เมื่อ “ผมสู้ชีวิตไม่ไหวแล้ว” จับสัญญาณฆ่าตัวตายในยุคโควิด-19
https://prachatai.com/journal/2021/06/93525
ข่าวการฆ่าตัวตายปรากฏตามหน้าสื่อถี่ขึ้น สร้างข้อถกเถียงตั้งแต่ปีที่แล้ว ตัวเลขปี 63 ก็เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ แต่การฆ่าตัวตายซับซ้อนกว่าที่คิด ปัจจัยด้านเศรษฐกิจแรงขึ้นในระดับหนึ่ง แต่ที่ต้องจับตาดูคือหลังวิกฤตโควิดผ่านพ้น
“ผมสู้ชีวิตไม่ไหวแล้ว”
คำพูดสุดท้ายของคนขับแท็กซี่รายหนึ่งก่อนจะกระโดดลงแม่น้ำเจ้าพระยาจากสะพานพระราม 7 เหลือไว้แค่รองเท้าหนึ่งคู่ที่ถอดทิ้งไว้
นับเป็นข่าวคราวการฆ่าตัวตายที่ชวนหดหู่อีกข่าวหนึ่งที่ปรากฏบนหน้าสื่อซึ่งมีให้เห็นถี่ขึ้น เลี่ยงไม่ได้ที่ความคิดเห็นของสังคมจะเชื่อมโยงการฆ่าตัวตายเข้ากับความซบเซาทางเศรษฐกิจจากพิษโควิด-19 และความสามารถของรัฐบาลในการบริหารจัดการสถานการณ์
ประเด็นการฆ่าตัวตายไม่ใช่เรื่องที่เพิ่งถูกพูดถึง มันเป็นข้อถกเถียงกันมาตั้งแต่ปี 2563 ปีแรกของการระบาด เมื่องานสำรวจของโครงการวิจัยคนจนเมืองที่เปลี่ยนไปในสังคมเมืองที่กำลังเปลี่ยนแปลง (ภายใต้การสนับสนุนของ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) พบว่า นับแต่วันที่ 1 ถึง 21 เมษายน 2563 มีการฆ่าตัวตายเกิดขึ้นรวมทั้งสิ้น 38 ราย ในจำนวนนี้มีผู้เสียชีวิต 28 คน อีก 10 คน ยังไม่เสียชีวิต
เมื่อเปรียบเทียบระหว่างจำนวนผู้เสียชีวิตจากไวรัสโควิด-19 และผู้ที่ฆ่าตัวตายอันเนื่องมาจากผลกระทบจากนโยบายและมาตรการของรัฐในช่วงเวลาเดียวกัน (วันที่ 1 ถึง 21 เมษายน 2563) พบว่า จำนวนของผู้เสียชีวิตและผู้ที่ฆ่าตัวตายอยู่ในจำนวนที่เท่ากันคือ 38 ราย โดยผู้ที่ฆ่าตัวตายเป็นเพศชาย 27 ราย เพศหญิง 11 ราย ประกอบอาชีพเป็นลูกจ้าง/ผู้ประกอบการอิสระ 35 ราย เป็นผู้ประกอบการ/เจ้าของธุรกิจรายย่อย 3 ราย และมีอายุเฉลี่ยที่ 40 ปี
เป็นเหตุให้ นพ.
เกียรติภูมิ วงศ์รจิต อธิบดีกรมสุขภาพจิตในเวลานั้นออกมาโต้ใน 3 ประเด็นว่า งานดังกล่าวเป็นเพียงบทวิเคราะห์สื่อและการนำเสนอปัจจัยสาเหตุจากมุมมองของสื่อมวลชน ซึ่งไม่สามารถนำมาใช้เป็นตัวแทนหรือใช้เป็นข้อเท็จจริงที่สะท้อนปัญหาการฆ่าตัวตายในสังคมไทยได้ เนื่องจากโดยปกติแล้วงานวิจัยด้านสุขภาพจิตต้องใช้นักวิจัยที่มีความเชี่ยวชาญในการเก็บข้อมูลปัจจัยด้านสุขภาพจิต, การนำเสนอและวิเคราะห์เลือกแสดงข้อมูลเพียงเดือนเมษายนเท่านั้น โดยขาดการเปรียบเทียบกับข้อมูลการเสียชีวิตจากการฆ่าตัวตายของประชากรในเดือนก่อนหน้านี้ และการนำข้อมูลเปรียบเทียบกับการเสียชีวิตจากการติดเชื้อโควิด-19 นั้น ก่อให้เกิดการตีความและความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน และประการสุดท้าย-การอภิปรายผลการวิจัยโดยขาดการทบทวนวรรณกรรมหรืองานวิจัยสุขภาพจิตที่มีมาก่อนหน้านี้ รวมถึงไม่อยู่บนพื้นฐานทฤษฎีด้านสุขภาพจิต อาจสร้างความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนอย่างมากให้ประชาชน
จับตาการฆ่าตัวตายหลังวิกฤตโควิด
อย่างไรก็ตาม ตัวเลขอัตราการฆ่าตัวตายที่ปรากฏบนเว็บไซต์ของกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข ก็พบว่า
ตัวเลขเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
หากดูสถิติอัตราการฆ่าตัวตายต่อแสนประชากร 5 ปีย้อนหลัง ปี 2559 ตัวเลขอยู่ที่ 6.35 ปี 2560 เท่ากับ 6.03 จากนั้นตัวเลขขยับสูงขึ้นเป็นลำดับคือ 6.32, 6.64 และ 7.37 ในปี 2561, 2562 และ 2563 เมื่อดูเฉพาะปี 2562 และ 2563 จะเห็นการกระโดดขึ้นของตัวเลข
เมื่อดูสถิติย้อนหลังกลับไปไกลกว่านั้น ช่วงที่ประเทศไทยมีอัตราการฆ่าตัวตายสูงสุดอยู่ในปี 2542 คือ 8.59 หลังเกิดวิกฤตต้มยำกุ้ง 2 ปี กว่าตัวเลขอัตราการฆ่าตัวตายจะลดต่ำกว่า 7 ก็ล่วงเลยถึงปี 2547
นพ.
