1 ล้านล้านที่กู้มา ถ้าไม่นำไปใช้อะไรเลย เอามาลงวัคซีนอย่างเดียว คิดว่าโควิดในไทยจะจบภายใน 1 ปีมั๊ยครับ ?

อาจเป็นการพูดทีหลัง เห็นพูดกันจัง แต่มันก็น่าคิด สมมติว่า หนึ่งล้านล้านที่กู้มาเยียวยา  เปลี่ยนเป็นไม่เยียวยาละ  ประชาชนคงไม่อดตายภายในหนึ่งปี น่าจะมีก้นถุงก้นถังกันอยู่บ้าง ลำบากนหน่อย แต่เอาไปทุ่ม กว้าน ซื้อวัคซีนมาฉีดคนไทยให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่แทน ใครจะว่ามีตังค์หาซื้อไม่ได้ แต่ถ้ากำไว้เป็นล้านล้านบาทเนี่ย  ใช้ผีผลิตวัคซีนยังได้เลยมั้ง   รวมๆหลายๆแหล่งหลายๆยี่ห้อ น่าจะได้อยู่

ทีนี้เสียตังค์เท่านี้แล้ว คนไทยได้วัคซีนกันหมด โควิดในไทยจบ เผลอๆเหลือฉีดให้นักท่องเที่ยวที่จะมาไทยได้ ก็เปิดประเทศได้  ไปต่อไม่รอแล้วนะ รายได้จากการท่องเที่ยว และธุรกิจที่ฟื้นตัว  ไม่นานก็น่าจะคืนทุนหนึ่งล้านๆที่กู้มา  

เทียบกับแบบปัจจุบัน ที่ เงินหนึ่งล้านๆก็ใช้เยียวยาไปจะหมดแล้ว ธุรกิจไม่ฟื้น ท่องเที่ยวเปิดไม่ได้ เพราะเจอระบาดหลายระลอกมาคั่นกลางตลอดๆ วัคซีนก็ยังไม่ได้ มีแววว่าต้องกู้มาเยียวยาต่ออีกรอบสองรอบ   ถ้าคุณเป็นผู้บริหารประเทศ จะตัดสินใจแบบไหน
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 12
ถ้ายอมรับกันตรงๆ ถามว่าจบตั้งแต่ปีที่แล้วหรือเปล่า บอกเลยว่า ไม่แน่ๆ แต่ถ้าถามว่าลงแบบนี้(ไม่ต้องถึงขั้นเอาเงินกู้มาลงทั้งหมดหรอก แค่ 50,000 ล้าน ก็พอไม่ต้องจำกัดจำเขี่ยเอามาแค่ไม่กี่พันล้าน) แบบนี้จะจบกลางปีนี้มั้ยผมว่าน่าจะเป็นไปได้
ถ้าเรายอมจ่ายแพงลงกับ Pfizer ตั้งแต่แรกได้มา lot แรกพอๆกับมาเลย์ ระดมฉีดให้แพทย์ พยาบาล บุคลากรทางการแพทย์ ก่อน คนกลุ่มนี้ก็จะมีกำลังใจในการทำงานมากขึ้น (ผมว่าเต็มใจฉีดมากกว่า Sinovac ล่ะ) ขอแค่ 2-5 ล้านโดสมาก็พอ จากนั้นค่อยเอา Sinovac, Spunik V หรือว่า AZ ก็ได้มาให้กับบุคลากรที่ทำงานเกี่ยวกับการท่องเที่ยวตาม หลังจากนั้นค่อยเอา AZ ที่ผลิตเอาให้กับคนทั่วไป ผมเชียร์แนวทางกระจายความเสี่ยงแบบนี้มาตลอด เห็นมาตั้งแต่ รบ. เลือกลงแค่ AZ อย่างเดียวตั้งแต่ผลการทดลองยังไม่ออกแล้ว ยังนึกน้อยใจอยู่เลยว่า ทำไมรบ.บ้านเราบ้ากล้าเสี่ยงขนาดนั้น ทั้งๆที่ประเทศอื่นๆในโลกเค้าเลือกจะกระจายความเสี่ยงกันทั้งนั้น

