สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 3
อ่านเพลินดี คุณเป็นคุณแม่ที่น่ารักคนนึง ลูกสาวก็น่ารัก
สมัยวัยรุ่น เราเคยดื้อเกเร ไม่ตั้งใจเรียน แต่แม่เราใจดี ตามใจให้อิสระมาตลอด
ทุกวันนี้เสียดาย ว่าแม่น่าจะด่าเก่ง ๆ น่าจะพูดอะไรแรง ๆ ใส่หน้าให้เราได้สติบ้าง
แต่เราก็มากลับตัวได้ มีความรับผิดชอบมากขึ้นตอนจบและทำงานนะ
ที่ร่ายยาวมาข้างบน เราจะปูพื้นว่าแม่เราใจดีเหมือนคุณ แต่เราว่าเราคงไม่ใจดีเหมือนแม่
แม่เราใจกว้างด้วย ไม่บังคับเรื่องมีแฟน และไม่บังคับเรื่องแต่งงาน
เราเลยมีความคิดไม่เหมือนชาวบ้าน สำหรับเราคำว่า "ทดลองอยู่ก่อนแต่ง" ไม่มีในสารบบเรา
มีแต่ "อยู่กันเฉย ๆ โดยไม่แต่ง" เพราะเราไม่ได้อินอะไรกับการจัดงานและพิธีทางศาสนาอะไรทั้งนั้น
การที่เราจะอยู่กับผู้ชายคนไหน คือเราคิดว่าเลือกจะอยู่กับคนนั้น โดยไม่คาดหวังว่าต้องแต่งทีหลัง
ต่างกับสาว ๆ บางคนที่ไปอยู่กินกับผู้ชาย แล้วหวังว่าวันดีคืนดีผู้ชายจะพาพ่อแม่มาขอ
ซึ่งส่วนใหญ่ผู้ชายและพ่อแม่เขามักจะเนือย ๆ ไม่อยากเท่าไหร่ แล้วสุดท้ายก็มีปัญหาน้อยใจกัน
จนมีมาตั้งกระทู้แทบทุกวัน
เรื่องทดลองอยู่เพื่อดูนิสัยใจคอและเรื่องบนเตียงเป็นเรื่องตลกสำหรับเรา เพราะนิสัยคนเรามันดูออกกันได้ง่าย ๆ
99.99% แสดงให้เห็นตั้งแต่แรกแหละ แต่ไม่อยากเห็นเอง
ส่วนเรื่องบนเตียงก็เห็นส่วนใหญ่ได้เสียกันจนหายอยากก่อนแต่ง จะบอกว่าต้องทดลองงานอีก 3 ปีมันก็ความรู้สึกช้าไปหน่อย
ทีนี้ขอคุยตรงจุดที่ว่าเราไม่ใจดีเหมือนแม่ เราคิดว่าตราบใดที่เรายังต้องส่งลูกเรียน
เราคงไม่ยินดีที่ลูกจะอยู่กินกับใคร เพราะเราส่งไปเรียนไม่ได้ให้ไปทำอย่างอื่น
และการจะนอนกับผู้ชายตั้งแต่อายุยังน้อย (น้อยนี่คือต่ำกว่า 20) เราก็ยังทำใจไม่ได้
ใครบอกว่ามันเป็นเรื่องธรรมชาติ เราก็เข้าใจ แต่เราก็รู้ว่าคนเราไม่ต้องตามใจธรรมชาติทุกเรื่องก็ได้มั้ง
ไม่งั้นเวลาเราหิวเดินไปเจออาหารก็จะตะกรุมตะกรามกินได้ เพราะมันเป็นธรรมชาติที่คนเราต้องหิวหรือ
แต่เราก็ยังเผื่อใจรับฟังคนที่เห็นต่างอยู่นะ อยากให้คนที่มีเหตุผลดี ๆ มาแลกเปลี่ยนความคิดกับเราเหมือนกัน