ณัฐกร จำปาทอง ผู้อำนวยการศูนย์ป้องกันการฆ่าตัวตายและผู้อำนวยการโรงพยาบาลจิตเวชขอนแก่นราชนครินทร์ กล่าวว่า ปกติอัตราการฆ่าตัวตายต่อแสนประชากรของคนไทยอยู่ที่ประมาณ 6.0-6.5 หรือราวๆ 4,000 ถึง 4,400 คนมาโดยตลอด เขากล่าวต่อการเพิ่มขึ้นของอัตราการฆ่าตัวตายไม่ได้เกิดขึ้นทีเดียวในช่วงวิกฤต แต่จะใช้เวลาในการไต่ระดับขึ้นหลังจากนั้นประมาณปีถึงสองปี
“เหตุผลที่อธิบายได้ก็คือว่ามันเป็นช่วงที่กำลังฟื้นตัว คนถามว่าเป็นช่วงฟื้นตัวแล้วทำไมถึงฆ่าตัวตาย ก็เพราะมันมีคนฟื้นตัว มันก็เลยมีคนที่ไม่ฟื้นตัวด้วย มันจึงเป็นเหตุผลหนึ่ง แต่ถามว่า 7 กว่าสะท้อนภาพวิกฤตไหมก็ keep in mind ว่ามันเป็นไปได้ และถ้าเกิดปี 2563 ซึ่งเป็นปีวิกฤตมันวิ่งขึ้นเท่านี้ เป็นผมก็จะจับตาดูปี 2564 ว่าจะเกิดแบบต้มยำกุ้งหรือเปล่า
“ปีนี้อัตราการฆ่าตัวตาย 3 เดือนแรกที่ได้จากใบมรณะบัตรค่อนข้างไม่สูงเมื่อเทียบกับ 3 เดือนแรกของปี 2563 ต้องยอมรับว่าภาพ 3 เดือนแรกของปี 2563 ค่อนข้างมาสูง แต่ปีนี้ 3 เดือนแรกค่อนข้างปกติธรรมดา ซึ่งแค่ 3 เดือนยังบอกอะไรไม่ได้ น่าจะเห็นอะไรในช่วงตั้งแต่พฤษภาคมเป็นต้นไปซึ่งข้อมูลยังไม่เข้ามา เพราะเราจับตาดูอยู่ โดยทั่วๆ ไปตัวเลขการฆ่าตัวตายจะไม่ตอบทันทีกับเหตุการณ์ในสังคม มันจะตอบทีหลังประมาณเดือนสองเดือน ตอนนี้ยังพูดชัดไม่ได้เพราะข้อเท็จจริงยังไม่มา”
ปัจจัยด้านเศรษฐกิจแรงขึ้นระดับหนึ่ง
แน่นอนว่าเมื่อกล่าวถึงการฆ่าตัวตาย คำถามที่หนีไม่พ้นคือสาเหตุ ซึ่งมีอยู่ 5 ปัจจัยหลัก ได้แก่ ปัญหาด้านความสัมพันธ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสัมพันธ์ในครอบครัว ความสัมพันธ์กับคนใกล้ชิด ปัญหาจากโรคเรื้อรัง ทั้งโรคเรื้อรังทางกายและโรคเรื้อรังทางจิต ปัญหาด้านเศรษฐกิจ การบริโภคสุรา และการใช้สารเสพติด
“ปกติกลุ่มแรกจะมีสัดส่วนเยอะที่สุดเสมอคือราวๆ 50-60 เปอร์เซ็นต์ของทั้งหมด ซึ่งก็เป็นอย่างนี้มาตลอดไม่ว่าจะเกิดวิกฤตอะไร ปัญหาความสัมพันธ์ก็จะคงอันดับ 1 อย่างนี้มาตลอดอยู่แล้ว กลุ่มโรคเรื้อรังจะเป็นอันดับที่ 2 เสมอ ซึ่งโรคเรื้อรังทางกายกับทางจิตจะมีสัดส่วนพอๆ กัน อันดับที่ 3 ของคนไทยมักจะเป็นเรื่องแอลกอฮอล์ แล้วอันดับที่ 4 จะเป็นเศรษฐกิจ อันดับที่ 5 เป็นสารเสพติด อันนี้พูดในแง่การจัดลำดับของสัดส่วนปกติเป็นแบบนี้”
แต่ในปี 2563 ปัจจัยด้านเศรษฐกิจขยับขึ้นแซงปัจจัยจากการบริโภคสุรา อย่างไรก็ตาม นพ.ณัฐกร กล่าวว่า
