*** ทำไมประวัติศาสตร์ของออสเตรเลีย จึงไม่ค่อยเป็นที่กล่าวถึง? ***

อาทิตย์ก่อน ผมได้รับเชิญไปเสวนาเพื่อโปรโมทหนังเรื่อง The Nightingale ซึ่งมีฉากหลังเป็นออสเตรเลียยุคบุกเบิก ทีมงานขอความเห็นผมว่า "เพราะอะไรประวัติศาสตร์ของออสเตรเลียจึงไม่เป็นที่กล่าวถึงนัก?" ...ผมมาคิดดูก็จริง ประวัติศาสตร์ของออสเตรเลียมิได้มีการพูดกันกว้างขวางเหมือนประวัติศาสตร์ชาติอื่นๆ ทั้งที่มันมีเรื่องน่าสนใจอยู่ในนั้นมาก

ผมใคร่ครวญแล้ว คิดว่ามันอาจไม่เกี่ยวกับความเก่าแก่นัก เพราะพวกเราก็มีการพูดถึงประวัติศาสตร์สมัยใหม่กันเยอะ

...มันอาจจะเกี่ยวกับที่ออสเตรเลียมีอิทธิพลไม่มาก เมื่อเทียบกับชาติมหาอำนาจอื่นๆ ...แต่ผมเห็นชาติที่มีอิทธิพลน้อยกว่าออสเตรเลียก็มีเรื่องราวประวัติศาสตร์ให้พูดถึงกันเนืองๆ

...ผมจึงตั้งสมมุติฐานขึ้นมาอย่างหนึ่ง...

ผมคิดว่า "ประวัติศาสตร์ออสเตรเลียไม่ค่อยโรแมนติก"

ก่อนผมจะอธิบายต่อ ขอเล่าประวัติศาสตร์ออสเตรเลียในยุคบุกเบิกให้ฟังคร่าวๆ นะครับ

อนุทวีปออสเตรเลียถูกชาวตะวันตกค้นพบครั้งแรกตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 17 จนในปลายศตวรรษที่ 18 อังกฤษก็พิจารณาจะพัฒนาดินแดนแห่งนี้เป็นอาณานิคม โดยมีเหตุผลว่า:
1. ไม่อยากให้ฝรั่งเศส หรือชาติคู่แข่งอื่นยึดไปก่อน
2. อยากได้ทรัพยากรของออสเตรเลีย
3. แต่ประเด็นสำคัญหลักๆ คือ... พวกเขาอยากตั้ง "อาณานิคมของนักโทษ" ขึ้น

ในช่วงนั้นอังกฤษได้เข้าสู่ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม มีการใช้เครื่องจักรเข้ามาแทนที่แรงงานคน ...ทำให้ชาวชนบทตกงาน ต้องมาหางานทำในเมือง และถูกนายจ้างกดขี่ (เพราะตอนนั้นสิทธิของชนชั้นแรงงานยังไม่ได้รับการสนใจนัก) พวกที่ลำบากยากจนก็ต้องหาทางออกโดยการเป็นโจรขโมย ทำให้เกิดปัญหานักโทษล้นคุก

"อาณานิคมของนักโทษ" จึงเป็นนวัตกรรมของนักล่าอาณานิคม ที่บังคับเอานักโทษมาตั้งรกรากในโลกใหม่ เพื่อตอบสนองโจทย์สองประการคือ:
1. เพื่อให้มีแรงงานคนสำหรับพัฒนาอาณานิคมได้รวดเร็ว
2. เพื่อลดจำนวนนักโทษ และลดปัญหาสังคมในประเทศแม่

ในลักษณะนี้แม้นักโทษคนหนึ่งจะต้องโทษสถานเบา แต่ก็อาจถูกส่งไปยังโลกใหม่ ซึ่งแม้เขาจะชดใช้โทษจนครบกำหนดแล้ว ก็มักจะไม่มีปัจจัยในการเดินทางกลับบ้าน ...ทำให้ต้องกลายเป็นประชากรถาวรของโลกใหม่ เป็นการบังคับขยายอาณานิคมนั่นเอง

ตอนแรกอังกฤษได้ใช้อเมริกาเหนือเป็น "อาณานิคมของนักโทษ" แต่เมื่อคนอเมริการบชนะสงครามประกาศอิสรภาพในปี 1783 ทำให้อังกฤษต้องหาที่ปล่อยนักโทษแห่งใหม่

...แล้วพวกเขาก็เลือกออสเตรเลีย...

