คืนชีพต้นสนไดโนเสาร์ " Wollemi Pine "




แนวความคิดที่ได้รับความนิยมในนิยายวิทยาศาสตร์คือ การฟื้นคืนชีพของสิ่งมีชีวิตก่อนประวัติศาสตร์เช่น ไดโนเสาร์ ช้างแมมมอธ รวมทั้งมนุษย์ยุคหิน
แต่ในความเป็นจริง การฟื้นคืนชีพของสิ่งมีชีวิตยุคก่อนประวัติศาสตร์นั้นยังไม่สามารถทำได้ แม้ว่าในปัจจุบัน ทีมวิจัยของมหาวิทยาลัย Harvard จะมีความพยายามสร้างตัวอ่อนที่ผสมข้ามสายพันธุ์ระหว่างแมมมอธ - ช้างเอเชีย หรือ Hybrid elephant-mammoth embryo 

หัวข้อหรือแนวคิดที่เกี่ยวข้องที่เป็นที่นิยมในหมู่ผู้คนที่นึกถึงสัตว์โบราณจากยุคห่างไกลคือ การค้นหาประชากรที่เกี่ยวข้องของสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์ที่สูญพันธุ์ไปแล้ว เช่น ตำนานของ Mokèlé-mbèmbé (สัตว์ลึกลับขนาดใหญ่) ที่พบในหนองน้ำหรือทะเลสาบของตอนกลางของทวีปแอฟริกาและ Almas (สิ่งมีชีวิต) ที่อาศัยอยู่ในเทือกเขา Caucasus ซึ่งเป็นตัวอย่างที่ดีของการค้นพบในตำนานของประชากรที่เกี่ยวข้องดังกล่าว

การค้นพบในโลกของพืชทางพฤกษศาสตร์ก็เช่นกัน มันเทียบเท่าได้กับการค้นพบไดโนเสาร์ที่มีชีวิตซึ่งได้เกิดขึ้นจริงแล้ว โดยมีการค้นพบต้นสนโบราณ
" Wollemi Pine " สายพันธุ์ Wollemia nobilis ซึ่งยังคงเติบโตอยู่ในพื้นที่รกร้างทางตะวันตกของ Sydney ประเทศออสเตรเลีย โดยต้นไม้เป็นสมาชิกของสกุลที่มีวิวัฒนาการครั้งแรกเมื่อ 200 ล้านปีก่อน ตอนนี้อยู่ในขั้นตอนของการฟื้นฟูผ่านการเพาะปลูกไปทั่วโลก เพื่อวัตถุประสงค์ให้เป็นสวน


ต้นสน Wollemi มักถูกเรียกว่า 'ฟอสซิลที่มีชีวิต' หรือ 'ต้นไม้ไดโนเสาร์' โดยมีหลักฐานการดำรงอยู่ย้อนหลังไปกว่า 100 ล้านปี
Cr.ภาพ abc.net.au/news


Wollemi Pines มีวิวัฒนาการบนมหาทวีป Pangea ในช่วงที่ทุกทวีปยังคงเข้าร่วมกันในระหว่างต้นยุค Mesozoic ด้วยเหตุนี้ สายวิวัฒนาการของต้นไม้ใน
สายพันธ์เดียวกัน จึงพบได้ในออสเตรเลีย อเมริกาใต้ และส่วนอื่น ๆของซีกโลกใต้  ซึ่งเป็นเวลากว่า 100 ล้านปีที่ต้นสน Wollemi เป็นหนึ่งในไม้ยืนต้นที่โดดเด่นในซีกโลกใต้

ทั้งนี้ สภาพอากาศที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมากในช่วงยุค Neogene และ Quaternary (ยุคต่อจาก Neogene) ทำให้ประชากร Wollemi Pine ส่วนใหญ่กำลังจะตาย  วันนี้ ,uสถานที่แห่งเดียวที่ต้นสน Wollemi ยังคงมีชีวิตอยู่ในป่า และไม่ใช่ซากฟอสซิลคือ อุทยานแห่งชาติ Wollemi National Park  ในเทือกเขา Blue Mountains

อุทยานแห่งชาติ Wollemi เป็นหนึ่งในพื้นที่ที่โดดเดี่ยวและทุรกันดารที่สุดในโลก ที่เต็มไปด้วยหุบเขาและช่องเขามากมาย เป็นป่าฝนหนาทึบทำให้ยากต่อการเดินเรือ  และหุบเขายังสร้างชุมชนนิเวศวิทยาชุมชีพ (pocket ecological communities) ที่สามารถดำรงอยู่อย่างโดดเดี่ยวได้เป็นพันปีในส่วนอื่นๆของชีวมณฑล ซึ่งอาจเป็นเพราะเหตุนี้ สายพันธุ์ Wollemi Pine จึงถูกเก็บรักษาไว้ที่นี่ตลอดมา

