เกาะสร้างใหม่นี้เป็นหนึ่งใน 5 เกาะที่สร้างขึ้นด้วยตะกอนจากทะเลสาบน้ำจืด Markermeer
ส่วนอีก 4 เกาะ ขณะนี้อยู่ระหว่างกระบวนการปลูกพืชที่ไม่สามารถเข้าถึงได้ และมีไว้เพื่อประโยชน์ของสัตว์ป่าเท่านั้น
Cr.JOHN GUNDLACH - FLYING HOLLAND / NATUURMONUMENTEN
" Marker Wadden " เป็นเกาะที่มนุษย์สร้างขึ้นจาก 5 เกาะในจังหวัด Flevoland, เนเธอร์แลนด์ ริมทะเลสาบ Markermeer ซึ่งเป็นที่ตั้งของโครงการถมดินที่ทะเยอทะยานโครงการหนึ่งในยุโรปตะวันตก โดยจะเปลี่ยนทะเลสาบ Markermeer ที่เสื่อมโทรมทางระบบนิเวศให้กลายเป็นพื้นที่ที่มีชีวิตชีวา และอุดมไปด้วยชีวิตสัตว์และพืชผ่านการสร้างเกาะธรรมชาติ ภายใต้การดูแลขององค์กรไม่แสวงหาผลกำไรของเนเธอร์แลนด์ Natuurmonumenten (Dutch Society for Nature Conservation) ที่เป็นสมาชิกของ European Rewilding Network (ERN) มาตั้งแต่ปี 2017
ในขณะที่เมื่อ 5 ปีที่แล้วมันเป็นเพียงแค่ไอเดียบนกระดาษ แต่ปัจจุบัน Marker Wadden ได้ดึงดูดฝูงชนที่รักธรรมชาติ ด้วยการสร้างที่อยู่อาศัยใหม่และปรับปรุงคุณภาพน้ำ โดยเชื่อมโยงผู้คนกับธรรมชาติป่าและส่งเสริมความหลากหลายทางชีวภาพ ซึ่งปัจจุบันโครงการนี้เป็นหนึ่งในเรื่องราวการอนุรักษ์ที่น่าตื่นเต้นที่สุดของยุโรป และจะกลายเป็นส่วนเพิ่มเติมล่าสุดของแผนที่โลก ในรูปแบบที่ชาญฉลาดของการอนุรักษ์สัตว์ป่า
ทั้งนี้ Markermeer เป็นทะเลสาบน้ำจืดที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในยุโรปตะวันตกในอาณาเขต 700 ตารางกิโลเมตร มีความลึกระหว่าง 3 ถึง 5 เมตร และเคยเป็นส่วนหนึ่งของอ่าว Zuiderzee ซึ่งเป็นช่องน้ำเค็มของทะเลเหนือซึ่งถูกทำลายลงในปี 1932 ซึ่งในอดีตทะเลสาบแห่งนี้เป็นที่ตั้งของ Natura 2000 (เครือข่ายพื้นที่คุ้มครองธรรมชาติในดินแดนของสหภาพยุโรป) และเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ที่สำคัญพักผ่อนและหลบหนาวของนกหลายชนิด นอกจากนี้ ยังเป็นที่อยู่อาศัยของปลาและนกอีกหลากหลายสายพันธ์
Marker Wadden ถูกสร้างขึ้นด้วยที่ดินที่ยึดคืนจาก Markermeer (Cr. Mike MacEacheran)
ในภาพคือหอสังเกตการณ์รูปทรง Periscope
แต่ในช่วงสองสามทศวรรษที่ผ่านมา ความหลากหลายทางชีวภาพของ Markermeer ลดลงอย่างมาก เนื่องจากเขื่อนกั้นน้ำได้แยกตัวทะเลสาบออกไป ทำให้ตะกอนที่เคยพัดพาไปกับกระแสน้ำตกลงไปที่ก้นทะเลสาบ ทำให้น้ำขุ่น และส่งผลเสียต่อประชากรปลาและนก รวมทั้งพืช และหอย
จนในปี 2014 โครงการ Marker Wadden ได้เริ่มขึ้นโดยการสร้างเกาะ 5 เกาะในทะเลสาบ โดยใช้ตะกอนละเอียดจากก้นทะเลสาบเอง ซึ่งโครงการนี้
นอกจากจะเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยใหม่ที่มีคุณค่ามากมาย แต่ยังช่วยแก้ปัญหาการตกตะกอนโดยการเปลี่ยนพลวัตของน้ำ (water dynamics) และสร้างร่องที่ลึกขึ้นเพื่อให้ตะกอนสามารถหลุดออกมาได้ ทำให้คุณภาพน้ำดีขึ้น ส่งผลดีต่อนก ปลา และสัตว์ทะเลหน้าดิน (macrofaunaแมค) หลายชนิด เป็นการเพิ่มผลผลิตทางระบบนิเวศ
จากการสำรวจครั้งล่าสุด มีนกมากถึง 120 ชนิดที่มาถึงที่นี่ เช่น ห่าน, นกนางนวล, เป็ดทะเล eider, นกกาน้ำ, นกชายเลน waders, นกช้อนหอย และ
นกนางนวลทั่วไปที่มากกว่า 2,200 ตัว โดยปัจจุบัน มีอาณานิคมของนก pink-tinged avocets (นกชายฝั่ง) ที่แต่งแต้มด้วยสีชมพู เป็นแหล่งที่ใหญ่ที่สุดในเนเธอร์แลนด์
นอกจากนั้น ยังได้ยินเสียงของ Sand martin นกประจำถิ่นที่ดังก้องไปทั่วทางเดินริมทะเล และค้างคาว (สี่ประเภทที่แตกต่างกัน), แมลง รวมถึงพืช 170 ชนิดที่แตกต่างกัน สิ่งเหล่านี้เป็นความสำเร็จที่ไม่เคยมีมาก่อนในการสร้างจากภูมิทัศน์ที่ถูกทอดทิ้ง จนถึงขณะนี้สมบูรณ์อย่างมาก
จากการนับครั้งล่าสุดมีนกถึง 120 ชนิดมาถึง Marker Wadden (Cr. Mike MacEacheran)
โดยเกาะ 'Haveneiland' ที่เพิ่งเปิดใหม่เมื่อเดือนกันยายน 2018 หนึ่งในห้าแห่งที่สร้างขึ้นใน Markermeer เป็นเกาะเดียวที่สามารถเข้าถึงได้โดยสาธารณะ ส่วนอีก4 เกาะอยู่ระหว่างขั้นตอนการปลูกพืชเพื่อประโยชน์ของสัตว์ป่าเท่านั้น ซึ่งการเดินทางไปเกาะนั้นโดยเรือเฟอร์รี่เช่าเหมาลำสัปดาห์ละสอง-สามครั้ง นอกจากนี้ ยังมีชายหาดที่อยู่ถัดจากท่าจอดเรือ สำหรับผู้มาเยือนและผู้รักธรรมชาติที่ชอบออกกำลังกายด้วย
อย่างไรก็ตาม Natuurmonumenten ระบุว่า รูปลักษณ์ใหม่ที่กำลังจะมาถึงในทศวรรษหน้าใน Markermeer ที่จะได้เห็นสิ่งใหม่ๆที่น่าสนใจใน Toekomstbeeld 2030 ซึ่งเป็นโครงการที่รวมถึงการสร้างหมู่เกาะที่สองบนฝั่งใต้ลมของ Marker Wadden และคาบสมุทรเทียมใกล้ Lelystad ซึ่งเป็นเมืองหลวงของจังหวัด Flevoland
ทั้งนี้ ในอนาคตเมื่อสร้างเสร็จทั้งสี่ของเกาะ อาจจะมีกระท่อมสไตล์ชนบทที่สามารถเข้าถึงได้โดยสาธารณะสำหรับอาสาสมัครและผู้มาเยือน (เพื่อช่วยค่าใช้จ่ายต่อเนื่อง) รวมทั้งห้องปฏิบัติการและศูนย์วิจัยส่วนกลาง (สำหรับการตรวจสอบการเคลื่อนที่ของแผ่นดิน) ซึ่งทำงานโดยใช้พลังงานแสงอาทิตย์ และน้ำทะเลที่ผ่านการกลั่นแล้ว โดยเปิดโอกาสให้ผู้เดินทางมาเยี่ยมเยียนและชาวบ้านได้มีโอกาสเชื่อมต่อกับธรรมชาติที่พวกเขาเกือบจะสูญเสียไปอีกครั้ง
สะพานแห่งหนึ่งบน Marker Wadden
สวรรค์ของนกหลากหลายชนิดและต่างสายพันธ์
พื้นที่พิเศษ Marker Wadden ยังอยู่ในขั้นตอนการพัฒนา หมู่เกาะนี้สร้างขึ้นจากทรายดินเหนียวและตะกอนที่ขุดจากทะเลสาบ Markermeer