“ปี 2563 เกิดอะไรขึ้น ต้องยอมรับว่าเรื่องเศรษฐกิจแซงแอลกอฮอล์ ผมไม่ได้บอกว่าเศรษฐกิจมันแรงขึ้น เพราะส่วนหนึ่งแอลกอฮอล์ปัญหามันลดลง ปี 2563 มันมีมาตรการหรืออะไรบางอย่างในสังคมที่ทำให้คนดื่มน้อยลง โดยเฉพาะอย่างช่วงที่มีมาตรการของคณะกรรมการควบคุมโรคติดต่อหลายจังหวัดควบคุมการบริโภคสุราหรือการจำหน่ายสุรา อันนี้มีผลมาก เพราะฉะนั้นปัจจัยจากแอลกอฮอล์ลดลง ปัจจัยทางเศรษฐกิจแรงขึ้นอยู่ระดับหนึ่งก็ต้องยอมรับ ส่งผลให้ปัจจัยด้านเศรษฐกิจตีคู่กับปัจจัยด้านโรคเรื้อรังพอสมควร ในแต่ละเดือนจะตีคู่กันแบบนั้น ในบางเดือนต้องยอมรับว่าปัจจัยด้านเศรษฐกิจขึ้นมาเป็นอันดับ 2 โรคเรื้อรังอันดับ 3 แต่บางเดือนโรคเรื้อรังก็อันดับ 2”
ประเด็นที่ต้องคำนึงถึงเสมอคือการที่คนคนหนึ่งตัดสินใจฆ่าตัวตายมีความซับซ้อนเกินกว่าจะบอกได้ว่าเพราะสาเหตุใดเป็นหลัก ปัญหาความสัมพันธ์อาจนำไปสู่การดื่มสุรา หรือปัญหาเศรษฐกิจก็สามารถทำให้ความสัมพันธ์ในครอบครัวมีปัญหาได้ ดังนั้น แม้จะบอกได้ว่าปัจจัยที่ทำให้คนฆ่าตัวตายมีอะไรบ้าง แต่ก็ไม่สามารถจัดอันดับชี้ชัดได้ว่าปัจจัยใดเป็นตัวหลัก
สุขภาพ-เศรษฐกิจ-สังคม
นพ.
ณัฐกร กล่าวว่า การฆ่าตัวตายของคนไทยเป็นปัญหาเชิงสังคมที่มีความสลับซับซ้อน หากมองเป็นปัญหาสุขภาพอย่างเดียวจะทำให้ตกหล่นมิติทางสังคมและเศรษฐกิจ การแก้ไขจึงต้องเป็นไปอย่างรอบด้าน
“ถ้าเรารู้ว่าปี 2563 ปัจจัยด้านเศรษฐกิจมาแรง และในบางพื้นที่เราก็มีข้อมูลว่ากลุ่มแรงงานมาแรง บางพื้นที่กลุ่มที่ไม่มีรายได้มาแรง บางพื้นที่กลุ่มเกษตรกรไม่แรง กลุ่มค้าขายไม่แรง เราก็จะได้โฟกัสถูกว่าถ้าพื้นที่แรงงานแรง เราประสานกับแรงงานได้ไหม ในพื้นที่ที่ผู้สูงอายุมาแรงเราประสานกับหน่วยงานที่ดูแลผู้สูงอายุได้หรือเปล่า มันจะเป็นมิติของการบูรณาการการทำงานหลายภาคส่วน ไม่ได้มองปัญหาฆ่าตัวตายเป็นปัญหาด้านสุขภาพ แต่เป็นปัญหาทางสังคมเศรษฐกิจที่มีความสลับซับซ้อนกับปัจจัยของตัวบุคคล”
จากสถานการณ์ที่เป็นอยู่และจะเป็นไป ต้องรอดูกันว่ารัฐบาลจะมีความสามารถในการจัดการ ทั้งด้านเศรษฐกิจ การจัดหาวัคซีน การเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบ รวมถึงการลำดับความสำคัญของการใช้งบประมาณมากน้อยแค่ไหน
ตกงาน-กลับบ้านทำนาก็ไม่ถนัด หนีผูกคอดับใต้สะพาน
https://www.dailynews.co.th/crime/850118
ชายชรา 63 ปี ทำงานรับเหมากรุงเทพฯ เจอพิษโควิดตกงานต้องกลับมาทำนาบ้านเกิด ไม่ถนัด ขับรถไปใต้สะพานผูกคอตนเองจบชีวิต
วันที่ 15 มิ.ย. ร.ต.อ.
