เราตัดสินใจแบบนี้ถูกไหม ปัญหาครอบครัว

สวัสดีค่ะ เป็นกระทู้แรกที่เราเขียนใน pantip ตอนนี้เราเครียดและกังวลมากกับปัญหาครอบครัว (คุณพ่อ) ที่เราเจออยู่ในปัจจุบัน ไม่รู้จะหาทางออกที่ดีที่สุดกับเรื่องนี้ยังไงดี
ก่อนอื่นเราต้องขอเล่าก่อนว่า เราเป็นลูกคนเดียวของพ่อและแม่ พ่อแม่เรามีลูกตอนอายุมากแล้วทั้งคู่ ตั้งแต่เราเกิดมาจนประถม 3 ครอบครัวเราอบอุ่นมาก เป็นครอบครัวขนาดใหญ่ พ่อ แม่ เรา ครอบครัวแม่เรา (แม่เราพาครอบครัวของแม่ พี่ชายและหลานๆมาอยู่ในบ้านพ่อเรา ซึ่งพ่อเราไม่ติดปัญหาอะไร และมีความสุขที่ครอบครัวเฮฮา ตกเย็นนั่งกินข้าว ดูทีวี ออกไปเที่ยวแบบครอบครัวใหญ่) คุณพ่อเราทำงานรัฐวิสาหกิจ หน้าที่การงานดี คุณแม่เราทำธุรกิจส่วนตัวเล็กๆน้อยๆ   เราถูกเลี้ยงดูมาอย่างดี พ่อแม่เอาใจใส่ไปรับส่งเราเรียนหนังสือ เรียนพิเศษ จนกว่าทั่ง ตอนเราขึ้นประถม 4 พ่อเรามีผู้หญิงคนอื่น (เพิ่งมารู้จากแม่ทีหลังว่าพ่อเราเจ้าชู้มาก) แต่ด้วยความที่เรายังเด็กเราเห็นและจดจำแต่สิ่งที่พ่อทำให้เรา รับส่งเราไปเรียน ไปเฝ้าเราเรียนพิเศษทุกวันหยุด จนเรานึกภาพไม่ออกเลยว่า ทำไมพ่อเราถึงทำแบบนี้ เราค่อนข้างสนิทกับพ่อมาก หลังจากนั้นครอบครัวของเราเริ่มเปลี่ยนไป  แม่เราแยกทางกับพ่อ แม่เราย้ายไปอยู่อีกบ้านหนึ่งซึ่งแม่เราแอบซื้อเก็บไว้ เราจำคำถามของแม่ตอนช่วงที่แม่จะเก็บของออกจากบ้านได้ดี จะไปอยู่กับแม่ไหมลูก ด้วยความที่เราสนิทกับพ่อบวกกับโรงเรียนที่เราเรียนอยู่ก็ใกล้บ้านมาก เราเลยตัดสินใจอยู่กับพ่อ แต่แม่เราก็ยังคงมาทำธุรกิจ(หน้าร้าน)อยู่แถวบ้านคุณพ่อ เมื่อแม่แยกบ้านกับพ่อทำให้พี่น้องแม่ หลานๆ ก็ย้ายออกตาม ทำให้ทั้งบ้านเหลือแค่เราและพ่อ กิจวัตรประจำวันของเราในแต่ละวันพ่อจะพาเราไปส่งที่หน้าร้านของแม่ เพื่อทานข้าว ถักผม พาเราไปส่งและรับกลับจากโรงเรียน ทำแบบนี้อยู่หลายปีจนเราจบประถม 6 จนกระทั่งเราสอบเข้าโรงเรียนมัธยม ตอนนั้น เราคิดอยู่ว่าถ้าเราสอบติดโรงเรียนดีๆ เราหวังในใจเล็กๆอยากให้ครอบครัวเรากลับมาอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันแบบเดิม เราตั้งใจสอบ จนเราสามารถสอบติดโรงเรียนมัธยม 1 ใน5 ของประเทศไทย เราดีใจมาก ไปขอร้องแม่ให้กลับมาอยู่ด้วยกัน