เรื่องเล่าของทิดนิ่ม 1. ผีจริงผีปลอม

กระทู้สนทนา
สองปีหลังจากที่ผมพ้นสถานะนักบวช กลับไปตรากตรำก้มหน้าทำงานหาเงิน คราวนี้ผมพาชีวิตตัวเองวิ่งจากเหนือลงใต้ สู่จังหวัดสุราษฎร์ธานี ดินแดนแห่งพระจันทร์หลากสีและปาร์ตี้ฟูลมูน
       
       "ฮัลโหลนิ่ม หลวงพ่อท่านป่วยนะ พอจะกลับมาเยี่ยมได้มั๊ยลูก?"
       
       ปลายสายบอกผมด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล หลังจากที่ผมบวชทดแทนคุณท่านทั้งสอง ความสัมพันธ์ของผมกับพ่อก็มีทีท่าว่าจะดีขึ้น แต่ก็ยังมีความขัดเขินเกินกว่าจะบอกความรู้สึกดี ๆ ออกไป แต่แค่นั้นก็พอแล้วครับ
       
       "อ้าว! หนักมั๊ยล่ะครับ?  ผมต้องรออีกประมาณเกือบอาทิตย์ถึงจะว่าง" ผมตอบกลับไป
       
       "มันก็โรคเดิม ๆ นั่นแหละ เพียงแต่ครั้งนี้หลวงพ่อท่านถามหา พ่อก็เลยลองโทรถามมืงดู"
       
       "ครับ งั้นผมจะลองคุยกับทางหัวหน้าดู แต่ยังไม่รับปากนะพ่อ" ผมตอบกลับไปก่อนจะวางสาย
       
       อาการอาพาธของหลวงพ่อมีให้เห็นตั้งแต่ตอนผมบวชแล้ว เพียงแต่มันกระเสาะกระแสะ ก็มีบ้างที่ต้องเข้าโรงพยาบาล หลังจากผมสึกออกมาก็มีโทรคุยกับแก๊งสามสหายบ้าง แต่ไม่เห็นมีใครเคยบอกผมเรื่องนี้
       
       รุ่งขึ้น ผมเข้าพบหัวหน้าเพื่อขอลางานกลับบ้าน ต้องใช้มารยาสาไถยร้อยเล่มเกวียนบวกกับการชักแม่น้ำทั้งห้าและแช่งชักหักกระดูกในใจ สุดท้ายก็สำเร็จผมลางานได้ครับ เมื่อทุกอย่างลงตัว เสื้อผ้าก็ลงกระเป๋าอย่างรวดเร็ว
       
       ผมใช้เวลาในการเดินทางกลับบ้านสองวันโดยการขึ้นรถไฟ  ขึ้นจากสุราษฯไปลงหัวลำโพง จากนั้นก็ต่อมาลงอุตรดิตถ์ ขอบอกเลยครับว่าการรถไฟมักมีความบันเทิงให้เราเพลิดเพลินกับการเดินทางเสมอ หากหลายคนที่ใช้วิธีเดินทางแบบนี้ประจำคงต้องคุ้นชินกับคำว่า 'รถเสียเวลา' จากที่ผมจะต้องถึงอุตรดิตถ์ตอนตีสี่ สรุปเก้าโมงเช้าผมยังนั่งซดมาม่าอยู่ที่สถานีพรหมพิรามอยู่เลย มันครับขอบอก มันเหนื่อย
       
       สิบเอ็ดโมงครึ่งผมก็ถึงที่หมาย พ่อมารอรับผมอยู่ก่อนแล้วพร้อมพวกหลวงพี่และเด็กวัดคู่ใจผู้ทรงอิทธิพล
       
       เวลาผ่านไปแค่สองปีหน่อย ๆ แต่ไอ้เต้กลับดูโตขึ้นอย่างผิดหูผิดตา มันยกมือไหว้ผมแล้วกล่าวทักทายยิ้มแป้น
       
       "สวัสดีครับหลวงพี่"
       
       นั่นประไรครับ ถึงมันจะดูโตขึ้นแค่ไหน มันก็ยังคงความกวนไว้แบบคงที่เสมอต้นเสมอปลาย
      
       "หลวงพี่หลวงเพ่อไรล่ะ มืงไม่เห็นเลยว่างั้น? ผมกูยาวดำดกปกไหล่ขนาดนี้ พระที่ไหนเค้ามัดผมหางม้ากันวะ"
       
       ผมพูดขึ้นเดินไปเขกกะโหลกมันเบา ๆ จากนั้นก็ดึงมันมาสวมกอดด้วยความคิดถึงเอ็นดู

       "พี่นิ่มจะอยู่อีกนานมั๊ยครับ?"
       