จตุรงค์ คล้ายใจตรง รอง สว. (สอบสวน) สภ.ศรีเทพ จ.เพชรบูรณ์ รับแจ้งมีผู้ผูกคอตัวเองเสียชีวิตที่บริเวณใต้สะพานข้ามแม่น้ำป่าสัก ถนนสายบ้านท่ากะเบา – ศรีเทพ หมู่ 7 บ้านท่ากะเบา อ.ศรีเทพ เมื่อไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ พบศพ นาย
จำลอง (สงวนนามสกุล) อายุ 63 ปี ใช้เชือกผูกคอใต้สะพานดังกล่าว ห่างออกไปพบรถของผู้ตายจอดทิ้งไว้บนสะพาน
ทางด้านลูกชาย เปิดเผยว่า พ่อทำงานเป็นผู้รับเหมาก่อสร้างที่กรุงเทพฯ พอเจอโควิด-19 แพร่ระบาด ปรากฏว่าไม่มีงานให้พ่อทำ จึงต้องหวนกลับมาทำงานที่บ้านเกิด จ.เพชรบูรณ์ แทน แล้วต้องเปลี่ยนอาชีพมาทำนาแทน ซึ่งเป็นอาชีพที่พ่อไม่ถนัดทำ จนวันนี้พ่อออกจากบ้านแต่เช้า บอกจะไปดูนา ไม่มีเหตุการณ์ผิดปกติหรือลางบอกเหตุอะไรเลย ก่อนจะมีคนแจ้งว่าพ่อผูกคอเสียชีวิตแล้ว เบื้องต้นญาติไม่ติดใจสาเหตุการเสียชีวิต จึงมอบศพให้ไปดำเนินการบำเพ็ญกุศลตามพิธีกรรมทางศาสนาต่อไป.
ร้านอาหาร-สมาคมคราฟท์เบียร์ ร้องสภาฯ เยียวยาโควิด 'หมอเรวัต' จ่อหารือที่ประชุมสภา
https://www.matichon.co.th/politics/news_2778846
ผู้ประกอบร้านอาหาร- สมาคมคราฟท์เบียร์ ร้องสภาฯ 3 ข้อ ช่วยหาทางเยียวยาหลังได้รับผลกระทบจากพิษโควิด ด้าน “หมอเรวัต” จ่อหารือที่ประชุมสภา ก่อนส่งหนังสือให้รบ.
เมื่อเวลา 10.20 น. วันที่ 16 มิถุนายน ที่รัฐสภา กลุ่มตัวแทนผู้ประกอบการธุรกิจร้านอาหาร และสมาคมคราฟท์เบียร์ เข้ายื่นหนังสือต่อนพ.
เรวัต วิศรุตเวช ส.ส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย และพ.ต.อ.
ทวี สอดส่อง ส.ส.บัญชีรายชื่อ และเลขาธิการพรรคประชาชาติ และนาย
เท่าพิภพ ลิ้มจิตรกร ส.ส.กทม. พรรคก้าวไกล เพื่อขอให้รัฐบาลเยียวยาช่วยเหลือจากผลกระทบการแพร่ระบาดของโควิด-19
โดยนพ.
เรวัต กล่าวว่า จากการระบาดของโควิดตั้งแต่ระลอกแรก จนถึงระลอกสาม มีผู้ติดเชื้อมากกว่า1 แสนราย โคม่าหลักพันคน เสียชีวิตจำนวนมาก และทุกครั้งที่มีการระบาดส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ และธุรกิจทุกประเภท วันนี้ตัวแทนธุรกิจเกี่ยวกับร้านอาหาร เครื่องดื่ม ที่ได้รับความเดือดร้อน มาเรียกร้องขอให้รัฐบาลช่วยเหลือเยียวยา โดยมีข้อเรียกร้อง 3 ข้อคือ
1. เยียวยาเงินช่วยเหลือ และออกมาตรการเงินกู้เพื่อช่วยบรรเทาปัญหาความเดือดร้อยของธุรกิจ
2. อยากให้รัฐออกมาตรการหรือแก้ไขกฎหมายให้สามารถขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในร้านอาหารได้ รวมทั้งโฆษณาขายทางออนไลน์ได้ และเก็บค่าบริการผ่านแอปไม่เกิน 15 เปอร์เซนต์ภายใน 2 ปี
และ 3. เยียวยาเรื่องภาษี ให้ผู้ประกอบการจ่ายเป็นงวดๆ หรืองดเก็บภาษีบางประเภท เพื่อลดภาระ
นพ.
เรวัต กล่าวต่อว่า หลังจากนี้จะนำไปอภิปรายในสภาฯและเสนอประธานสภาฯ เพื่อส่งหนังสือต่อไปยังรัฐบาล เพื่อพิจารณาแนวทางช่วยเหลือต่อไป เพราะทุกคนเดือดร้อนมานาน วันนี้เหมือนลมหายใจสุดท้าย ถ้าเปรียบเป็นคนไข้ก็โคม่าแล้ว
JJNY : จับสัญญาณฆ่าตัวตายยุคโควิด│ตกงาน-ทำนาก็ไม่ถนัด ผูกคอดับ│ร้านอาหาร-ส.คราฟท์เบียร์ร้องเยียวยา│จวก!แก๊งล่อซื้อน้ำส้ม
https://prachatai.com/journal/2021/06/93525
ข่าวการฆ่าตัวตายปรากฏตามหน้าสื่อถี่ขึ้น สร้างข้อถกเถียงตั้งแต่ปีที่แล้ว ตัวเลขปี 63 ก็เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ แต่การฆ่าตัวตายซับซ้อนกว่าที่คิด ปัจจัยด้านเศรษฐกิจแรงขึ้นในระดับหนึ่ง แต่ที่ต้องจับตาดูคือหลังวิกฤตโควิดผ่านพ้น
“ผมสู้ชีวิตไม่ไหวแล้ว”
คำพูดสุดท้ายของคนขับแท็กซี่รายหนึ่งก่อนจะกระโดดลงแม่น้ำเจ้าพระยาจากสะพานพระราม 7 เหลือไว้แค่รองเท้าหนึ่งคู่ที่ถอดทิ้งไว้
นับเป็นข่าวคราวการฆ่าตัวตายที่ชวนหดหู่อีกข่าวหนึ่งที่ปรากฏบนหน้าสื่อซึ่งมีให้เห็นถี่ขึ้น เลี่ยงไม่ได้ที่ความคิดเห็นของสังคมจะเชื่อมโยงการฆ่าตัวตายเข้ากับความซบเซาทางเศรษฐกิจจากพิษโควิด-19 และความสามารถของรัฐบาลในการบริหารจัดการสถานการณ์
ประเด็นการฆ่าตัวตายไม่ใช่เรื่องที่เพิ่งถูกพูดถึง มันเป็นข้อถกเถียงกันมาตั้งแต่ปี 2563 ปีแรกของการระบาด เมื่องานสำรวจของโครงการวิจัยคนจนเมืองที่เปลี่ยนไปในสังคมเมืองที่กำลังเปลี่ยนแปลง (ภายใต้การสนับสนุนของ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) พบว่า นับแต่วันที่ 1 ถึง 21 เมษายน 2563 มีการฆ่าตัวตายเกิดขึ้นรวมทั้งสิ้น 38 ราย ในจำนวนนี้มีผู้เสียชีวิต 28 คน อีก 10 คน ยังไม่เสียชีวิต
เมื่อเปรียบเทียบระหว่างจำนวนผู้เสียชีวิตจากไวรัสโควิด-19 และผู้ที่ฆ่าตัวตายอันเนื่องมาจากผลกระทบจากนโยบายและมาตรการของรัฐในช่วงเวลาเดียวกัน (วันที่ 1 ถึง 21 เมษายน 2563) พบว่า จำนวนของผู้เสียชีวิตและผู้ที่ฆ่าตัวตายอยู่ในจำนวนที่เท่ากันคือ 38 ราย โดยผู้ที่ฆ่าตัวตายเป็นเพศชาย 27 ราย เพศหญิง 11 ราย ประกอบอาชีพเป็นลูกจ้าง/ผู้ประกอบการอิสระ 35 ราย เป็นผู้ประกอบการ/เจ้าของธุรกิจรายย่อย 3 ราย และมีอายุเฉลี่ยที่ 40 ปี
เป็นเหตุให้ นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต อธิบดีกรมสุขภาพจิตในเวลานั้นออกมาโต้ใน 3 ประเด็นว่า งานดังกล่าวเป็นเพียงบทวิเคราะห์สื่อและการนำเสนอปัจจัยสาเหตุจากมุมมองของสื่อมวลชน ซึ่งไม่สามารถนำมาใช้เป็นตัวแทนหรือใช้เป็นข้อเท็จจริงที่สะท้อนปัญหาการฆ่าตัวตายในสังคมไทยได้ เนื่องจากโดยปกติแล้วงานวิจัยด้านสุขภาพจิตต้องใช้นักวิจัยที่มีความเชี่ยวชาญในการเก็บข้อมูลปัจจัยด้านสุขภาพจิต, การนำเสนอและวิเคราะห์เลือกแสดงข้อมูลเพียงเดือนเมษายนเท่านั้น โดยขาดการเปรียบเทียบกับข้อมูลการเสียชีวิตจากการฆ่าตัวตายของประชากรในเดือนก่อนหน้านี้ และการนำข้อมูลเปรียบเทียบกับการเสียชีวิตจากการติดเชื้อโควิด-19 นั้น ก่อให้เกิดการตีความและความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน และประการสุดท้าย-การอภิปรายผลการวิจัยโดยขาดการทบทวนวรรณกรรมหรืองานวิจัยสุขภาพจิตที่มีมาก่อนหน้านี้ รวมถึงไม่อยู่บนพื้นฐานทฤษฎีด้านสุขภาพจิต อาจสร้างความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนอย่างมากให้ประชาชน