แต่แม่เราก็ไม่สามารถกลับมาอยู่ด้วยกันได้ และอธิบายเหตุผลให้เราเข้าใจ ซึ่งเราก็เข้าใจสิ่งที่แม่เสียใจมาตลอด  แต่พยายามจะรักษาครอบครัวไว้ เราก็เรียนอยู่อยู่บ้านพ่อจนจบมัธยม ช่วงเข้ามหาวิทยาลัย ซึ่งมหาวิทยาลัยอยู่ใกล้บ้านแม่เรามาก เราเลยย้ายไปพักอยู่กับแม่ แต่ก็ไปๆมาแวะมาดูพ่อบ้างแต่ไม่ได้ค้างประจำ พ่อเราก็ยังไม่เลิกนิสัยเจ้าชู้  ได้พูดคุยกับผู้หญิงคนนึง อายุประมาณ 40 ซึ่งผู้หญิงคนนี้เองทำให้ชีวิตพ่อเราแย่ลงเรื่อยๆ ปลอกลอกเงินพ่อเรา จนขายรถ เอารถกี่คันเข้าไฟเน็น เอาเงินก้อนต่อกี่ก้อนให้ผู้หญิงคนนี้หมด ยังไม่รวมเงินรายเดือนที่ให้ผู้หญิงคนนี้ ลงทุนเปิดร้านอาหารให้ เรื่องราวช่วงนี้เกิดขึ้นตอนเรียนมหาลัย และเราทำงาน เป็นเวลา 8 ปี กว่าเราจะรู้เรื่อง เพราะเหตุเกิดจากเราดันไปเจอสมุดบันทึกของพ่อที่เขียนรายรับรายจ่ายทุกอย่าง ตอนเราได้อ่านเราเสียใจร้องไห้กับการกระทำของคุณพ่อมาก ไม่ใช่ว่าเสียดายเงิน เพราะก็เป็นเงินของท่าน แต่สิ่งที่พ่อเราจดบันทึกลงไปคือรักผู้หญิงคนนี้มาก ยอมสละความสุขของตัวเอง เรื่องเงินทองให้ผู้หญิงคนนี้หมด หลังจากนั้นเรื่องมาเกิด ที่เราบอกว่าพ่อเราลงทุนเปิดร้านอาหารให้ เมื่อผู้หญิงคนนี้ซึ่งก็มีครอบครัวมีลูกสองคน แต่แยกทางกับสามีเช่นกัน บอกให้พ่อเราเลิกยุ่ง ไม่ต้องมาที่ร้าน พ่อเรารู้สึกได้ว่าโดนปอกลอก (เพิ่งรู้สึกตัว) บวกกับผู้หญิงคนนี้ ทำไม่ถูกกฎหมาย โดยการเอาเด็กต่ำกว่า 18 ปี มานั่งบริการ สุดท้ายผู้หญิงคนนี้ก็โดนคดี พ่อเราก็เสียใจมาก (เรารับรู้เรื่องนี้ทุกอย่างจากการเขียนบันทึกของพ่อนะ) สุดท้ายเราทนไม่ไหวเราตัดสินใจนั่งระบายกับพ่อขอให้พ่อเล่าความจริงทั้งหมดให้เราฟัง พ่อเราก็เล่าตามที่ท่านเขียนแหละ พอผู้หญิงคนนี้หมดคดี (ชื่อส้ม) พ่อเราก็ยังติดต่อ ต้องยอมรับว่าส้มพูดจาดี รู้จักใช้คำพูด พ่อเราก็แอบโอนเงินให้บ่อยๆ โอนเงินให้แม้กระทั่งลูกสาวของส้ม เป็นค่าขนมเรียนหนังสือ ค่าเทอม ตอนนั้นเราก็ได้แต่ทำใจ คงเป็นเวรกกรรมที่เขาทำกันมา เราได้แต่ทำใจอย่างเดียว ตั้งใจทำงานเลี้ยงดูพ่อแม่ให้ดีที่สุด เรียนจบปริญญาโท เพื่อหวังให้พ่อแม่ภูมิใจ ว่าเราเป็นเด็กดีนะ ทำทุกอย่างให้ท่านสบายใจ เรื่องอื่นเราพยายามไม่คิด เรามีหน้าที่การงานดี เงินเดือนค่อนข้างสูง จนเรากระทั่งเราอายุ 31 แต่งงานมีครอบครัว เราย้ายออกจากบ้านแม่ และมาพักบ้านเดียวกับสามี(บ้านที่สามีเราซื้อไว้เพื่อเตรียมพร้อมมีครอบครัว)
