กระทู้นี้จะเล่าประสบการณ์ของลูก (คุณแม่เจ้าของกระทู้เอง) ที่ต้องดูแลคุณพ่ออายุ 90 ปี (คุณตาเจ้าของกระทู้เอง) ที่เป็น "คนป่วย" โดยคุณแม่จะไลน์มาเล่าเรื่องที่เจอ วิธีการที่ค้นพบโดยบังเอิญ ในการดูแลคุณตาในแต่ละวัน และคุณแม่บอกว่าอยากเขียนบทความให้คนอ่านเพื่อแชร์ประสบการณ์ในการดูแลคนป่วย เจ้าของกระทู้ก็เลยรวบรวมสิ่งที่คุณแม่เขียนมาตั้งกระตู้พันทิปให้ซะเลย
ตอนที่ 1 คนแก่ล้ม
*ฉันขอใช้คำว่า “คนแก่” นะ ฟังง่ายๆดี*
------คนแก่ระวังดีๆ นะดูแลอย่าให้ล้ม ----- ได้ยินบ่อยมากทั้งจากคนทั่วๆ ไปทั้งจากคุณหมอ ฟังแล้วก็รู้ว่าล้มแล้วจะไม่ดีแต่เนื่องจากคนแก่ที่พูดถึงนี้เป็นคนขยันชอบทำอะไรด้วยตัวเอง ไม่ชอบให้ใครมายุ่งวุ่นวาย ลูกๆ จึงไม่ค่อยใส่ใจระมัดระวังเท่าที่ควร
และแล้ววันนั้นก็มาถึง “คุณตาล้ม ลุกไม่ขึ้น ต้องไปโรงพยาบาล เร็ว!” เมื่อถึงโรงพยาบาลหมอให้คุณตาเอกซเรย์ที่บริเวณสะเอวตามอาการที่ญาติบอก พบว่าเส้นเอ็นอักเสบ หมอก็ให้ยาแล้วให้กลับบ้านได้ แต่คุณตายังลุกไม่ได้ สองวันต่อมาขาข้างขวาบวม ปัสาวะไหลเองตลอดเวลา ท้องโตและเจ็บดูแล้วไม่ดีแน่ลูกๆ จึงพาไปโรงพยาบาลอีกครั้ง
หมอรับเข้าห้องฉุกเฉินตรวจแล้วมีอาการปัสาวะเป็นหนองเป็นอาการติดเชื้อ ขาบวมหมอสั่งให้เอกซเรย์ใหม่พบว่ากระดูกสะโพกหัก ต้องรักษาอาการติดเชื้อ เมื่อดีขึ้นต้องผ่าตัดเปลี่ยนสะโพกเทียม หมอให้ญาติตัดสินใจเรื่องการผ่าตัดเพราะคุณตาอายุ 90 ปีแล้ว พวกเราตกลงให้ผ่าดีกว่าปล่อยให้เจ็บปวด แต่ช่วงนั้นเป็นช่วงปลายเดือนธันวาคมติดวันหยุดยาว สะโพกเทียมจะมาส่งอีกครั้งหลังปีใหม่ คุณตาจึงต้องนอนโรงพยาบาลนานเพื่อรอสะโพกเทียมและสถานการณ์โควิดที่ไม่สู้ดีนัก ทางโรงพยาบาลจึงห้ามญาติเฝ้าแต่อนุญาตให้มาส่งอาหารได้
หลังการผ่าตัดความเจ็บปวดลดลงเหลือเจ็บแผลหมอให้นอนพักรักษาอีก 10 วัน เพื่อรักษาแผลผ่าตัดและญาติต้องฝึกสวนปัสสาวะแล้วจึงให้กลับไปพักที่บ้าน
*********************ตอนอยู่ที่บ้านนี่แหละที่อยากบอกให้รู้หลายๆ อย่างเกี่ยวกับการดูแลคนป่วยที่มีอาการแแบบนี้***************************
ตอนที่ 2 คนไข้กลับบ้าน