เพราะความคิดคนเรามันยืดหยุ่นและเปลี่ยนได้ อีก 2 ปี เราอาจคิดต่างจากวันนี้ก็ได้
หรือเราคิดผิดตรงไหน ใครช่วยบอกที
สมัยวัยรุ่น เราเคยดื้อเกเร ไม่ตั้งใจเรียน แต่แม่เราใจดี ตามใจให้อิสระมาตลอด
ทุกวันนี้เสียดาย ว่าแม่น่าจะด่าเก่ง ๆ น่าจะพูดอะไรแรง ๆ ใส่หน้าให้เราได้สติบ้าง
แต่เราก็มากลับตัวได้ มีความรับผิดชอบมากขึ้นตอนจบและทำงานนะ
ที่ร่ายยาวมาข้างบน เราจะปูพื้นว่าแม่เราใจดีเหมือนคุณ แต่เราว่าเราคงไม่ใจดีเหมือนแม่
แม่เราใจกว้างด้วย ไม่บังคับเรื่องมีแฟน และไม่บังคับเรื่องแต่งงาน
เราเลยมีความคิดไม่เหมือนชาวบ้าน สำหรับเราคำว่า "ทดลองอยู่ก่อนแต่ง" ไม่มีในสารบบเรา
มีแต่ "อยู่กันเฉย ๆ โดยไม่แต่ง" เพราะเราไม่ได้อินอะไรกับการจัดงานและพิธีทางศาสนาอะไรทั้งนั้น
การที่เราจะอยู่กับผู้ชายคนไหน คือเราคิดว่าเลือกจะอยู่กับคนนั้น โดยไม่คาดหวังว่าต้องแต่งทีหลัง
ต่างกับสาว ๆ บางคนที่ไปอยู่กินกับผู้ชาย แล้วหวังว่าวันดีคืนดีผู้ชายจะพาพ่อแม่มาขอ
ซึ่งส่วนใหญ่ผู้ชายและพ่อแม่เขามักจะเนือย ๆ ไม่อยากเท่าไหร่ แล้วสุดท้ายก็มีปัญหาน้อยใจกัน
จนมีมาตั้งกระทู้แทบทุกวัน
เรื่องทดลองอยู่เพื่อดูนิสัยใจคอและเรื่องบนเตียงเป็นเรื่องตลกสำหรับเรา เพราะนิสัยคนเรามันดูออกกันได้ง่าย ๆ
99.99% แสดงให้เห็นตั้งแต่แรกแหละ แต่ไม่อยากเห็นเอง
ส่วนเรื่องบนเตียงก็เห็นส่วนใหญ่ได้เสียกันจนหายอยากก่อนแต่ง จะบอกว่าต้องทดลองงานอีก 3 ปีมันก็ความรู้สึกช้าไปหน่อย
ทีนี้ขอคุยตรงจุดที่ว่าเราไม่ใจดีเหมือนแม่ เราคิดว่าตราบใดที่เรายังต้องส่งลูกเรียน
เราคงไม่ยินดีที่ลูกจะอยู่กินกับใคร เพราะเราส่งไปเรียนไม่ได้ให้ไปทำอย่างอื่น
และการจะนอนกับผู้ชายตั้งแต่อายุยังน้อย (น้อยนี่คือต่ำกว่า 20) เราก็ยังทำใจไม่ได้
ใครบอกว่ามันเป็นเรื่องธรรมชาติ เราก็เข้าใจ แต่เราก็รู้ว่าคนเราไม่ต้องตามใจธรรมชาติทุกเรื่องก็ได้มั้ง
ไม่งั้นเวลาเราหิวเดินไปเจออาหารก็จะตะกรุมตะกรามกินได้ เพราะมันเป็นธรรมชาติที่คนเราต้องหิวหรือ