       ช่วงสองเดือนก่อนเราแต่งงาน พ่อเรามีสุขภาพไม่ค่อยดี เดินลุกนั่งค่อนข้างลำบาก จะเริ่มเดินเซ เราเป็นห่วงพ่อกลัวจะเกิดอุบัติเหตุถ้าอยู่บ้านคนเดียว ทำให้เราคุยกับสามีว่า เราขอให้พ่อมาอยู่ด้วยกันได้ไหม ซึ่งสามีเราเข้าใจ และยินดี และดูแลพ่อเราดีมากๆ เหมือนเป็นพ่อของตัวเอง พ่อเราย้ายไปอยู่บ้านกับเราและสามีได้ 1 ปี ซึ่งตอนนั้นคุณพ่อก็ป่วยลงเรื่อยๆคุณหมอก็ยังหาสาเหตุที่แท้จริงไม่เจอ ว่าอาการเดินเซจะล้ม เกิดจากอะไร เราพาพ่อไปหาหมอแทบจะทุกโรงพยาบาล ตั้งแต่พระมงกุฎ รามา  พญาไท ฯลฯ  สแกนหมดทุกส่วนในร่างกาย คุณหมอก็ยังไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด พ่อเราก็อยากย้ายกลับมาอยู่บ้านตัวเอง  แกบอกกลางวันแกเหงาไม่มีเพื่อน บวกกับสังคมของคุณพ่อก็คือชอบออกไปทานข้าวร้านอาหาร ร้องเพลง พอพ่อย้ายไปอยู่กับเราทำให้แกรู้สึกเหงา จะไปร้านอาหารที่เคยไปก็ค่อนข้างไกลจากบ้านที่เราอยู่ ก่อนหน้านี้ที่พ่อเราอยู่บ้านคนเดียว (บ้านของพ่อเอง)ก็ชอบขับรถไปกินข้าวที่ร้านอาหารร้องเพลงสไตล์ผู้สูงอายุนะ ซึ่งหลายครั้งก็เกิดอุบัติเหตุ แต่ไม่หนักแค่เชี่ยวชน เราก็ตามไปแก้ปัญหาแทบทุกครั้ง ซึ่งสาเหตุนี้ด้วยที่ทำให้เราอยากให้พ่อย้ายมาอยู่กับเราในตอนแรก
บ้านพ่อเราค่อนข้างทรุดโทรมมาก เราไม่อยากให้พ่อย้ายกลับบ้านในตอนนั้น คือพ่อเราเป็นคนง่ายนะ ง่ายเกินไปอยู่ยังไงก็อยู่ได้ ห้องน้ำสกปรกไม่สะอาดก็อยู่ได้ ทานอาหารเลอะเทอะ ถึงเวลาก็จ้างแม่บ้านมาทำความสะอาดเสาร์อาทิตย์ แต่เรามองว่าพ่อเราจะใช้ชีวิตแบบนี้ตอนอายุเท่านี้ไม่ได้ จะอยู่ในสภาพความเป็นอยู่แบบนั้นไม่ได้ (ซึ่งเราอาจจะใส่ความคิดเราลงไปเอง แต่ด้วยความเป็นห่วงพ่อจริงๆ ให้อยากมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี) เราและสามีตัดสินใจประกาศขายบ้าน และรีโนเวทบ้านพ่อไปพร้อมกัน จนเวลาผ่านไปหกเดือน บ้านเราขายได้ และบ้านพ่อก็เสร็จพอดี จนเราสามีย้ายมาอยู่บ้านพ่อ ซึ่งเรากับสามีทำงานอยู่ชานเมืองทั้งคู่ค่ะ แต่บ้านพ่อเราอยู่ในเมือง เราก็ยอมเดินทางไปกลับวันละ 80 กิโล เพื่อความสุขความสบายใจของพ่อที่จะได้กลับมาอยู่บ้านตัวเองช่วงบั้นปลายชีวิต (พ่อเราอายุ 75 ค่ะ) ในระหว่างนี้พ่อเราก็ยังคงติดต่อโทรศัพท์พูดคุยกับผู้หญิงชื่อส้มอยู่ตลอดเวลาชวนมาอยู่ด้วยที่บ้าน เรื่องที่เราเล่ายังไม่จบแค่นี้ มีอยู่วันหนึ่งเรากับสามีออกไปทำงาน และกลับค่ำ มีแต่แม่บ้านที่เราจ้างประจำมาอยู่ที่บ้านเพื่อดูแลอาหารการกินให้คุณพ่อ (แบบไปเช้าเย็นกลับ) วันนั้นเป็นเวลา 18.30 แม่บ้านโทรมาบอกว่าคุณพ่อเราชัก เราก็อยู่ระหว่างเดินทางกลับบ้าน แม่บ้านเราโทร 1669 แต่ก็ยังมาไม่ถึงนะคะ เราและสามีไปถึงบ้านก่อน พ่อเราอยู่ในอาการเกร็งชัก ไม่มีสติ รีบพาพ่อไปโรงพยาบาล พ่อเรารักษาตัวอยู่โรงพยาบาลร่วม 10 วัน คุณหมอสแกนสมอง ก็ไม่เจอว่าเส้นเลือดสมองแตก หรือตีบ คืออาการยังไม่แน่ชัด คุณหมอเลยสันนิษฐานว่า ติดเชื้อบวกกับโรคหลอดเลือดทางสมองให้ยามารักษา ซึ่งพอกลับมาอยู่บ้านชีวิตพ่อเราไม่เหมือนเดิมจากเมื่อเกินพอเดินได้แต่ต้องท้าว ตอนนี้ไม่สามารถเดินได้ ต้องมีคนประคองตลอดเวลา ไม่สามารถลุกไปปัสสาวะหรือขับถ่ายได้ทัน ระหว่างเราหาคนดูแล เราและสามีตัดสินใจพาพ่ออยู่ศูนย์พักฟื้นผู้สูงอายุซึ่งเป็นคนรู้จักเราอีกที พ่อเราไปอยู่ศูนย์ได้ 2 เดือน เราหาคนดูแลคุณพ่อที่บ้านได้ แต่เราก็ไม่กล้ารับเข้ามาอยู่บ้านเป็นประจำ จ้างแบบไปกลับ ตอนกลางคืนเราดูแลเอง และก็ยังโชคดีที่แม่เราตัดสินใจกลับมาอยู่บ้านเดียวกับเราและพ่อ เพื่อคอยดูแลอาหารการกินให้คุณพ่อเรา เรื่องก็เหมือนจะเป็นไปด้วยดี เราจ้างคนดูมาดูแล คนแรกไม่สามารถทนพฤติกรรมพ่อเราได้ เข้ามาทำได้ 2 สัปดาห์ลาออก เราหาอีกคนมาดูแล คนนี้ดีมาก ดูแลกายภาพพ่อเราทุกอย่างสะอาดมาก ค่อนข้างเจ้าระเบียบเป็นระบบ ซึ่งเราโอเครมาก และโรคพ่อเราคือต้องคุมอาหาร เพราะเดิมคือพ่อเราเป็นโรคเบาหวาน ความดันอยู่แล้ว อยู่ประมาณ 5 เดือน พ่อเราเริ่มมีอาการอยากกินแต่ขนมตอนเวลา สลับกับผลไม้หลังมื้ออาหารทุกมื้อ ซึ่งพ่อเรากินเยอะมาก อาหารจานหลักที่แม่เราทำให้คือ เยอะมาก แกก็จะขอกินขนมหวาน ขนมปังเพิ่มอยู่แทบทุกมื้อ และแกก็จะทะเลาะกับคนดูแลเรื่องนี้อยู่ตลอด ถ้าคนดูแลไม่เอาให้ทานก็จะโวยวาย