เป็นเรื่องที่ฉันอยากบอก อยากเล่าให้ทุกคนรู้ เมื่อคนไข้ที่ผ่าตัดใส่สะโพกเทียมกลับมาพักฟื้นที่บ้าน อาการของคนไข้ที่เพิ่งออกจากโรงพยาบาลส่วนใหญ่คือ ยังเดินไม่ได้ ลุกนั่งเองไม่ได้ และมีที่มากกว่านั้นคือปัสสาวะเองไม่ได้ ควบคุมระบบขับถ่ายอุจจาระไม่ได้ (ทั้งหมดนั้นคืออาการของคุณตา)
อาการของคนไข้ที่เล่าให้ฟังข้างต้นนั้น มีความจำเป็นอย่างมากที่ทางโรงพยาบาลจะต้องเตรียมญาติให้รู้วิธีและสามารถดูแลคนไข้ได้ ดังนั้นฉันและน้องๆจึงได้เรียนวิธีสวนปัสสาวะตามขั้นตอนที่ถูกต้องและระมัดระวังการติดเชื้ออย่างเคร่งครัด ส่วนการทำความสะอาดร่างกายของคนไข้ เป็นเรื่องที่คนดูแลต้องเรียนรู้เพื่อดูแลคนไข้ให้สะอาดที่สุด และฉันก็เก่ง

คือสามารถสวนปัสสาวะ (เรื่องนี้ยากมาก) และการดูแลความสะอาดร่างกายคนไข้ได้ดี เมื่อเรียนทฤษฎีได้ดีแล้วต่อไปก็เป็นเรื่องการปฏิบัติ ซึ่งจะเล่าต่อไปในตอนที่ 3 การดูแลคนไข้ที่บ้าน
ตอนที่ 3 การดูแลคนไข้ที่บ้าน
เมื่อคนไข้อยู่ที่โรงพยาบาลอยู่ในการดูแลของคุณหมอและพยาบาล ญาติจะยังไม่รู้และเข้าใจอาการของคนไข้ดีนักจึงเป็นระยะที่น่าจะเครียดทั้งคนไข้และคนดูแล ซึ่งเราลืมที่จะสังเกตอารมณ์ของคนไข้ ที่น่าจะจำเป็นพอๆ กับการสังเกตอาการของร่างกาย
วันแรกๆ ที่คุณตากลับมาพักที่บ้าน คุณตามีอาการที่ขอเรียกว่า “วุ่นวาย” มากเวลากลางคืน วุ่นวายที่ว่า เช่น จะให้พาไปห้องน้ำ, ให้พาไปค้นหาข้าวของในห้องต่างๆ, อยากลงจากเตียงทั้งๆ ที่ยังลุกนั่งยังไม่ได้ เมื่อไม่ได้ดังใจก็หงุดหงิดไม่นอนทั้งคืน เราต้องเปลี่ยนกันเฝ้าดูแล ผ่านไปหลายวันจึงเริ่มเข้าใจอาการว่าสาเหตุของการที่คนไข้หงุดหงิด วุ่นวาย คงมาจากความไม่สบายกายจากการขับถ่ายแล้วไม่ได้เช็ดล้างให้ทันที เพราะอาการอย่างหนึ่งที่ต้องดูแลเป็นพิเศษคือคุณตาขับถ่ายไม่ปกติจะถ่ายออกมาเกือบตลอดเวลา (ซึ่งเป็นมากก่อนที่จะล้ม) เราจึงเช็ดทำความสะอาดเป็นครั้งคราวที่พบว่ามีกลิ่นไม่สะอาด
เมื่อรู้สาเหตุจึงเฝ้าดูอาการ เมื่อคุณตาเริ่มมีอาการหงุดหงิดจะรีบเช็ดทำความสะอาดให้ ท่านก็จะรู้สึกสะอาดและสบายตัวแล้วก็พบว่าการดูแลมาถูกทางแล้วเริ่มสบายง่ายขึ้นในการดูแล
