ตามกระทู้เลยค่ะ เราไม่รู้ว่าอาการของเราอยู่ในภาวะโรคซึมเศร้ารึเปล่า
ย้อนกลับไปเมื่อช่วงปฐมเราก็มีชีวิตที่ดีมาก มีเพื่อนรัก สนิทกันแล้วก็เป็นกันเองมากๆ แต่พอเมื่อขึ้น ม.1 เราต้องเข้าโรงเรียนใหม่และมีเพื่อนมาด้วยค่ะ เราเข้ามาใหม่คล้ายๆว่าเราเป็นคนขี้อายมากแต่อยู่กับเพื่อนเก่าก็ไม่ได้อายอะไรแต่พอเจอเพื่อนใหม่เราเกร็งมาก ทำอะไรไม่ถูกเลย เราไม่ได้ชวนเพื่อนใหม่พูดเลยส่วนมากมีแต่เพื่อนใหม่ซะมากกว่าที่ชวนเราคุยจนมันเป็นแบบนี้ไปนานเป็นเดือน เรากับเพื่อนใหม่ก็ไม่เชิงจะสนิทอะไรขนาดนั้นต่างจากเพื่อนเก่าเราที่เริ่มจะสนิทกับเพื่อนใหม่แล้ว คงเป้นเพราะเรานั่นแหละที่ขี้อายมากเกินไปจนรู้สึกว่าเพื่อนใหม่เริ่มที่จะเบื่อหน่ายไม่สนใจเราแล้ว กลายเป้นว่าเราที่เด็กที่เงียบมากในกลุ่มเป็นคนที่จืดชื่นจนรู้สึกว่าเป็นส่วนเกินของเพื่อนๆมากๆ เพื่อนเก่าที่เคยสนิทเล่นด้วยกันก็เริ่มเฉยๆกับเราจากที่เคยพูดกันด้วบดี พยายามชวนเราคุยก็กลับเบื่อหน่ายเราไป ไม่มีใครชวนคุยก็ไม่คุย พอมีกิจกรรมกีฬาหรืออะไรต่างๆเรารู้สึกเกร็งมากไม่ค่อยกล้าจะเล่นกีฬาหรืออะไรมากเพราะกลัวสายตาจากเพื่อนๆแทบว่าต้องเกร็งทุกสถาณการณ์เลยทีเดียว ทำอะไรเหมือนกลัวสายตาจากเพื่อนที่มองมาตลอดอ่ะค่ะ ที่จริงก็มีเพื่อนใหม่ 2-3 คนที่สนิทกันบ้าง มีหนึ่งคนเขาเป็นเพื่อนที่ดีมากๆคอยซับพอร์ตเราตลอดเลยเพราะรู้ว่าเราเป็นคนเงียบๆ ในสถาณการณ์ที่เราอึดอัดกับการคุยกับเพื่อนใหม่ก็มีเพื่อนคนนี้ที่อยู่ข้างเรา ในช่วงนั้นเราแทบจะอดทนผ่านมันไปแต่ละวันเพราะคล้ายๆเราไม่มีความกล้าแม้แต่การเป็นตัวของตัวเองเลย เพื่อนๆก็จะเรียกเราว่ายัยจืดตลอดแม้กระทั้งครู เราพยายามทำตัวให้ดีขึ้นนะ เพราะเหมือนคำว่าจืดนี้น่ะมันเป็นคำบั่นทอนจิตใจเรามาก กลายเป็นคำที่เราไม่ชอบเลย แม้กระทั้งแค่ได้ยืนคำว่าจืดเราจะตกใจมากว่าเขาว่าเราหรือเปล่า บางคร้งก็รู้สึกแย่มากๆจนร้องไห้ออกมา เหมือนโลกนี้เป็นยังไงก็ไม่รู้ เราบอกกับตัวเองเสมอนะว่าไม่เป็นไรเดี๋ยวขึ้น ม.4 อะไรๆก็ดีขึ้น จะปรับตัวเองให้เป็นคนใหม่ให้ได้