       ไอ้เต้ถาม ผมจะซึ้งมากครับถ้าประโยคคำถามของมันจะฟังดูปกติกว่านี้
       
       "มืงจะถามว่ากูได้ลากี่วันใช่มั๊ย? แต่ประโยคคำถามนี่มันชอบกลนะไอ้เต้" ผมพูดขึ้น ทุกคนพากันหัวเราะสนุกสนาน
       
       ใช้เวลาในการขับรถประมาณครึ่งชั่วโมงก็ถึงจุดหมายปลายทาง วัดที่ผมเคยบวช ถิ่นเก่าเหล่าเดิมเพิ่มเติมคือวิวัฒนาการของสถานที่
       
       เวลานี้มันเปลี่ยนแปลงไปมากจากครั้งล่าสุดที่ผมเห็น ก็มีบ้างนะครับที่ผมวีดีโอคอลคุยกับหลวงพี่เพ็ญ แต่ด้วยความที่ท่านเป็นคนไม่ใส่ใจกับการพัฒนาอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยี ภาพที่ผมเห็นผ่านกล้องมือถือของหลวงพี่เพ็ญจึงดูคล้ายกับว่าสถานที่แห่งนี้อยู่ท่ามกลางสายหมอกตลอดสามฤดูกาล ภาพมันมัวครับ เบลอจนไม่เห็นสิ่งใดชัดเจน
       
       อีกหนึ่งของความเปลี่ยนแปลงคือหลวงพ่อชอุ่มงดการเดินทางท่องโลกกว้างของท่าน เพราะเหตุผลเดียวที่มิอาจเลี้ยวหลบได้
       
       "โอย! จะไปธุดงค์ยังไงไหว แค่เดินจากกุฏิมาวิหารหัวเข่าก็ลั่นแบบไม่มีความเกรงใจแล้วทิดเอ้ย"
       
        หลวงพ่อชอุ่มตอบเมื่อผมเอ่ยแซวว่ารอบนี้อยู่ติดวัดได้ด้วยหรือ
       
       "เออใช่! เดี๋ยวเราต้องไปตัดใบตองมาทำบายศรีนิ ทิดนิ่มไปกับผมหน่อยได้มั๊ย" หลวงพี่บอลถามขึ้น
       
       บรรดาสามสหายธรรมบันดาล นอกจากจะมีความสามารถในการแหล่และเทศน์ที่ต้องเรียกว่าสามสหายเสียงทอง และยังมีความสามารถเรียกหาความสยองขวัญที่โดดเด่นไม่แพ้ไอ้เต้แล้ว พวกท่านยังมีความสามารถที่ในการทำบายศรีชนิดหาตัวจับยาก เรียกว่าฝีมือประณีตผิดกับบุคลิคอย่างสิ้นเชิง
       
       "ได้ดิหลวงพี่ เดี๋ยวผมช่วย" ผมตอบพลางถอดเสื้อยืดสีขาวออกเปลี่ยนเป็นสีดำแทน
       
       เราเดินทางไปดงกล้วยหลังโรงเรียนประจำหมู่บ้านซึ่งห่างจากตัววัดสามกิโลโดยประมาณ แน่นอนครับพาหนะครั้งนี้ก็หนีไม่พ้นซาเล้งพระธรรมอีกแล้วครับท่าน โดยครั้งนี้หลวงพี่บอลเป็นพลขับส่วนผมนั่งเป็นราชาสบายไปครับ
       
       การเดินทางเป็นไปอย่างราบรื่นดีอีกไม่กี่ร้อยเมตรเราก็จะถึงดงกล้วยเป้าหมายแต่แล้ว
       
      เคร้ง!! ปัง!! แถดๆๆๆๆ
      
      เบรกรถหักครับพี่น้องสายบุญทุกท่าน ด้วยความเก่าเก็บจนเกินเยียวยาของตัวรถ ทันทีที่หลวงพี่บอลแกเหยียบเบรคลงไปหวังให้รถชะรอความเร็ว ตัวเบรกที่สนิมกัดกร่อนจนเหลือเพียงครึ่งก้านก็มีอันหักลงทันที แถมเบรกมือก็ไม่มี บีบลงไปไร้ซึ่งแรงต้านใด ๆ
      
      หนำซ้ำยางยังแตกอีก ยางล้อหลังของตัวมอเตอร์ไซค์เกิดระเบิดขึ้นเสียงดังสนั่น ผมคาดว่าเกิดจากการที่เราบรรทุกน้ำหนักเกินเพราะผมสองคนรวมกันก็เกือบ ๆ สองร้อยกิโลแล้ว
      
      ด้วยความเร็วของรถที่พุ่งไปข้างหน้าแบบไร้แรงเฉื่อย แถมพลขับที่ผมฝากชีวิตน้อย ๆ ไว้ก็ดันแตกตื่นขวัญบิน มือไม้อ่อนยวบยาบไร้แรงที่จะเกาะเกี่ยวเหนี่ยวรั้งสิ่งใดไว้ได้ มันจึงเป็นเหตุให้รถส่ายไปมาอย่างรุนแรง
      
       "เฮ้ย! หลวงพี่บอล เกร็งแขนดิเกร็งแขน"
       