แต่เราก็ยังเผื่อใจรับฟังคนที่เห็นต่างอยู่นะ อยากให้คนที่มีเหตุผลดี ๆ มาแลกเปลี่ยนความคิดกับเราเหมือนกัน
เพราะความคิดคนเรามันยืดหยุ่นและเปลี่ยนได้ อีก 2 ปี เราอาจคิดต่างจากวันนี้ก็ได้
หรือเราคิดผิดตรงไหน ใครช่วยบอกที
ความคิดเห็นที่ 16
จริงๆเเล้วเราเป็นคนที่หัวโบราณมากๆกับเรื่องพวกนี้ เราเป็นห่วงหน้าตาตัวเองมาก อายญาติพี่น้อง เเต่เราก็ไม่เคยคิดที่จะหยุดเค้า เพราะเรารู้ว่าเค้ารักกัน เเละเราก็ไม่อยากเห็นลูกเป็นทุกข์ ภาพรวมๆเเล้ว เค้าทั้งคู่เป็นผู้ใหญ่ที่ดีในสังคมคนนึง ตั้งเเต่สมัยเรียน เค้าช่วยกันติวหนังสือ ชวนกันไปออกกำลังกาย ไปเที่ยวในที่ต่างๆด้วยกัน เค้ามักไปปีนเขาด้วยกันบ่อยๆ ทะเล น้ำตก เที่ยวต่างจังหวัด หรือเเม้เเต่วันครบรอบต่างๆ เค้าสนุกที่ได้ไปกินอาหารนอกบ้านด้วยกัน เราได้เห็นการที่ครอบครัวเค้าต้อนรับลูกเรา เรารู้ว่า ทางครอบครัวฝ่ายชายก็เอ็นดูลูกสาวเราอยู่ไม่น้อย ซึ่งเราเองก็เอ็นดูเเฟนลูกสาวไม่ต่างกัน เรายอมรับว่าเด็กผู้ชายคนนี้เป็นเด็กที่ผ่านการอบรมมาดี รู้จักการเข้าหาผู้ใหญ่ ตลอดเวลาที่เค้าเป็นเเฟนกัน เราต้อนรับเค้าเหมือนลูกตัวเอง
ภาพที่เราเห็นมันทำให้เรารู้ว่า เด็กทั้งคู่มีความสุขมาก เราจึงไม่เคยคิดที่จะเเยกเค้าออกจากกัน
เค้าให้เหตุผลมาว่า เค้ากับเเฟนจริงจังที่จะใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน เเต่เค้ายังไม่ต้องการจะเเต่งงานเวลานี้ เค้าบอกว่าอายุเค้าเเค่ 24 เค้าอยากรอสัก 27 เค้าบอกว่า การเเต่งงานตอนนี้มันเหมือนกันผูกมัด เค้ายังอยากมีอิสระกับชีวิต เค้าบอกว่า ต่อให้เเต่ง ถ้าคนจะเลิกกัน ยังไงก็เลิก ต่อให้ไม่เเต่ง ถ้ารักเเละอยากใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน ยังไงซะก็ได้อยู่ด้วยกัน เค้าบอกว่า การอยู่กินกัน มันไม่ใช่การทดลอง เเต่อยู่เพราะมีความสุขที่จะอยู่ ทะเบียนสมรสเป็นเพียงเเค่กระดาษใบนึง ไม่ได้มีค่าอะไรสำหรับเค้า