พอขึ้น ม.4 มันก็เป็นตามที่หวังแหละเรามีเพื่อนใหม่และเราแฮปปี้มากๆ กลุ่มเราจะมี 7 คน จะมีเพื่อนคนนึงที่เราสนิทด้วยมากๆเพราะเขามีชีวิตที่คล้ายๆเราเขาเคยเป็นคนอ้วนเสียความมั่นใจมากแต่พอขึ้น ม.4 เขาลดน้ำหนักจนพร้อมลงจนมีความมั่นใจมากขึ้น มีอะไรเราจะระบายให้กันฟังหมดเลย เขาจะเป้นคนค่อยข้างที่จะเหมือนเราเลยล่ะแม้แต่เพื่อนเก่าเขาก็ไม่ค่อยสนิทด้วยเท่าไหร่ เราจึงคอยพูดให้กำลังใจเขาตลอดเพราะเราเข้าใจความรู้สึก ณ จุดจุดนั้นเหมือนกัน เราคอยซับพอร์ตกันและกันมาก
พอมีช่วงหนึ่งที่เรากับเขาคล้ายๆสนิทกันน้อยลงเพราะเขาหันไปสนิทกับเพื่อนเก่าของเขาคงเพราะเขามีความมั่นใจที่จะเปิดอกคุยความในใจว่าช่วงนั้นเขารู้สึกยังไง และไม่โอเคตรงไหน คล้ายๆปรับความเข้าใจกับเพื่อนเก่าจนเริ่มสนิทกัน เราคุยกันน้อยลง มันรู้สึกเฟลมากๆที่เพื่อนสนิทเราไปสนิทกับคนอื่นแต่พอมาคิดดุอีก เรามีสิทธิ์อะไรล่ะที่จะเฟลเพราะเพื่อนที่เขาสนิทด้วยนั่นก็เพื่อนเก่าของเขา คล้ายๆช่วงนั้นไม่ใช่แค่เราคุยกันน้อยลง แต่เราก็เงียบขึ้นเช่นกันเหมือนช่วง ม.ต้น เลย ช่วงนี้เรารู้สึกว่าเริ่มคิดมากหลายเรื่องมากๆ ทั้งเรื่องครอบครัว ผลการเรียน แล้วก็เพื่อนอีกอ่ะ
เราเริ่มมีอาการหนักขึ้นร้องไห้นี่ 3-4 วันต่อสัปดาห์เลย นอนก็ไม่ค่อยหลับ คิดมากจนปวดหัวแล้วเราก็เริ่มกินยาพารามากขึ้นด้วย รู้สึกเศร้าๆบอกไม่ถูก เคยคิดที่จะฆ่าตัวตายอยู่หลายครั้งมากๆ มันมีความรู้สึกเหว้งๆยังไงไม่รู้ รู้สึกเหมือนอยู่ตัวคนเดียว รู้สึกเหมือนเราไม่มีเพื่อน เพื่อนที่อยู่ในกลุ่มก็นะ เขาก็มีเพื่อนของเขาอยู่แล้วนั่นก็คือเพื่อนสมัย ม.ต้น เพื่อนเก่าเราที่เคยสนิทก็เจอกันน้อยลงเพราะอาจเขามีเพื่อนใหม่ด้วย 3 ปีมานี่เราพยายามอดทนเพื่อมาหาสิ่งใหม่ๆแต่ก็กลับแย่กว่าเดิมด้วยซ้ำ คือเราไม่มีเพื่อนที่ไว้ใจที่จะคอยรับฟังเราอีกต่อไปแล้ว หลายๆเรื่องทำให้เราเริ่มคิดมากกว่าเก่า ตอนแรกเราเคยคิดนะว่าไม่อยากตายเราแค่อยากมีชีวิตที่ดีขึ้นขอแค่นั้นพอ แต่ตอนนั้นเราเปลี่ยนความคิดนั้น คือเราอยากตาย
คืนนั้นเป็นคืนที่เราคิดมากที่สุดในชีวิตเลย เราเก็บตัวอยู่แต่ในซอกบ้าน คิดเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้น จนเราพลั้งมือหยิบคัตเตอร์จะพยายามฆ่าตัวเองให้ตายรู้แล้วรู้รอดไปซะ เราไม่อยากมีชีวิตแบบนี้แล้ว แต่ยายเรามา้ห็นเข้าเราเลยทำไม่สำเร็จ ยายถามเราว่าร้องไห้ทำไม เราก็ไม่บอกอะไร ยายเข้าใจว่าเราเครียดเรื่องเกรด ตอนนั้นเราร้องไห้หนักจริงๆจนหน้าแดงเป้นเลือดเลย ตาก็บวม จนรู้สึกปวดหัวมากๆจนต้องเข้าโรงบาล ตอนนั้นพี่เราสังเกตุเห็นรอยคัตเตอร์ที่เรากีดเเขนตัวเอง