ผมเข้าใจเหตุผลที่เลือก AZ นะครับ เพราะว่าต้องการความมั่นคงในระยะยาวเผื่อประเทศอื่นๆเค้าไม่ส่งวัคซีนให้เรางี้ แต่ว่าอย่างน้อยมันควรกระจายกว่าเสี่ยงด้วยมั้ยเผื่อถ้าเกิดว่าเราผลิตไม่ได้มาตรฐานล่ะ อย่างเคส JJ ที่อเมริกามีการปนเปื้อน หรือว่าผลการทดลองออกมาไม่ดี อันนี้คนตัดสินใจพลาดต้องยอมรับด้วย คนอวยก็อย่าอวยไม่ลืมหูลืมตา ผมคาดไว้ก่อนหน้าไม่ผิดเลยว่าเอกชนต้องทนไม่ไหวลุกขึ้นมากดดัน รบ. เอง แล้วก็ทนไม่ไหวจริงๆ ทั้งๆที่ทางภาคเอกชนพยายามเสนอตัวเข้าช่วยมาตลอด เสนอแผนงานมาตลอด แต่ว่าดูเหมือนจะไม่ประสบความสำเร็จจนต้องมารวมตัวกันเพื่อกดดันการทำงานของ รบ. อย่างที่เห็นๆนี้ ทั้งๆที่ผ่านมาไม่ได้รับการช่วยเหลือจาก รบ. อย่างเป็นรูปธรรมเลย(เน้นนะครับอย่างเป็นรูปธรรม) เพราะว่าออกมาแต่นโยบาย อย่าง softloan บ.อย่างAirasia ก็ยังไม่สามารถเข้าถึงได้เลย แล้วพวก SME จะเข้าถึงได้ ??? เน้นแจกเงินอย่างเดียวเลย ผมเชื่อว่าคนที่ทำธุรกิจแล้วจ่ายภาษีจำนวนมากในแต่ละปีเหมือนผมเริ่มคิดกันแล้วว่าเราเคยให้ไปเยอะขนาดนั้นแล้ว ทำไมเป็นกลุ่มที่ไม่ได้รับการเหลียวแลจาก รบ. เลย แล้วหลังจากนี้เราควรจะจ่ายภาษีแบบเดิมหรือเปล่า หรือว่าเราควรจะหาทางเลี่ยงไม่ให้จ่ายภาษีแบบเดิมดี มันน่าเสียใจและน้อยใจมากๆจริงๆ

ผมมองแล้วหลังจากนี้ฐานะทางการคลังของประเทศลำบากแน่ ๆ ทั้งกรอบหนี้สาธารณะที่มีความเสี่ยง ผมว่าธปท.เค้าเห็นตัวเลขแล้วล่ะก็เลยออกมาเตือน งบปี65 เลยหั่นเพิ่มอีก 1.8 แสนล้านบาท หวังว่าหลังจากนี้จะบริหารกันดีๆนะครับ ไม่เห็นแก่พวกพ้อง ไม่เห็นแก่หน้าตาตัวเอง งานไหนไม่จำเป็นเช่นไปตรวจถนนสร้างใหม่ ก็เลิกๆ มันไปซะ หันมาออกกฏหมาย แก้กฏหมาย จัดโครงสร้างองค์กร ที่มันเข้ายุคเข้าสมัยหน่อย ทำงานตรงๆนี้เยอะๆ หน่อย งบลงทุนก็อย่างไปลงกับพวก ถนนหนทางแบบเดิมๆให้มันมาก ลงกับ Digital Tech ให้มันเยอะๆหน่อย เห็นแก่ประชาชนส่วนใหญ่ในประเทศเถอะครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่