ก่อนหน้าที่ชาวยุโรปจะมาตั้งถิ่นฐานในออสเตรเลีย ดินแดนแห่งนี้มีชาวออสเตรเลียนพื้นเมือง หรือที่เราเรียกว่าชาวอะบอริจินอาศัยอยู่มาก (คำว่าอะบอริจินแปลว่าคน สัตว์ หรือพืช ที่อาศัยอยู่ในดินแดนหนึ่งๆ มาแต่แรกเริ่ม ในที่นี้หมายถึงชาวออสเตรเลียนพื้นเมืองเป็นสำคัญ)

ชาวอะบอริจินแบ่งออกเป็นหลายพวกหลายเหล่า พูดกันคนละภาษา พวกเขาอาศัยตามอยู่ป่าเขา ...ยังมิได้พัฒนาอารยธรรมไปถึงขั้นใช้โลหะ ดังนั้นเมื่อพบชาวตะวันตกเข้ามา พวกเขาจึงงุนงงอย่างมาก

กองเรืออาณานิคมชุดแรกของอังกฤษชื่อ The First Fleet ได้แล่นมาถึงออสเตรเลียในเดือนพฤษภาคม ปี 1787 ผู้โดยสารกองเรือนั้นประกอบด้วยนักโทษประมาณ 750 คน ทหารผู้คุมและครอบครัวประมาณ 300 คน กะลาสี, เจ้าหน้าที่, และผู้โดยสารอื่น อีกราว 300 คน

คนเหล่านี้ได้นำเชื้อโรคชนิดใหม่มาทำให้ชาวอะบอริจินซึ่งไม่มีภูมิคุ้มกันติดโรคล้มตายไปมาก ...และไม่นานพวกนักโทษก็เริ่มเข้าไปรังแกชาวพื้นเมืองเพื่อแย่งชิงทรัพยากร นำสู่สงครามระหว่างเผ่า ...ไม่สิ อย่าเรียกว่าสงครามเลย เพราะชาวอะบอริจินแทบไม่มีอะไรต่อกรชาวตะวันตกได้

...มันเป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ต่างหาก...

ถ้าหากชาวตะวันตกไปบุกตีดินแดนอื่น ...พวกเขามักจะเอาชนะผู้ที่ต่อต้าน ...ทำสนธิสัญญากับผู้ที่ยอมสวามิภักดิ์ ...และอ้างสิทธิ์ปกครองชนพื้นเมือง
แต่เนื่องจากชาวอะบอริจินด้อยพัฒนาเกินไปในสายตาพวกเขา ทำให้มันไม่จำเป็นต้องมีสนธิสัญญาก็ได้...

...และในลักษณะนี้ชาวอะบอริจินจึงไม่ได้รับการยอมรับว่ามีตัวตน หรือมีสิทธิมนุษยชนใดๆ

...อันที่จริงบางทีก็ถูกมองว่าไม่ใช่คน ...แต่เป็นสัตว์ที่พัฒนาจนเกือบเหมือนคน ...เห็นได้จากประกาศของผู้ปกครอง ที่ให้รางวัลผู้แก่ที่ล่าชาวอะบอริจินได้ เพราะชาวอะบอริจินเป็นศัตรูที่มาทำลายไร่นา

...หลังจากนั้นยังเกิดเรื่องผิดศีลธรรมอีกมากมาย เช่นมีชาวตะวันตกตนที่เชื่อว่าตนเป็นคนดี ได้ “ขโมย” เด็กอะบอริจินรุ่นหนึ่งไปสั่งสอนให้นับถือศาสนาคริสต์ และมีวัฒนธรรมตามแบบตะวันตก ทำให้เกิด “คนรุ่นที่ถูกขโมย” หรือ Stolen Generation ซึ่งถูกเหยียดผิวทั้งจากคนตะวันตก และคนพื้นเมืองเอง

ดังนี้ประวัติศาสตร์ของออสเตรเลียยุคบุกเบิกจึงตั้งขึ้นบนพื้นฐานของนักโทษที่ได้รับความอยุติธรรม ถูกลงโทษเกินกว่าที่ควรได้รับ ...กับชนพื้นเมืองที่ถูกพวกเขารังแกอย่างโหดร้ายทารุณ เกินกว่าจะจินตนาการ

...มันเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อน ...จะเลือกเรื่องไหนมาแต่งตำราให้ซาบซึ้งกันได้ล่ะ?...