พี่เขาคิดว่าเราเครียดก้บอกหมอไป หมอก็มาพูดกับเราหลายๆเรื่อง สุดท้ายเราก็ได้ยากลับบ้านมากินมันเป็นอย่าแก้ปวด ยาแก้เครียด ตอนแรกหมอจะให้ยานอนหลับมาแต่เราอายุน้อยเกินไป หลังจากนั้นเราก็ซึมไปเป็นเดือนๆกว่าจะกลับมาดีขึ้น มันมีเรื่องคิดมากอยู่เหมือนเดิมนั่นแหละแต่เราพยายามคิดน้อยลง หาอะไรทำเพื่อไม่อยากให้ตัวเองคิดมาก
หลังจากผ่านไป 3 เดือน ตรงกับเราปิดเทอม เรารู้สึกว่ามันเริ่มจะกลับมาอีกแล้ว เทอมหน้าเราต้องย้ายห้องก็เหมือนกับเราไม่ได้เจอเพื่อนที่เล่นด้วยกัน มันเท่ากับเราต้องหาเพื่อนใหม่อีกครั้ง แล้วช่วงปิดเทอมเราไม่ค่อยได้ทำอะไร เราเริ่มกลับมาคิดมากเริ่มร้องไห้อีกแล้ว รู้สึกแย่เหมือนกับตอนนั้นเลยนอนก็นอนไม่ค่อยหลับเลย เรานอนดึกมากพอมากลางวันเราก็รู้สึกเพลียๆบ่อยๆ รู้สึกว่าชีวิตนี้เราพังแล้ว ไม่อยากมีความรู้สึกแบบนี้เลยทำอะไรมันก้แย่ไปหมด บางทีเราก็คิดโรคจิตนะว่าอยากทำให้ตัวเองความจำเสื่อมคงดีจะได้ไม่ต้งจำอะไร สร้างความจำดีๆขึ้นใหม่ เราไม่รู้ว่าเราแค่เครียดไหม เราไม่ได้มีภาวะโรคซึมเศร้าใช่ไหม เราควรพบจิตแพทย์ไหม วอนผู้มีความรู้มาตอบทีค่ะ
อยากรู้ว่าอาการของเราอยู่ในอาการโรคซึมเศร้ารึเปล่า
ย้อนกลับไปเมื่อช่วงปฐมเราก็มีชีวิตที่ดีมาก มีเพื่อนรัก สนิทกันแล้วก็เป็นกันเองมากๆ แต่พอเมื่อขึ้น ม.1 เราต้องเข้าโรงเรียนใหม่และมีเพื่อนมาด้วยค่ะ เราเข้ามาใหม่คล้ายๆว่าเราเป็นคนขี้อายมากแต่อยู่กับเพื่อนเก่าก็ไม่ได้อายอะไรแต่พอเจอเพื่อนใหม่เราเกร็งมาก ทำอะไรไม่ถูกเลย เราไม่ได้ชวนเพื่อนใหม่พูดเลยส่วนมากมีแต่เพื่อนใหม่ซะมากกว่าที่ชวนเราคุยจนมันเป็นแบบนี้ไปนานเป็นเดือน เรากับเพื่อนใหม่ก็ไม่เชิงจะสนิทอะไรขนาดนั้นต่างจากเพื่อนเก่าเราที่เริ่มจะสนิทกับเพื่อนใหม่แล้ว คงเป้นเพราะเรานั่นแหละที่ขี้อายมากเกินไปจนรู้สึกว่าเพื่อนใหม่เริ่มที่จะเบื่อหน่ายไม่สนใจเราแล้ว กลายเป้นว่าเราที่เด็กที่เงียบมากในกลุ่มเป็นคนที่จืดชื่นจนรู้สึกว่าเป็นส่วนเกินของเพื่อนๆมากๆ เพื่อนเก่าที่เคยสนิทเล่นด้วยกันก็เริ่มเฉยๆกับเราจากที่เคยพูดกันด้วบดี พยายามชวนเราคุยก็กลับเบื่อหน่ายเราไป ไม่มีใครชวนคุยก็ไม่คุย พอมีกิจกรรมกีฬาหรืออะไรต่างๆเรารู้สึกเกร็งมากไม่ค่อยกล้าจะเล่นกีฬาหรืออะไรมากเพราะกลัวสายตาจากเพื่อนๆแทบว่าต้องเกร็งทุกสถาณการณ์เลยทีเดียว