ตอนที่ 4 การเช็ดล้างทำความสะอาดให้คนไข้
คนไข้ติดเตียงต้องขับถ่ายบนเตียง แรกๆ พวกเราพี่น้องที่ช่วยกันดูแลนั้นทำอะไรไม่ถูก ก็ใส่แพมเพิสตามๆ เขาพอถ่ายก็เปลี่ยน กรณีคุณตาจะถ่ายบ่อยมากเหมือนถ่ายไม่สุดในแต่ละครั้ง วันนึงถ่ายอยู่ 5-6 ครั้ง ประมาณ 4 ชั่วโมงถ่ายครั้งหนึ่ง กลับบ้านมาแรกๆ เราไม่รู้ อย่างที่บอกก่อนนี้ว่าจะแสดงอาการหงุดหงิด คนดูแลเริ่มจับทางได้รู้แล้วว่าถ้าหงุดหงิดคือถ่ายหนัก จึงพอประมาณเวลาถ่ายได้
มาเข้าเรื่องการเช็ดทำความสะอาด ตอนแรกก็ใช้กระดาษชำระทั้งชนิดแห้งและเปียก แต่พบว่าไม่สะอาดพอแต่แบบแห้งทำให้เกิดการระคายเคืองเจ็บด้วยแล้วต้องเช็ดวันละหลายครั้ง จึงเปลี่ยนมาใช้ผ้าชุบน้ำเช็ด ก็ยังไม่สะอาดพอและระคายเคืองผิว ต่อมาได้คำแนะนำจากผู้ที่เป็นริเสีดวงทวารว่าสิ่งที่เอามาเช็ดและทำร้ายคนไฃ้มากคือกระดาษชำระแห้ง ดีขึ้นคือกระดาษชำระเปียก ส่วนผ้านิ่มๆ ชุบน้ำก็ดีมาก แต่เปลืองเพราะเช็ดแล้วทิ้งคำแนะนำที่ให้มาดีมากคือสำลีชุบน้ำเช็ดจนสะอาดแล้วใช้ผ้าแห้งนิ่มๆ เช็ดตอนสุดท้าย ซึ่งนำผ้านี้ซักฆ่าเชื้อใช้ได้หลายครั้ง ฉันจึงทำตามนั้น คือใช้สำลีหนากว้างพอประมาณชุบน้ำหมาดน้อย หมาดมากตามต้องการ สะอาดแล้วก็เช็ดแห้งด้วยผ้านุ่ม เป็นอันเสร็จเรียบร้อยในการถ่ายหนึ่งครั้ง
>>>>>>>>>>>>เนื้อหามันดูเยิ่นเย้อนะ แต่ฉันอยากเล่าเพื่อแชร์ประสบการณ์ เข้ามาอ่านแล้วก็อดทนนะ<<<<<<<<<<<<<<
*** ขอกลับไปเล่าเรื่องการขับถ่ายของคนไข้อีกนะ เป็นปัญหาหนักหนาสาหัสทั้งคนไข้ทั้งคนดูแลเลยหล่ะ
ตอนที่ 5 ขับถ่าย
พอคุนตากลับจากโรงพยาบาลมาพักที่บ้าน แรกๆ 2-3 วันถ่ายทีหนึ่งวันไหนถ่ายคือถ่ายทั้งวันตามที่เล่ามาแล้ว การไม่ถ่ายทุกวันเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้คุณตาหงุดหงิด จนบางครั้งคุณหาทางลงจากเตียงเองแบบไถลลงเมื่อคนดูแลเผอล ซึ่งอันตรายมาก! พอถ่ายก็ถ่ายแบบออกไม่หมด เดี๋ยถ่าย เดี๋ยวถ่าย เช็ดจนตูดเจ็บไปหมดนั่นแหล่ะ