กลับมาที่ผมบอกว่าประวัติศาสตร์ของออสเตรเลียนั้นไม่ค่อยโรแมนติก ...คือถ้าใครตามงานผมเรื่อยๆ อาจจำได้ว่าผมเคยเขียนถึง “ชาติ” ในฐานะจินตนาการร่วมของผู้คน

...ใช่ครับ “ชาติ” เป็นของที่ไม่มีอยู่จริง แต่เกิดขึ้นเพราะคนเราต้องการความโรแมนติกบางอย่างมาเพื่อให้สามารถอยู่ร่วมกันเป็นสังคมได้

เพราะถ้าคนขาดความโรแมนติกเหล่านั้น ...อาจจะไม่มีใครยอมออกรบเพื่อปกป้องสังคมของตน ...คนอาจพากันคิดทรยศไปสวามิภักดิ์ชุมชนที่แข็งแกร่งกว่า...

ดังนั้นผู้ปกครองจึงต้องสร้างความโรแมนติกบางอย่างขึ้นมารวมคนเข้าไว้ด้วยกัน ...บางทีก็ใช้ศาสนา บางทีก็ใช้บารมีส่วนตัว ...แต่ส่วนใหญ่มักใช้ประวัติศาสตร์ เพราะประวัติศาสตร์เป็นเรื่องราวของชาติ ...หากขาดซึ่งประวัติศาสตร์แล้วไซร้ “ชาติ” เองก็ขาดเหตุผลในการมีอยู่ไปมาก...

ดังนั้นเรื่องราวประวัติศาสตร์ฮิตๆ ที่เราได้รับการสนับสนุนให้เรียนรู้กัน มักจะเป็นประวัติศาสตร์ที่ผูกกับชาติ และถูกทำให้ “โรแมนติก” แล้ว

สำหรับออสเตรเลียซึ่งเป็นชาติที่ไม่ค่อยมีความโรแมนติกทางประวัติศาสตร์เท่าใด พวกเขาจำต้องหาความโรแมนติกในทางอื่นมาชดเชย

ปี 2008 รัฐบาลออสเตรเลียประกาศขอโทษชาวอะบอริจินและลูกหลานต่อบาปกรรมที่เคยเกิดขึ้นอย่างเป็นทางการ...

นายกรัฐมนตรีออสเตรเลียบอกว่ายอมรับความผิดพลาดในอดีตทุกอย่าง และต้องการพัฒนาอนาคตที่ผู้คนเคารพกัน และมีความเท่าเทียมกัน

ผมรู้ว่าพวกเขายังทำอะไรได้มากกว่านั้นอีกมาก แต่เหตุดังกล่าวก็แสดงถึงความต้องการของพวกเขา ในการสร้างความโรแมนติกชุดใหม่เพื่อเป็นเหตุผลของการคงอยู่ของชาติออสเตรเลีย

...ความโรแมนติกชุดนั้นว่าด้วยเรื่อง เสรีภาพ และ ความเสมอภาค ของชนกลุ่มต่างๆ เพื่อเป็นเหตุผลให้ทุกคนช่วยกันพัฒนาบ้านเมืองให้รุ่งเรือง และปกป้องประเทศจากการรุกรานของคนภายนอก

...และด้วยเหตุนี้ประวัติศาสตร์ของออสเตรเลียจึงถูกพูดถึงไม่มาก หรือมักพูดในเชิงให้เกิดความเข้าใจ ไม่ใช่ให้เกิดความโรแมนติก...

...มันเป็นสิ่งที่ดีหรือไม่?...

::: ::: :::

(อนึ่งทั้งหมดเป็นเพียงสมมุติฐานของผม ถ้าหากท่านไหนมีข้อมูลเพิ่ม หรือคิดเห็นอย่างไรก็เชิญมาพูดคุยกันได้เลยครับ  )


ภาพแนบ: รูป อาเธอร์ ฟิลลิป ผู้นำกองเรือ The First Fleet ได้นำนักโทษขึ้นฝั่ง และพบกับชาวอะบอริจิน

:: ::: :::
 
สนใจเรื่องประวัติศาสตร์ สงคราม เรื่องต่างประเทศ กดติดตามเพจ https://www.facebook.com/pongsorn.bhumiwat/
กรุ๊ปประวัติศาสตร์ สงคราม เรื่องต่างประเทศ https://www.facebook.com/groups/thewildchronicles/
กรุ๊ปท่องเที่ยว เที่ยวโหดเหมือนโกรธบ้าน https://www.facebook.com/groups/wildchroniclestravel/
Line Square: https://line.me/ti/g2/8pIcVHp3cc6-jyQJdzIFrg
และ youtube: https://youtube.com/user/Apotalai

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่