ทำอะไรเหมือนกลัวสายตาจากเพื่อนที่มองมาตลอดอ่ะค่ะ ที่จริงก็มีเพื่อนใหม่ 2-3 คนที่สนิทกันบ้าง มีหนึ่งคนเขาเป็นเพื่อนที่ดีมากๆคอยซับพอร์ตเราตลอดเลยเพราะรู้ว่าเราเป็นคนเงียบๆ ในสถาณการณ์ที่เราอึดอัดกับการคุยกับเพื่อนใหม่ก็มีเพื่อนคนนี้ที่อยู่ข้างเรา ในช่วงนั้นเราแทบจะอดทนผ่านมันไปแต่ละวันเพราะคล้ายๆเราไม่มีความกล้าแม้แต่การเป็นตัวของตัวเองเลย เพื่อนๆก็จะเรียกเราว่ายัยจืดตลอดแม้กระทั้งครู เราพยายามทำตัวให้ดีขึ้นนะ เพราะเหมือนคำว่าจืดนี้น่ะมันเป็นคำบั่นทอนจิตใจเรามาก กลายเป็นคำที่เราไม่ชอบเลย แม้กระทั้งแค่ได้ยืนคำว่าจืดเราจะตกใจมากว่าเขาว่าเราหรือเปล่า บางคร้งก็รู้สึกแย่มากๆจนร้องไห้ออกมา เหมือนโลกนี้เป็นยังไงก็ไม่รู้ เราบอกกับตัวเองเสมอนะว่าไม่เป็นไรเดี๋ยวขึ้น ม.4 อะไรๆก็ดีขึ้น จะปรับตัวเองให้เป็นคนใหม่ให้ได้
พอขึ้น ม.4 มันก็เป็นตามที่หวังแหละเรามีเพื่อนใหม่และเราแฮปปี้มากๆ กลุ่มเราจะมี 7 คน จะมีเพื่อนคนนึงที่เราสนิทด้วยมากๆเพราะเขามีชีวิตที่คล้ายๆเราเขาเคยเป็นคนอ้วนเสียความมั่นใจมากแต่พอขึ้น ม.4 เขาลดน้ำหนักจนพร้อมลงจนมีความมั่นใจมากขึ้น มีอะไรเราจะระบายให้กันฟังหมดเลย เขาจะเป้นคนค่อยข้างที่จะเหมือนเราเลยล่ะแม้แต่เพื่อนเก่าเขาก็ไม่ค่อยสนิทด้วยเท่าไหร่ เราจึงคอยพูดให้กำลังใจเขาตลอดเพราะเราเข้าใจความรู้สึก ณ จุดจุดนั้นเหมือนกัน เราคอยซับพอร์ตกันและกันมาก
พอมีช่วงหนึ่งที่เรากับเขาคล้ายๆสนิทกันน้อยลงเพราะเขาหันไปสนิทกับเพื่อนเก่าของเขาคงเพราะเขามีความมั่นใจที่จะเปิดอกคุยความในใจว่าช่วงนั้นเขารู้สึกยังไง และไม่โอเคตรงไหน คล้ายๆปรับความเข้าใจกับเพื่อนเก่าจนเริ่มสนิทกัน เราคุยกันน้อยลง มันรู้สึกเฟลมากๆที่เพื่อนสนิทเราไปสนิทกับคนอื่นแต่พอมาคิดดุอีก เรามีสิทธิ์อะไรล่ะที่จะเฟลเพราะเพื่อนที่เขาสนิทด้วยนั่นก็เพื่อนเก่าของเขา คล้ายๆช่วงนั้นไม่ใช่แค่เราคุยกันน้อยลง แต่เราก็เงียบขึ้นเช่นกันเหมือนช่วง ม.ต้น เลย ช่วงนี้เรารู้สึกว่าเริ่มคิดมากหลายเรื่องมากๆ ทั้งเรื่องครอบครัว ผลการเรียน แล้วก็เพื่อนอีกอ่ะ