ดังนั้นคุณพยาบาลจำเป็นทั้งหลายก็ตั้งข้อสังเกตเรื่องการขับถ่ายว่ายังไงนะ ไม่ถ่าย พอถ่ายก็บ่อยจนเช็ดล้างจะไม่ไหวจึงมีการดูที่รูขับถ่าย จึงพบว่ามันมีอึอุดอยู่ ก็เลยรอให้คุณตาเบ่งก้อนนั้นออกมา มันไม่ยอมออกมองเห็นตอนเบ่ง
เมื่อเบ่งเองไม่ออก จึงจำเป็นต้องช่วยด้วยการล้วงควักออกมา ซึ่งมันแข็งมากจนคนไข้ร้องเจ็บและด่าพวกตั้งตัวเป็นพยาบาลทั้งหลาย และแล้วก็สำเร็จ ควักออกได้หมดคงเป็นที่สบายของคนไข้มากอยู่และสบายพยาบาลด้วยเพราะเว้นระยะการขับถ่ายห่างขึ้นมากเป็นเช้า - เย็น ไม่ถ่ายทั้งวันแล้ว
ตอนนี้ก็ผ่านมาหลายเดือนแล้วหลังจากการผ่าตัดเปลี่ยนสะโพกเทียม คุณตาเริ่มเดินเองได้โดยใช้วอคเกอร์ 4 ขา ช่วยพยุง และทำกายภาพบำบัดอยู่เสมอ และยังดื้อเหมือนเดิม ลูกๆ ก็ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันไปดูแล บางครั้งผู้ดูแลก็รู้สึกหงุดหงิด บางเรื่องก็ขำ แต่ก็ต้องเข้าใจคนแก่ที่เคยทำอะไรได้ด้วยตัวเองแต่ตอนนี้ต้องพึ่งคนอื่นเป็นส่วนใหญ่ก็หงุดหงิดใจเป็นธรรมดา

ขอบคุณทุกท่านที่อ่านมาถึงตรงนี้ ถ้ามีอะไรแนะนำในการดูแลคนป่วยก็แลกเปลี่ยนกันได้เลยนะคะ
และถ้าคุณแม่เจ้าของกระทู้มีเรื่องเล่า หรือมีทริคอะไรมาแบ่งปัน จะมาอัพเดตให้อ่านกันอีกค่ะ
(คุณผู้อ่านทุกท่านคอมเม้นต์ให้กำลังใจผู้ดูแลคนป่วยได้เลยนะคะ จะส่งให้คุณแม่อ่านแน่อนค่ะ)
เมื่อฉันต้องดูแลคนป่วย
ตอนที่ 1 คนแก่ล้ม
หมอรับเข้าห้องฉุกเฉินตรวจแล้วมีอาการปัสาวะเป็นหนองเป็นอาการติดเชื้อ ขาบวมหมอสั่งให้เอกซเรย์ใหม่พบว่ากระดูกสะโพกหัก ต้องรักษาอาการติดเชื้อ เมื่อดีขึ้นต้องผ่าตัดเปลี่ยนสะโพกเทียม หมอให้ญาติตัดสินใจเรื่องการผ่าตัดเพราะคุณตาอายุ 90 ปีแล้ว พวกเราตกลงให้ผ่าดีกว่าปล่อยให้เจ็บปวด แต่ช่วงนั้นเป็นช่วงปลายเดือนธันวาคมติดวันหยุดยาว สะโพกเทียมจะมาส่งอีกครั้งหลังปีใหม่ คุณตาจึงต้องนอนโรงพยาบาลนานเพื่อรอสะโพกเทียมและสถานการณ์โควิดที่ไม่สู้ดีนัก ทางโรงพยาบาลจึงห้ามญาติเฝ้าแต่อนุญาตให้มาส่งอาหารได้