จับตาการฆ่าตัวตายหลังวิกฤตโควิด
อย่างไรก็ตาม ตัวเลขอัตราการฆ่าตัวตายที่ปรากฏบนเว็บไซต์ของกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข ก็พบว่า ตัวเลขเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
หากดูสถิติอัตราการฆ่าตัวตายต่อแสนประชากร 5 ปีย้อนหลัง ปี 2559 ตัวเลขอยู่ที่ 6.35 ปี 2560 เท่ากับ 6.03 จากนั้นตัวเลขขยับสูงขึ้นเป็นลำดับคือ 6.32, 6.64 และ 7.37 ในปี 2561, 2562 และ 2563 เมื่อดูเฉพาะปี 2562 และ 2563 จะเห็นการกระโดดขึ้นของตัวเลข
เมื่อดูสถิติย้อนหลังกลับไปไกลกว่านั้น ช่วงที่ประเทศไทยมีอัตราการฆ่าตัวตายสูงสุดอยู่ในปี 2542 คือ 8.59 หลังเกิดวิกฤตต้มยำกุ้ง 2 ปี กว่าตัวเลขอัตราการฆ่าตัวตายจะลดต่ำกว่า 7 ก็ล่วงเลยถึงปี 2547
นพ.ณัฐกร จำปาทอง ผู้อำนวยการศูนย์ป้องกันการฆ่าตัวตายและผู้อำนวยการโรงพยาบาลจิตเวชขอนแก่นราชนครินทร์ กล่าวว่า ปกติอัตราการฆ่าตัวตายต่อแสนประชากรของคนไทยอยู่ที่ประมาณ 6.0-6.5 หรือราวๆ 4,000 ถึง 4,400 คนมาโดยตลอด เขากล่าวต่อการเพิ่มขึ้นของอัตราการฆ่าตัวตายไม่ได้เกิดขึ้นทีเดียวในช่วงวิกฤต แต่จะใช้เวลาในการไต่ระดับขึ้นหลังจากนั้นประมาณปีถึงสองปี
“เหตุผลที่อธิบายได้ก็คือว่ามันเป็นช่วงที่กำลังฟื้นตัว คนถามว่าเป็นช่วงฟื้นตัวแล้วทำไมถึงฆ่าตัวตาย ก็เพราะมันมีคนฟื้นตัว มันก็เลยมีคนที่ไม่ฟื้นตัวด้วย มันจึงเป็นเหตุผลหนึ่ง แต่ถามว่า 7 กว่าสะท้อนภาพวิกฤตไหมก็ keep in mind ว่ามันเป็นไปได้ และถ้าเกิดปี 2563 ซึ่งเป็นปีวิกฤตมันวิ่งขึ้นเท่านี้ เป็นผมก็จะจับตาดูปี 2564 ว่าจะเกิดแบบต้มยำกุ้งหรือเปล่า
“ปีนี้อัตราการฆ่าตัวตาย 3 เดือนแรกที่ได้จากใบมรณะบัตรค่อนข้างไม่สูงเมื่อเทียบกับ 3 เดือนแรกของปี 2563 ต้องยอมรับว่าภาพ 3 เดือนแรกของปี 2563 ค่อนข้างมาสูง แต่ปีนี้ 3 เดือนแรกค่อนข้างปกติธรรมดา ซึ่งแค่ 3 เดือนยังบอกอะไรไม่ได้ น่าจะเห็นอะไรในช่วงตั้งแต่พฤษภาคมเป็นต้นไปซึ่งข้อมูลยังไม่เข้ามา เพราะเราจับตาดูอยู่ โดยทั่วๆ ไปตัวเลขการฆ่าตัวตายจะไม่ตอบทันทีกับเหตุการณ์ในสังคม มันจะตอบทีหลังประมาณเดือนสองเดือน ตอนนี้ยังพูดชัดไม่ได้เพราะข้อเท็จจริงยังไม่มา”
ปัจจัยด้านเศรษฐกิจแรงขึ้นระดับหนึ่ง
แน่นอนว่าเมื่อกล่าวถึงการฆ่าตัวตาย คำถามที่หนีไม่พ้นคือสาเหตุ ซึ่งมีอยู่ 5 ปัจจัยหลัก ได้แก่ ปัญหาด้านความสัมพันธ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสัมพันธ์ในครอบครัว ความสัมพันธ์กับคนใกล้ชิด ปัญหาจากโรคเรื้อรัง ทั้งโรคเรื้อรังทางกายและโรคเรื้อรังทางจิต ปัญหาด้านเศรษฐกิจ การบริโภคสุรา และการใช้สารเสพติด