        ผมร้องตะโกนสุดเสียง ความจริงผมคิดว่าจะโดดลงรถเพื่อเอาตัวรอดแต่หันไปเจอหน้าหลวงพี่บอลที่บัดนี้ตาเหลือกหน้าซีดก็เกิดสงสาร ตอนมาเรามาด้วยกันจะทิ้งให้ท่านเผชิญโลกกว้างแต่เพียงลำพังก็ใช่ที่ แถมความเร็วขนาดนี้ผมที่เป็นแค่ไอ้ทิดผมยาวปกไหล่ไม่ใช่จอห์นวิค ถ้าโดดไปรับรองต้องม้วนหน้าไถท้องไปกับพื้นยางมะตอยแน่นอน
       
       ด้วยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแบบกระทันหัน ผมมองไปข้างหน้าเล็งหาสถานที่แลนดิ้งอันน่าจะปลอดภัยที่สุด ซ้ายมือห่างออกไปประมาณร้อยเมตรเป็นอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ของหมู่บ้านที่ไม่ลึกมาก ด้วยพื้นที่อ่างที่เขาตัดสโลปลงไปหาตรงกลาง ผมคิดว่าถ้าเราพารถพุ่งลงไปอย่างน้อยก็แค่เปียก หรืออาจมีบาดแผลถลอกนิดหน่อยพอรับได้
       
       ส่วนขวามือนั้นเล่าเป็นดงกล้วยเป้าหมาย ซึ่งต้นกล้วยแต่ละต้นขนาดเท่าเสาบ้าน ถ้าพุ่งเข้าไปรับรองมีร้องโอดโอยแน่นอนเพราะเราไม่ใช่บัวขาว ที่พอเจอต้นกล้วยก็สาดแข้งเข้าใส่จนย่อยยับ
       
       "หลวงพี่บอล!! หักซ้ายเลยมีอ่างเก็บน้ำอยู่ พุ่งลงไปเลยหลวงพี่เร็ว!!"
       
       ผมตะโกนบอกหลวงพี่บอล ในใจก็อาราธนานึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พยายามนึกให้ออกว่าหลวงพ่อองค์ใดหนอที่สามารถดำน้ำได้ โปรดมาช่วยลูกวัวลูกควายอย่างกระผมด้วยเถิด
       
       ในขณะที่ผมตั้งสติรอเวลาที่ร่างกายจะมุ่งเข้าปะทะกับสายวารีที่สงบนิ่งรอกินเหยื่ออยู่ ผมรู้สึกว่ามีอะไรแปลก ๆ เกิดขึ้น
       
       นึกภาพนะครับ โดยปกติบ้านเราจะขับรถชิดเลนซ้ายเพราะกฏมายบังคับ แต่ตอนนั้นจู่ ๆ ตัวซาเล้งที่ผมนั่งรอความตายด้วยใจระทึก จากแต่ก่อนที่มันเคยวิ่งฉิวอยู่ในเส้นขาวติดกับขอบถนน ผมสังเกตว่ามันค่อย ๆ เบี่ยงไปคร่อมเส้นขาวและออกไปด้านนอกอย่างรวดเร็ว แล้วมันก็คล่อมเส้นเหลืองอย่างรวดเร็วเช่นกัน
       
       "เห้ย! หลวงพี่ ซ้ายดิ!! ซ้าย ๆ หลวงพี่ซ้าย จารย์บ้อลลลลลลลล!!"
       
       ซวบ!!
       
       ครับตามนั้นเลย เหล่านางตานีผู้หิวโหยได้โซ้ยซาเล้งที่มีพระรูปร่างอวบอัดและไอ้ทิดรูปร่างไล่เลี่ยกันเข้าไป รับรองได้ว่านาง ๆ ทั้งหลายอิ่มแน่นอน
       
       ผมกับหลวงพี่บอลนอนแผ่หลารับชะตากรรมแห่งความเจ็บปวดอยู่ตรงนั้น ภาพความทรงจำเก่า ๆ ไหลเข้ามาในมโนสำนึก ภาพวันนั้นที่แยกป้าเปียก
       
       ผมเดาเอาว่าดงกล้วยหลังโรงเรียนคงได้ชื่อใหม่ว่า ดงกินรวบอย่างแน่นอน
       
       สรุปวันนั้นนอกจากเราทั้งคู่จะได้ใบตองปึกใหญ่จากต้นกล้วยที่โค่นเพราะแรงพุ่งชนของซาเล้งพระธรรม เรายังได้แผลติดตัวกลับไปเป็นของแถมอีกคนละนิดละหน่อย มิหนำซ้ำขากลับยังต้องจูงรถกลับอีกต่างหากสงสัยวันนี้พระจะต้องทำซาเล้งใหม่อีกแล้วล่ะครับ

       เกือบชั่วโมงที่ผมกับหลวงพี่บอลเดินเตาะแตะกลับวัด พอมาถึงข้างวิหารก็ต้องตกใจกับเสียงที่ดังลั่นออกมา
       
       "จับไว้!"
       
       "กรี๊ด!! ปล่อยกู!!"
       
       "ระวัง!"

(มีต่อนะครับ)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่