*********************ตอนอยู่ที่บ้านนี่แหละที่อยากบอกให้รู้หลายๆ อย่างเกี่ยวกับการดูแลคนป่วยที่มีอาการแแบบนี้***************************
อาการของคนไข้ที่เล่าให้ฟังข้างต้นนั้น มีความจำเป็นอย่างมากที่ทางโรงพยาบาลจะต้องเตรียมญาติให้รู้วิธีและสามารถดูแลคนไข้ได้ ดังนั้นฉันและน้องๆจึงได้เรียนวิธีสวนปัสสาวะตามขั้นตอนที่ถูกต้องและระมัดระวังการติดเชื้ออย่างเคร่งครัด ส่วนการทำความสะอาดร่างกายของคนไข้ เป็นเรื่องที่คนดูแลต้องเรียนรู้เพื่อดูแลคนไข้ให้สะอาดที่สุด และฉันก็เก่ง
ตอนที่ 3 การดูแลคนไข้ที่บ้าน
เมื่อคนไข้อยู่ที่โรงพยาบาลอยู่ในการดูแลของคุณหมอและพยาบาล ญาติจะยังไม่รู้และเข้าใจอาการของคนไข้ดีนักจึงเป็นระยะที่น่าจะเครียดทั้งคนไข้และคนดูแล ซึ่งเราลืมที่จะสังเกตอารมณ์ของคนไข้ ที่น่าจะจำเป็นพอๆ กับการสังเกตอาการของร่างกาย
วันแรกๆ ที่คุณตากลับมาพักที่บ้าน คุณตามีอาการที่ขอเรียกว่า “วุ่นวาย” มากเวลากลางคืน วุ่นวายที่ว่า เช่น จะให้พาไปห้องน้ำ, ให้พาไปค้นหาข้าวของในห้องต่างๆ, อยากลงจากเตียงทั้งๆ ที่ยังลุกนั่งยังไม่ได้ เมื่อไม่ได้ดังใจก็หงุดหงิดไม่นอนทั้งคืน เราต้องเปลี่ยนกันเฝ้าดูแล ผ่านไปหลายวันจึงเริ่มเข้าใจอาการว่าสาเหตุของการที่คนไข้หงุดหงิด วุ่นวาย คงมาจากความไม่สบายกายจากการขับถ่ายแล้วไม่ได้เช็ดล้างให้ทันที เพราะอาการอย่างหนึ่งที่ต้องดูแลเป็นพิเศษคือคุณตาขับถ่ายไม่ปกติจะถ่ายออกมาเกือบตลอดเวลา (ซึ่งเป็นมากก่อนที่จะล้ม) เราจึงเช็ดทำความสะอาดเป็นครั้งคราวที่พบว่ามีกลิ่นไม่สะอาด
เมื่อรู้สาเหตุจึงเฝ้าดูอาการ เมื่อคุณตาเริ่มมีอาการหงุดหงิดจะรีบเช็ดทำความสะอาดให้ ท่านก็จะรู้สึกสะอาดและสบายตัวแล้วก็พบว่าการดูแลมาถูกทางแล้วเริ่มสบายง่ายขึ้นในการดูแล
มาเข้าเรื่องการเช็ดทำความสะอาด ตอนแรกก็ใช้กระดาษชำระทั้งชนิดแห้งและเปียก แต่พบว่าไม่สะอาดพอแต่แบบแห้งทำให้เกิดการระคายเคืองเจ็บด้วยแล้วต้องเช็ดวันละหลายครั้ง จึงเปลี่ยนมาใช้ผ้าชุบน้ำเช็ด ก็ยังไม่สะอาดพอและระคายเคืองผิว ต่อมาได้คำแนะนำจากผู้ที่เป็นริเสีดวงทวารว่าสิ่งที่เอามาเช็ดและทำร้ายคนไฃ้มากคือกระดาษชำระแห้ง ดีขึ้นคือกระดาษชำระเปียก ส่วนผ้านิ่มๆ ชุบน้ำก็ดีมาก แต่เปลืองเพราะเช็ดแล้วทิ้งคำแนะนำที่ให้มาดีมากคือสำลีชุบน้ำเช็ดจนสะอาดแล้วใช้ผ้าแห้งนิ่มๆ เช็ดตอนสุดท้าย ซึ่งนำผ้านี้ซักฆ่าเชื้อใช้ได้หลายครั้ง ฉันจึงทำตามนั้น คือใช้สำลีหนากว้างพอประมาณชุบน้ำหมาดน้อย หมาดมากตามต้องการ สะอาดแล้วก็เช็ดแห้งด้วยผ้านุ่ม เป็นอันเสร็จเรียบร้อยในการถ่ายหนึ่งครั้ง