“ปกติกลุ่มแรกจะมีสัดส่วนเยอะที่สุดเสมอคือราวๆ 50-60 เปอร์เซ็นต์ของทั้งหมด ซึ่งก็เป็นอย่างนี้มาตลอดไม่ว่าจะเกิดวิกฤตอะไร ปัญหาความสัมพันธ์ก็จะคงอันดับ 1 อย่างนี้มาตลอดอยู่แล้ว กลุ่มโรคเรื้อรังจะเป็นอันดับที่ 2 เสมอ ซึ่งโรคเรื้อรังทางกายกับทางจิตจะมีสัดส่วนพอๆ กัน อันดับที่ 3 ของคนไทยมักจะเป็นเรื่องแอลกอฮอล์ แล้วอันดับที่ 4 จะเป็นเศรษฐกิจ อันดับที่ 5 เป็นสารเสพติด อันนี้พูดในแง่การจัดลำดับของสัดส่วนปกติเป็นแบบนี้”
แต่ในปี 2563 ปัจจัยด้านเศรษฐกิจขยับขึ้นแซงปัจจัยจากการบริโภคสุรา อย่างไรก็ตาม นพ.ณัฐกร กล่าวว่า
“ปี 2563 เกิดอะไรขึ้น ต้องยอมรับว่าเรื่องเศรษฐกิจแซงแอลกอฮอล์ ผมไม่ได้บอกว่าเศรษฐกิจมันแรงขึ้น เพราะส่วนหนึ่งแอลกอฮอล์ปัญหามันลดลง ปี 2563 มันมีมาตรการหรืออะไรบางอย่างในสังคมที่ทำให้คนดื่มน้อยลง โดยเฉพาะอย่างช่วงที่มีมาตรการของคณะกรรมการควบคุมโรคติดต่อหลายจังหวัดควบคุมการบริโภคสุราหรือการจำหน่ายสุรา อันนี้มีผลมาก เพราะฉะนั้นปัจจัยจากแอลกอฮอล์ลดลง ปัจจัยทางเศรษฐกิจแรงขึ้นอยู่ระดับหนึ่งก็ต้องยอมรับ ส่งผลให้ปัจจัยด้านเศรษฐกิจตีคู่กับปัจจัยด้านโรคเรื้อรังพอสมควร ในแต่ละเดือนจะตีคู่กันแบบนั้น ในบางเดือนต้องยอมรับว่าปัจจัยด้านเศรษฐกิจขึ้นมาเป็นอันดับ 2 โรคเรื้อรังอันดับ 3 แต่บางเดือนโรคเรื้อรังก็อันดับ 2”
ประเด็นที่ต้องคำนึงถึงเสมอคือการที่คนคนหนึ่งตัดสินใจฆ่าตัวตายมีความซับซ้อนเกินกว่าจะบอกได้ว่าเพราะสาเหตุใดเป็นหลัก ปัญหาความสัมพันธ์อาจนำไปสู่การดื่มสุรา หรือปัญหาเศรษฐกิจก็สามารถทำให้ความสัมพันธ์ในครอบครัวมีปัญหาได้ ดังนั้น แม้จะบอกได้ว่าปัจจัยที่ทำให้คนฆ่าตัวตายมีอะไรบ้าง แต่ก็ไม่สามารถจัดอันดับชี้ชัดได้ว่าปัจจัยใดเป็นตัวหลัก
สุขภาพ-เศรษฐกิจ-สังคม
นพ.ณัฐกร กล่าวว่า การฆ่าตัวตายของคนไทยเป็นปัญหาเชิงสังคมที่มีความสลับซับซ้อน หากมองเป็นปัญหาสุขภาพอย่างเดียวจะทำให้ตกหล่นมิติทางสังคมและเศรษฐกิจ การแก้ไขจึงต้องเป็นไปอย่างรอบด้าน
“ถ้าเรารู้ว่าปี 2563 ปัจจัยด้านเศรษฐกิจมาแรง และในบางพื้นที่เราก็มีข้อมูลว่ากลุ่มแรงงานมาแรง บางพื้นที่กลุ่มที่ไม่มีรายได้มาแรง บางพื้นที่กลุ่มเกษตรกรไม่แรง กลุ่มค้าขายไม่แรง เราก็จะได้โฟกัสถูกว่าถ้าพื้นที่แรงงานแรง เราประสานกับแรงงานได้ไหม ในพื้นที่ที่ผู้สูงอายุมาแรงเราประสานกับหน่วยงานที่ดูแลผู้สูงอายุได้หรือเปล่า มันจะเป็นมิติของการบูรณาการการทำงานหลายภาคส่วน ไม่ได้มองปัญหาฆ่าตัวตายเป็นปัญหาด้านสุขภาพ แต่เป็นปัญหาทางสังคมเศรษฐกิจที่มีความสลับซับซ้อนกับปัจจัยของตัวบุคคล”
จากสถานการณ์ที่เป็นอยู่และจะเป็นไป ต้องรอดูกันว่ารัฐบาลจะมีความสามารถในการจัดการ ทั้งด้านเศรษฐกิจ การจัดหาวัคซีน การเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบ รวมถึงการลำดับความสำคัญของการใช้งบประมาณมากน้อยแค่ไหน
ตกงาน-กลับบ้านทำนาก็ไม่ถนัด หนีผูกคอดับใต้สะพาน
https://www.dailynews.co.th/crime/850118
ชายชรา 63 ปี ทำงานรับเหมากรุงเทพฯ เจอพิษโควิดตกงานต้องกลับมาทำนาบ้านเกิด ไม่ถนัด ขับรถไปใต้สะพานผูกคอตนเองจบชีวิต