ต่อว่าเขา ซึ่งเราเครียดมากไม่รู้จะทไอย่างไร เราพูดเรื่องนี้กับพ่อหลายรอบมาก มากกว่า 10 ครั้งว่าพ่อต้องควบคุมอาหาร เราเปิดวิดิโอที่คุณหมอแต่ละโรงพยาบาลออกมาบอกว่า โรคหลอดเลือดสมอง โรคเบาหวาน ต้องควบคุมเรื่องอะไร และอันตรายยังไง พ่อเราก็ไม่เข้าใจ และจุดแตกหักก็มาถึง เมื่อพ่อเราโทรไปหาคนชื่อส้ม ให้มาดูแลพ่อเรา เราได้ยินที่พ่อพูดโทรศัพท์หมดทุกคำพูด สิ่งที่พ่อพูดกับส้มทำให้เราเสียใจมาก และเราก็ได้ยินสิ่งที่ผู้หญิงคนนั้นพูดกลับมา ซึ่งเราไม่เข้าใจว่าทำไมพ่อเราถึงคิดไมไ่ด้ว่านั่นคือการที่ไม่อยากมาดูแล สิ่งที่พ่อเราพูดกับเขาคือ ให้ส้มมาดูแลคุณอา(พ่อเราเรียกตัวเองว่าคุณอา) อามีทุกอย่างอาจะให้ส้มหมดทุกอย่าง เงินเดือนอาที่อาได้รับอาจะให้ส้มหมด เงินก้อนสุดท้ายอาจะให้ส้มขอให้ส้มมาดูแลอา  คนชื่อส้มถามพ่อเรากลับมาและลูกกับภรรยาเก่าอยู่ที่ไหน ทำไมไม่ดูแลคุณอา และคนดูแลล่ะ พ่อเราตอบว่าเราสามีเราแม่เราจะออกจากบ้านไปหมดเลย คนดูแลก็หางานใหม่ได้แล้ว ให้ส้มมาดูอา เราได้ยินสิ่งที่ส้มพูดกับพ่อเราเราโมโหมาก ทำไมพ่อคนเดียวถึงเลี้ยงไม่ได้  และจะมาผลักภาระให้ส้มหรอ ส้มไปไม่ได้หลอกคุณอา ทีอยากได้อะไร ล่ะอยากได้ ซึ่งเราไม่รู้ว่าเขาหมายถึงอะไร ซึ่งพ่อเราคงไปพูดอะไรกับส้มไว้ เราเสียใจและโฒโหน้ะ น้ำตาเราไหลออกมา พ่อไม่อยากให้เราแม่อยู่บ้าน อยากให้แค่คนชื่อส้มมาดูแลเขา ซึ่งคนนั้นก็ไม่มา พ่อเราถามคำสุดท้ายว่าจะมาดูแลอาไหม คนชื่อส้มก็ตอบชัดเจนว่าไม่มา ตอนนี้เราเครียดมาก ตอนนี้พ่อเราเริ่มต่อต้านทุกอย่าง ตั้งแต่เรื่องอาหารการกิน จนถึงลุกเดินเอง เวลาคนดูแลตากผ้าหรือทำความสะอาด หรือเวลาคนดูแลกลับบ้าน ระหว่างเรามาถึงบ้านก็จะเดินใช้ Walker ซึ่งก็ยังเดินได้ไม่แข็งแรงนะคะ ออกมาเอาขนมในตู้เย็นซึ่งก็ล้มทุกครั้ง แม่เราก็ไม่สามารถดูแลได้ เพราะพ่อเราตัวสูงใหญ่ ตอนนี้เราและสามีเลยจะให้พ่อเรากลับไปอยู่ศูนย์ การตัดสินใจแบบนี้ดีที่สุดแล้วไหม เราเหนื่อยมาก เราไม่เป็นอันทำงานเลย วันๆเราต้องนั่งดูกล้องวงจรปิดที่บ้านว่า ว่าวันนี้พ่อเราจะทำอะไรไหม หรือคนดูแลจะไลน์มาบอกว่าคุณท่านดื้อจะกินอย่างเดียว เราเหนื่อยมาก TT
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่