อุทยานแห่งชาติ Wollemi National Park ใน Greater Blue Mountains
การค้นพบ Wollemia nobilisis นั้น ถือเป็นการค้นพบทางพฤกษศาสตร์ที่น่าทึ่งที่สุดครั้งหนึ่งในช่วงไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา โดย Wollemi Pines ที่ยังมีชีวิตอยู่ถูกค้นพบในปี 1994 โดย David Noble นักพฤกษศาสตร์ชาวออสเตรเลียกับทีมงานอีกสองคน ได้โรยตัวลงไปในหุบเขาลึกของอุทยานแห่งชาติ Wollemi และเจอดงต้นไม้ที่มีลักษณะคล้ายต้นสนโบราณ ซึ่งไม่เหมือนกับสิ่งที่เขาหรือนักวิทยาศาสตร์เคยเห็นมาก่อน
 
สายพันธุ์ Wollemi Pine เป็นสมาชิกของสกุล Wollemia ซึ่งเป็นสกุลของต้นสนในวงศ์ Araucariaceae รวมถึง Agathis และ Araucaria ซึ่งทั้งสองมีความคล้ายคลึงกันกับ Wollemia และทั้งสามสกุลมีอายุถึงต้นยุคเมโซโซอิก โดยได้รับการอธิบายและตั้งชื่ออย่างเป็นทางการว่า " Wollemia nobilis "  จากสถานที่ที่ค้นพบ ( Wollemia เป็นคำดั้งเดิมของออสเตรเลียมีความหมายว่า "ระวังมองไปรอบ ๆ ตัว")

" Wollemia nobilis " จะมีเปลือกเป็นฟองสีช็อคโกแลต ลำต้นมีหลายกิ่ง ซึ่งถือเป็นต้นไม้หายากชนิดหนึ่งของโลกที่ถูกคิดว่าสูญพันธุ์ไปนานแล้ว แม้ว่าสิ่งมีชีวิตชนิดนี้จะพบได้ทั่วไปในออสเตรเลียตะวันออกจนถึง 40 ล้านปีก่อน แต่ต้นเดียวของซากดึกดำบรรพ์ที่มีชีวิตอยู่ในหุบเขาลึกและชื้นแห่งนี้  เป็นผู้รอดชีวิตจากสภาพอากาศที่แห้งแล้งตลอดกาลของออสเตรเลีย และยังอาจเชื่อมโยงไปถึงไดโนเสาร์ที่อาจกินใบไม้อยู่บนพื้นที่นี้

ต้นสน Wollemi ที่โตเต็มที่ จะผลิต cones (อวัยวะห่อหุ้มเมล็ดของพืช) ที่ปลายกิ่งคล้ายเฟิร์น และอาจเติบโตได้สูงถึง 40 เมตร
(Cr. Dave Watts / Getty Images)
Wollemi Pine ดูเหมือนต้นไม้จากยุคอื่นอย่างมาก มันเติบโตเป็นหลายลำต้นและจะผลัดกิ่งก้านเป็นประจำ เป็นพืช gymnosperm (ปรง) เช่นเดียวกับต้นไม้จากยุคไทรแอสซิก แม้ว่าพืช Angiosperm (พืชดอก) นั้นจะไม่ปรากฏในซากดึกดำบรรพ์จนถึงยุคครีเทเชียส แต่เนื่องจากลำต้นที่มีหลายกิ่งก้านสาขาจึงเป็นเรื่องยากที่จะนับจำนวนในแต่ละต้นทั้งหมด

จนถึงขณะนี้ นักพฤกษศาสตร์ได้ค้นพบ Wollemi Pine ทั้งหมดประมาณ 240-276 ต้น โตเต็มที่ 40-76 ต้น และต้นอ่อน 200 ต้น ในขณะที่ต้นสน Wollemi ขนาดใหญ่หนึ่งต้นจะมีกิ่งก้านที่แยกออกไปอีกเกือบ 160 กิ่ง