วันที่ 15 มิ.ย. ร.ต.อ.จตุรงค์ คล้ายใจตรง รอง สว. (สอบสวน) สภ.ศรีเทพ จ.เพชรบูรณ์ รับแจ้งมีผู้ผูกคอตัวเองเสียชีวิตที่บริเวณใต้สะพานข้ามแม่น้ำป่าสัก ถนนสายบ้านท่ากะเบา – ศรีเทพ หมู่ 7 บ้านท่ากะเบา อ.ศรีเทพ เมื่อไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ พบศพ นายจำลอง (สงวนนามสกุล) อายุ 63 ปี ใช้เชือกผูกคอใต้สะพานดังกล่าว ห่างออกไปพบรถของผู้ตายจอดทิ้งไว้บนสะพาน
ทางด้านลูกชาย เปิดเผยว่า พ่อทำงานเป็นผู้รับเหมาก่อสร้างที่กรุงเทพฯ พอเจอโควิด-19 แพร่ระบาด ปรากฏว่าไม่มีงานให้พ่อทำ จึงต้องหวนกลับมาทำงานที่บ้านเกิด จ.เพชรบูรณ์ แทน แล้วต้องเปลี่ยนอาชีพมาทำนาแทน ซึ่งเป็นอาชีพที่พ่อไม่ถนัดทำ จนวันนี้พ่อออกจากบ้านแต่เช้า บอกจะไปดูนา ไม่มีเหตุการณ์ผิดปกติหรือลางบอกเหตุอะไรเลย ก่อนจะมีคนแจ้งว่าพ่อผูกคอเสียชีวิตแล้ว เบื้องต้นญาติไม่ติดใจสาเหตุการเสียชีวิต จึงมอบศพให้ไปดำเนินการบำเพ็ญกุศลตามพิธีกรรมทางศาสนาต่อไป.
ร้านอาหาร-สมาคมคราฟท์เบียร์ ร้องสภาฯ เยียวยาโควิด 'หมอเรวัต' จ่อหารือที่ประชุมสภา
https://www.matichon.co.th/politics/news_2778846
ผู้ประกอบร้านอาหาร- สมาคมคราฟท์เบียร์ ร้องสภาฯ 3 ข้อ ช่วยหาทางเยียวยาหลังได้รับผลกระทบจากพิษโควิด ด้าน “หมอเรวัต” จ่อหารือที่ประชุมสภา ก่อนส่งหนังสือให้รบ.
เมื่อเวลา 10.20 น. วันที่ 16 มิถุนายน ที่รัฐสภา กลุ่มตัวแทนผู้ประกอบการธุรกิจร้านอาหาร และสมาคมคราฟท์เบียร์ เข้ายื่นหนังสือต่อนพ.เรวัต วิศรุตเวช ส.ส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย และพ.ต.อ.ทวี สอดส่อง ส.ส.บัญชีรายชื่อ และเลขาธิการพรรคประชาชาติ และนายเท่าพิภพ ลิ้มจิตรกร ส.ส.กทม. พรรคก้าวไกล เพื่อขอให้รัฐบาลเยียวยาช่วยเหลือจากผลกระทบการแพร่ระบาดของโควิด-19
โดยนพ.เรวัต กล่าวว่า จากการระบาดของโควิดตั้งแต่ระลอกแรก จนถึงระลอกสาม มีผู้ติดเชื้อมากกว่า1 แสนราย โคม่าหลักพันคน เสียชีวิตจำนวนมาก และทุกครั้งที่มีการระบาดส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ และธุรกิจทุกประเภท วันนี้ตัวแทนธุรกิจเกี่ยวกับร้านอาหาร เครื่องดื่ม ที่ได้รับความเดือดร้อน มาเรียกร้องขอให้รัฐบาลช่วยเหลือเยียวยา โดยมีข้อเรียกร้อง 3 ข้อคือ
1. เยียวยาเงินช่วยเหลือ และออกมาตรการเงินกู้เพื่อช่วยบรรเทาปัญหาความเดือดร้อยของธุรกิจ
2. อยากให้รัฐออกมาตรการหรือแก้ไขกฎหมายให้สามารถขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในร้านอาหารได้ รวมทั้งโฆษณาขายทางออนไลน์ได้ และเก็บค่าบริการผ่านแอปไม่เกิน 15 เปอร์เซนต์ภายใน 2 ปี
และ 3. เยียวยาเรื่องภาษี ให้ผู้ประกอบการจ่ายเป็นงวดๆ หรืองดเก็บภาษีบางประเภท เพื่อลดภาระ
นพ.เรวัต กล่าวต่อว่า หลังจากนี้จะนำไปอภิปรายในสภาฯและเสนอประธานสภาฯ เพื่อส่งหนังสือต่อไปยังรัฐบาล เพื่อพิจารณาแนวทางช่วยเหลือต่อไป เพราะทุกคนเดือดร้อนมานาน วันนี้เหมือนลมหายใจสุดท้าย ถ้าเปรียบเป็นคนไข้ก็โคม่าแล้ว