เราเริ่มมีอาการหนักขึ้นร้องไห้นี่ 3-4 วันต่อสัปดาห์เลย นอนก็ไม่ค่อยหลับ คิดมากจนปวดหัวแล้วเราก็เริ่มกินยาพารามากขึ้นด้วย รู้สึกเศร้าๆบอกไม่ถูก เคยคิดที่จะฆ่าตัวตายอยู่หลายครั้งมากๆ มันมีความรู้สึกเหว้งๆยังไงไม่รู้ รู้สึกเหมือนอยู่ตัวคนเดียว รู้สึกเหมือนเราไม่มีเพื่อน เพื่อนที่อยู่ในกลุ่มก็นะ เขาก็มีเพื่อนของเขาอยู่แล้วนั่นก็คือเพื่อนสมัย ม.ต้น เพื่อนเก่าเราที่เคยสนิทก็เจอกันน้อยลงเพราะอาจเขามีเพื่อนใหม่ด้วย 3 ปีมานี่เราพยายามอดทนเพื่อมาหาสิ่งใหม่ๆแต่ก็กลับแย่กว่าเดิมด้วยซ้ำ คือเราไม่มีเพื่อนที่ไว้ใจที่จะคอยรับฟังเราอีกต่อไปแล้ว หลายๆเรื่องทำให้เราเริ่มคิดมากกว่าเก่า ตอนแรกเราเคยคิดนะว่าไม่อยากตายเราแค่อยากมีชีวิตที่ดีขึ้นขอแค่นั้นพอ แต่ตอนนั้นเราเปลี่ยนความคิดนั้น คือเราอยากตาย
คืนนั้นเป็นคืนที่เราคิดมากที่สุดในชีวิตเลย เราเก็บตัวอยู่แต่ในซอกบ้าน คิดเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้น จนเราพลั้งมือหยิบคัตเตอร์จะพยายามฆ่าตัวเองให้ตายรู้แล้วรู้รอดไปซะ เราไม่อยากมีชีวิตแบบนี้แล้ว แต่ยายเรามา้ห็นเข้าเราเลยทำไม่สำเร็จ ยายถามเราว่าร้องไห้ทำไม เราก็ไม่บอกอะไร ยายเข้าใจว่าเราเครียดเรื่องเกรด ตอนนั้นเราร้องไห้หนักจริงๆจนหน้าแดงเป้นเลือดเลย ตาก็บวม จนรู้สึกปวดหัวมากๆจนต้องเข้าโรงบาล ตอนนั้นพี่เราสังเกตุเห็นรอยคัตเตอร์ที่เรากีดเเขนตัวเอง พี่เขาคิดว่าเราเครียดก้บอกหมอไป หมอก็มาพูดกับเราหลายๆเรื่อง สุดท้ายเราก็ได้ยากลับบ้านมากินมันเป็นอย่าแก้ปวด ยาแก้เครียด ตอนแรกหมอจะให้ยานอนหลับมาแต่เราอายุน้อยเกินไป หลังจากนั้นเราก็ซึมไปเป็นเดือนๆกว่าจะกลับมาดีขึ้น มันมีเรื่องคิดมากอยู่เหมือนเดิมนั่นแหละแต่เราพยายามคิดน้อยลง หาอะไรทำเพื่อไม่อยากให้ตัวเองคิดมาก
หลังจากผ่านไป 3 เดือน ตรงกับเราปิดเทอม เรารู้สึกว่ามันเริ่มจะกลับมาอีกแล้ว เทอมหน้าเราต้องย้ายห้องก็เหมือนกับเราไม่ได้เจอเพื่อนที่เล่นด้วยกัน มันเท่ากับเราต้องหาเพื่อนใหม่อีกครั้ง แล้วช่วงปิดเทอมเราไม่ค่อยได้ทำอะไร เราเริ่มกลับมาคิดมากเริ่มร้องไห้อีกแล้ว รู้สึกแย่เหมือนกับตอนนั้นเลยนอนก็นอนไม่ค่อยหลับเลย เรานอนดึกมากพอมากลางวันเราก็รู้สึกเพลียๆบ่อยๆ รู้สึกว่าชีวิตนี้เราพังแล้ว ไม่อยากมีความรู้สึกแบบนี้เลยทำอะไรมันก้แย่ไปหมด บางทีเราก็คิดโรคจิตนะว่าอยากทำให้ตัวเองความจำเสื่อมคงดีจะได้ไม่ต้งจำอะไร สร้างความจำดีๆขึ้นใหม่ เราไม่รู้ว่าเราแค่เครียดไหม เราไม่ได้มีภาวะโรคซึมเศร้าใช่ไหม เราควรพบจิตแพทย์ไหม วอนผู้มีความรู้มาตอบทีค่ะ