>>>>>>>>>>>>เนื้อหามันดูเยิ่นเย้อนะ แต่ฉันอยากเล่าเพื่อแชร์ประสบการณ์ เข้ามาอ่านแล้วก็อดทนนะ<<<<<<<<<<<<<<
*** ขอกลับไปเล่าเรื่องการขับถ่ายของคนไข้อีกนะ เป็นปัญหาหนักหนาสาหัสทั้งคนไข้ทั้งคนดูแลเลยหล่ะ
ตอนที่ 5 ขับถ่าย
พอคุนตากลับจากโรงพยาบาลมาพักที่บ้าน แรกๆ 2-3 วันถ่ายทีหนึ่งวันไหนถ่ายคือถ่ายทั้งวันตามที่เล่ามาแล้ว การไม่ถ่ายทุกวันเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้คุณตาหงุดหงิด จนบางครั้งคุณหาทางลงจากเตียงเองแบบไถลลงเมื่อคนดูแลเผอล ซึ่งอันตรายมาก! พอถ่ายก็ถ่ายแบบออกไม่หมด เดี๋ยถ่าย เดี๋ยวถ่าย เช็ดจนตูดเจ็บไปหมดนั่นแหล่ะ
ดังนั้นคุณพยาบาลจำเป็นทั้งหลายก็ตั้งข้อสังเกตเรื่องการขับถ่ายว่ายังไงนะ ไม่ถ่าย พอถ่ายก็บ่อยจนเช็ดล้างจะไม่ไหวจึงมีการดูที่รูขับถ่าย จึงพบว่ามันมีอึอุดอยู่ ก็เลยรอให้คุณตาเบ่งก้อนนั้นออกมา มันไม่ยอมออกมองเห็นตอนเบ่ง
เมื่อเบ่งเองไม่ออก จึงจำเป็นต้องช่วยด้วยการล้วงควักออกมา ซึ่งมันแข็งมากจนคนไข้ร้องเจ็บและด่าพวกตั้งตัวเป็นพยาบาลทั้งหลาย และแล้วก็สำเร็จ ควักออกได้หมดคงเป็นที่สบายของคนไข้มากอยู่และสบายพยาบาลด้วยเพราะเว้นระยะการขับถ่ายห่างขึ้นมากเป็นเช้า - เย็น ไม่ถ่ายทั้งวันแล้ว
ตอนนี้ก็ผ่านมาหลายเดือนแล้วหลังจากการผ่าตัดเปลี่ยนสะโพกเทียม คุณตาเริ่มเดินเองได้โดยใช้วอคเกอร์ 4 ขา ช่วยพยุง และทำกายภาพบำบัดอยู่เสมอ และยังดื้อเหมือนเดิม ลูกๆ ก็ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันไปดูแล บางครั้งผู้ดูแลก็รู้สึกหงุดหงิด บางเรื่องก็ขำ แต่ก็ต้องเข้าใจคนแก่ที่เคยทำอะไรได้ด้วยตัวเองแต่ตอนนี้ต้องพึ่งคนอื่นเป็นส่วนใหญ่ก็หงุดหงิดใจเป็นธรรมดา
และถ้าคุณแม่เจ้าของกระทู้มีเรื่องเล่า หรือมีทริคอะไรมาแบ่งปัน จะมาอัพเดตให้อ่านกันอีกค่ะ
(คุณผู้อ่านทุกท่านคอมเม้นต์ให้กำลังใจผู้ดูแลคนป่วยได้เลยนะคะ จะส่งให้คุณแม่อ่านแน่อนค่ะ)