จุดมุ่งหมายคือการมีส่วนร่วมในการกระตุ้นและฟื้นฟูธรรมชาติในทะเลสาป Markermeer เพื่อเป็นสวรรค์แห่งธรรมชาติแห่งใหม่สำหรับปลาและนก นอกจากนี้ ยังจะกลายเป็นเกาะที่ยอดเยี่ยมสำหรับการแสวงหาความบันเทิง
กระท่อมดูนกบน Marker Wadden - Cr.Photo Soemini Kasanmoentalib
(ขอขอบคุณที่มาของข้อมูลทั้งหมดและขออนุญาตนำมา)
" De Marker Wadden " เกาะห้าเกาะที่สร้างขึ้นด้วยมือมนุษย์เพื่อการฟื้นฟูธรรมชาติที่ใหญ่ที่สุด
Cr.JOHN GUNDLACH - FLYING HOLLAND / NATUURMONUMENTEN
จนในปี 2014 โครงการ Marker Wadden ได้เริ่มขึ้นโดยการสร้างเกาะ 5 เกาะในทะเลสาบ โดยใช้ตะกอนละเอียดจากก้นทะเลสาบเอง ซึ่งโครงการนี้
นอกจากจะเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยใหม่ที่มีคุณค่ามากมาย แต่ยังช่วยแก้ปัญหาการตกตะกอนโดยการเปลี่ยนพลวัตของน้ำ (water dynamics) และสร้างร่องที่ลึกขึ้นเพื่อให้ตะกอนสามารถหลุดออกมาได้ ทำให้คุณภาพน้ำดีขึ้น ส่งผลดีต่อนก ปลา และสัตว์ทะเลหน้าดิน (macrofaunaแมค) หลายชนิด เป็นการเพิ่มผลผลิตทางระบบนิเวศ
จากการสำรวจครั้งล่าสุด มีนกมากถึง 120 ชนิดที่มาถึงที่นี่ เช่น ห่าน, นกนางนวล, เป็ดทะเล eider, นกกาน้ำ, นกชายเลน waders, นกช้อนหอย และ
นกนางนวลทั่วไปที่มากกว่า 2,200 ตัว โดยปัจจุบัน มีอาณานิคมของนก pink-tinged avocets (นกชายฝั่ง) ที่แต่งแต้มด้วยสีชมพู เป็นแหล่งที่ใหญ่ที่สุดในเนเธอร์แลนด์
นอกจากนั้น ยังได้ยินเสียงของ Sand martin นกประจำถิ่นที่ดังก้องไปทั่วทางเดินริมทะเล และค้างคาว (สี่ประเภทที่แตกต่างกัน), แมลง รวมถึงพืช 170 ชนิดที่แตกต่างกัน สิ่งเหล่านี้เป็นความสำเร็จที่ไม่เคยมีมาก่อนในการสร้างจากภูมิทัศน์ที่ถูกทอดทิ้ง จนถึงขณะนี้สมบูรณ์อย่างมาก
อย่างไรก็ตาม Natuurmonumenten ระบุว่า รูปลักษณ์ใหม่ที่กำลังจะมาถึงในทศวรรษหน้าใน Markermeer ที่จะได้เห็นสิ่งใหม่ๆที่น่าสนใจใน Toekomstbeeld 2030 ซึ่งเป็นโครงการที่รวมถึงการสร้างหมู่เกาะที่สองบนฝั่งใต้ลมของ Marker Wadden และคาบสมุทรเทียมใกล้ Lelystad ซึ่งเป็นเมืองหลวงของจังหวัด Flevoland
ทั้งนี้ ในอนาคตเมื่อสร้างเสร็จทั้งสี่ของเกาะ อาจจะมีกระท่อมสไตล์ชนบทที่สามารถเข้าถึงได้โดยสาธารณะสำหรับอาสาสมัครและผู้มาเยือน (เพื่อช่วยค่าใช้จ่ายต่อเนื่อง) รวมทั้งห้องปฏิบัติการและศูนย์วิจัยส่วนกลาง (สำหรับการตรวจสอบการเคลื่อนที่ของแผ่นดิน) ซึ่งทำงานโดยใช้พลังงานแสงอาทิตย์ และน้ำทะเลที่ผ่านการกลั่นแล้ว โดยเปิดโอกาสให้ผู้เดินทางมาเยี่ยมเยียนและชาวบ้านได้มีโอกาสเชื่อมต่อกับธรรมชาติที่พวกเขาเกือบจะสูญเสียไปอีกครั้ง
Cr.https://boskalis.com/sustainability/cases/marker-wadden.html