คุณสมบัติสองประการของพืชที่ทำให้มันโดดเด่นเป็นพิเศษคือ เปลือกไม้ที่ผิดปกติ และความจริงที่ว่ามันผลัดกิ่งก้านทั้งหมดแทนที่จะเป็นใบไม้
นอกจากนี้ ยังแสดงให้เห็นว่าพืชสามารถเติบโตได้ในอุณหภูมิที่เย็นถึง -12 C และร้อนอย่างน้อยถึง 45 C อันเนื่องมาจากพืชมีวิวัฒนาการในโลกร้อนของยุค Mesozoic ดังนั้น จึงสมเหตุสมผลที่จะสามารถทนได้มากในอุณหภูมิที่อบอุ่น

นับตั้งแต่มีการค้นพบพืชชนิดนี้ มันได้ถูกนำไปปลูกในพื้นที่หลายส่วนของโลก โดยมีแรงผลักดันดั้งเดิมคือในฐานะพืชสวน เพื่อลดการล่อลวงใด ๆ ของผู้คนที่จะขโมยต้นไม้หรือเมล็ดของพวกมันจากป่า และหลีกเลี่ยงการคุกคามของโรคที่ทำให้เป็นอันตรายต่อถิ่นที่อยู่ในท้องถิ่น อีกเหตุผลหนึ่งคือเพื่อให้แน่ใจว่าสิ่งมีชีวิตที่น่าสนใจนี้จะไม่สูญพันธุ์ไป



Wollemi Pine เป็นต้นไม้เก่าแก่ที่แทบไม่มีการเปลี่ยนแปลง นับตั้งแต่ไดโนเสาร์กินพืชเป็นครั้งสุดท้าย

 
หนึ่งในบริษัทเอกชนแห่งแรกที่ได้รับสิทธิ์ในการปลูกต้นไม้คือ Birkdale nursery สถานฟื้นฟูขยายพันธุ์พืชพื้นเมืองและกระจายพันธุ์ในท้องถิ่น และ
กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานของออสเตรเลียที่เป็นหนึ่งในองค์กรแรก ๆ ที่ได้รับสิทธิในการปลูกต้นไม้ ซึ่งตอนนี้ Wollemi Pines ถูกขายโดยผู้ขายจำนวนมากทั่วโลก และสามารถซื้อได้ทางอินเทอร์เน็ตในราคาประมาณ 70 เหรียญสหรัฐ

ทั้งนี้ การเก็บเมล็ดพันธุ์ Wollemi Pines จากป่าโดยตรงนั้นก่อให้เกิดอันตรายอย่างมาก เนื่องจากมีโอกาสที่จะสร้างความเสียหายให้กับต้นไม้ และการแพร่กระจายของโรคและปรสิตต่อโลกภายนอก ด้วยเหตุนี้ ตัวอย่างส่วนใหญ่จึงต้องได้รับการปลูกจากต้นอ่อนที่ปลูกในสภาพปิด จากเมล็ดที่เก็บจากต้นไม้ป่าดั้งเดิมก่อน

ซึ่งในขณะนี้ สถานที่ที่เพาะปลูกต้นไม้ไม่ได้จำกัดแค่ออสเตรเลีย สหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่น โดยขีดจำกัดทางภูมิอากาศของพวกมัน กำลังได้รับการทดสอบเพื่อขยายตลาด  ด้วยสิ่งเหล่านี้ การครอบงำของต้นไม้โบราณจึงได้รับการฟื้นฟู  และแม้ว่ามหายุคมีโซโซอิกอาจหมดไป แต่เราสามารถสร้างส่วนหนึ่งของมันด้วยการส่งเสริมการเจริญเติบโตของฟอสซิลที่มีชีวิต เช่น  " Wollemia nobilis " 



อุทยานแห่งชาติ Wollemi National Park (Blue Mountains)  
อุทยานแห่งชาติ Wollemi ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก มีสถานที่ที่น่าทึ่ง
สำหรับการเดินเล่น ว่ายน้ำ พายเรือแคนู และตั้งแคมป์ โดยอยู่ห่างจากซิดนีย์ไปทางตะวันตกเฉียงเหนือเพียงไม่กี่ชั่วโมง 
โดยภูมิประเทศที่งดงามของอุทยานแห่งชาติ Wollemi นั้นเป็นส่วนหนึ่งของเขตมรดกโลก Greater Blue Mountains จากหุบเขาที่สวยงามหน้าผาสูงตระหง่านแม่น้ำในป่า และป่าอันเงียบสงบ มีโอกาสมากมายที่จะได้ดื่มด่ำกับความสวยงามของพื้นที่รกร้างว่างเปล่าที่ใหญ่ที่สุดในรัฐนิวเซาท์เวลส์





(ขอขอบคุณที่มาของข้อมูลทั้งหมดและขออนุญาตนำมา)


แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่