวณ อวัยวะเพศ เกิดบวม อักเสบ ขึ้นมาอีกรอบ จนฝีแตกเอง (เจ็บเกินบรรยาย) ก็เลยไปพบ คุณ หมอ ชูชีพ อีกครั้ง เพื่อดูอาการ คุณหมอบอกว่า คงต้องผ่าอีกรอบ (รอบที่ 3) หลังจากผ่าตัด เสร็จ ผ่าตัดประมาณ 1 ชั่วโมงกว่าๆ คุณหมอบอกว่า มีโรคลำไส้เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยทำให้ก้นแฉะ อยู่ตลอดเวลา แต่ สาเหตุที่ มันอักเสบขึ้นมา เนื่องมาจาก มีแผลเปิดบริเวณหูรูด โดยได้ทำการรักษา บริเวณจุดนั้นไปแล้ว คาดว่าน่าจะหายขาด
ปี พ.ศ. 2564 : หลังจากที่หายจากโรคนี้ไปประมาณ 5 ปีกว่าๆ ประมาณ เดือน พฤษภาคม พบว่ามีอาการ ปวด บริเวณ ทวารหนัก คล้ายฝี คัณฑสูตร แต่อาการไม่หนักเหมือน 5 ปีก่อน มีอาการเริ่มต้น แต่เหมือนจะไม่ใช้ จุดเดิมที่เคยเป็น แต่เป็น บริเวณใหม่ คนล่ะจุด ปวดเป็นฝี แต่คราวนี้ฝีแตกเอง เลยไม่ค่อยเจ็บ มีกลิ่นหนองจางๆ ปวดเป็นระยะ ๆ เลยไม่นิ่งนอนใจ ไปหา ศ.กิตติคุณ.นพ.อรุณ ท่านตรวจแล้ว บอกว่า เป็นฝี คัณฑสูตรแต่เป็นคนล่ะจุด (ด้านหลัง) แผลเก่า เมื่อ 5 ปีก่อน หายแล้ว (ด้านหน้า) คราวนี้เป็น ฝีจุดใหม่ และยังบอกว่า เหมือนถูก ล็อตตารี่ 2 รอบ โอกาสที่คนเราเป็น ฝีคัณฑสูตรได้ในแต่ล่ะครั้งก็ถือว่ายากแล้ว การที่เป็นถึง 2 ครั้ง ในจุดที่แตกต่าง ถือว่าค่อนข้างยากมาก ๆ ผมเลยไปทำการผ่า ที่ รพ. บางประกอก 9 (ครั้งที่ 4) หลังจากผ่าเสร็จ อาการบาดเจ็บหลังผ่าตัดไม่หนัก เท่า 5 ปีก่อน ทั้ง ๆที่โพรงหนองก็ค่อนข้างยาว ซึ่งหมอบอกคำเดียวว่า ยังไงก็ต้องผ่าเอาออกอย่างเดียว ถึงจะมีสิทธิ์หายขาด (เนื่องจาก เราพอมีประสบการณ์มาบ้างแล้ว เลยสังเกตุอาการตัวได้ก่อนมันจะเริ่มกินลึกไปมากกว่านี้) เลย คิดว่าน่าจะจบ ภายในครั้งเดียว
สุดท้ายนี้ ผมขอพูดได้เลยว่า ไม่จะไปกินยาแผนโบราณ หรือ แผนปัจจุบัน หากเป็นฝีคัณฑสูครที่มีอาการมานานแล้ว เห็นสมควรอย่างยิ่งที่จะเข้ารักษาด้วยวิธีการผ่าตัด โดยไม่จำเป็นต้องลองรักษาด้วยวิธีอื่น ทำให้เสียค่าใช้จ่ายหมดในระยะยาวและเห็นผลค่อนข้างช้า แต่ให้ใช้วิธีการผ่าตัด ซึ่งมักจะใช้เวลาในการผ่าไม่นานมาก ก็จะช่วย คลายความเจ็บทรมาณจากโรคนี้จนหายขาดได้ ในระยะเวลาไม่นาน (ประมาณ 1-2 เดือน หลังการผ่าตัด แล้วแต่กรณี) โดยไม่ต้องเสียเวลาไป ลองผิดลองถูกกับวิธีอื่น ขอให้ท่านที่ป่วย พิจารณาอาการของตัวเองว่าหนักแค่ไหน ผมเข้าใจว่า การผ่าตัดแต่ล่ะครั้งใช้เงินสูง แต่หากท่านไม่ผ่าในเร็ววัน อาการของท่านจะยิ่งเจ็บขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่ดุลพินิจของแต่ล่ะท่าน ที่จะรักษาโรคนี้ แต่ทั้งนี้ ต้องบอกไว้ก่อนเลยว่า โรคนี้ สามารถกลับมาเป็นอีกได้เสมอและไม่มีสาเหตุที่ชัดเจน โดยการผ่าตัดแต่ล่ะครั้ง จะต้องทำการผ่า เพื่อเลาะ เอาโพรงหนองออกให้หมด โดยไม่ให้เหลือรากทิ้งเอาไว้ เพราะจะทำให้กลับมาปะทุได้อีก แต่ถ้าท่านใดต้องการกินยา แผนโบราณหรือสมุนไพร เพื่อที่จะรักษาควบคู่กันไป ก็แล้วแต่เหตุผลอันสมควรของแต่บุคคลเลยครับ ทั้งนี้ พยายามอย่าเครียด กินอาหารที่มีประโยชน์ ดื่มนํ้า เยอะๆ อย่าให้ท้องผูกบ่อยๆ และสำหรับที่สุด อย่านิ่งนอนใจ พยายามสังเกตุตัวเอง หากมีเริ่มมีอาการ สำหรับ ท่านใดที่เคยผ่าตัดหลายครั้งแล้วยังไม่หายขาด ก็ลองปรึกษากับแพทย์ ที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง จะดีกว่าครับ ทั้งนี้ ขอให้หายขาดจากโรคนี้ทุกท่าน นะครับ
Thananchai W.