เราคุยกับเค้าเรื่องทางกฏหมาย ทรัพย์สินที่เค้าซื้อร่วมกัน มันจะมีผลยังไง เค้าให้เหตุผลว่า ถ้าเลิกกันยังไงก็คนละครึ่งอยู่เเล้ว เเต่ถ้าตายจากกัน ทรัยพ์สินก็จะกลับไปเป็นของพ่อเเม่ เเบบนี้ก็ดีเเล้วไม่ใช่เหรอ ส่วนเงินเกษียณตอนนี้เค้าลงชื่อเเฟนเค้ากับน้องชายเป็นผู้รับผลประโยชน์ เเต่ถ้าเลิกกันไปก่อน เค้าก็เเค่เอาชื่อเเฟนเค้าออกเเค่นั้นเอง ..........คุยกับเด็กรุ่นใหม่เเล้วเราปวดเรา เราพยายามจริงๆนะที่จะเข้าใจเด็กสมัยนี้
เราคุยกันต่อเรื่องถ้าเลิกกันไป ผู้หญิงจะเป็นฝ่ายเสียหายนะลูก เค้าบอกว่า เราต่างเป็นเเฟนคนเเรกของกันเเละกัน เด็กทั้งคู่ไม่เคยมีเเฟนมาก่อน มันคงจะไม่ใช่เรื่องเลวร้ายจนเกินไปหรอกนะ ถ้าเค้าจะต้องคบหาเเฟนมากกว่าหนึ่งคนจนกว่าจะเจอคนที่ใช่จริง ถ้าเเฟนเค้าใช่มันก็ดีไป เเต่ถ้าไม่ใช่ เค้าต้องเสียใจเเน่ๆ เเต่เค้าก็จะยอมรับ เเละยังคงใช้ชีวิตต่อไป อาจจะเจอคนที่ดีกว่าก็ได้ เค้าบอกว่า เค้าไม่ใช่เเนวเปลี่ยนเเฟนไปเรื่อยๆ เค้าจริงจังกับเเฟนเค้ามาก เเต่ถ้าวันนีงมันไม่ใช่ ก็ไม่เป็นไร ชีวิตยังต้องเดินต่อไป เออ...เน๊าะ เราอาจจะเเก่เกินไปเเล้วจริงๆก็ได้ ถึงไม่ค่อยจะเข้าใจความคิดของเด็กสมัยนี้เลย
ลูกสาวยังพูดติดตลกต่อไปอีกว่า เเม่มองดูลูกสาวเเม่นะ สวยขนาดนี้ เเก่งขนาดนี้ เเม่คิดว่าจะหาผู้ชายดีๆสักคนยากจริงๆเหรอ เค้าหัวเราะ.. เราคิดว่า เราจะไม่คุยกับเค้าถึงเรื่องนี้เเล้วหละ ถ้าเค้าไม่คิดที่จะเเต่งเราก็จะไม่ไปบังคับ เเต่ยังไงซะ ก่อนที่จะมีลูกด้วยกัน เอาไว้ค่อยกดคอเค้าก็เเล้วกัน ถึงเวลานั้น เราค่อยเป็นเเม่ใจร้าย
เราขอขอบคุณทุกความคิดเห็นนะคะ คำว่าไม่ยอมให้ลูกทำ เราซึ่งเป็นพ่อเเม่พูดกันง่าย เราก็เคยคิดเเบบนั้น เเต่พอมันถึงเวลาจริงๆ มันไม่ง่ายอย่างที่พูดเลยจริงๆ เราเชื่อนะว่า ต่อให้เราห้าม เค้าก็จะไปเเอบทำ มีเด็กวัยรุ่นนหลายคนที่คบเเฟนตั้งเเต่อายุยังน้อย น้อยกว่าลูกเราก็มี เยอะด้วย เเต่เลือกที่จะปิดบังพ่อเเม่ เพราะรู้ว่าพ่อเเม่ไม่มีทางยอมรับ พ่อเเม่บางคนบังคับให้เลิกกัน ซึ่งเราไม่อาจะทนเห็นลูกเป็นทุกข์ได้จริงๆ เราอาจจะเป็นเเม่ที่เเย่ ที่ไม่อาจจะอบรมลูกให้เป็นกุลสตรี รักนวลสงวนตัวได้ เเต่เราก็ภูมิใจมาก ที่เค้าเป็นเด็กฉลาด เด็กทั้งคู่เรียนจบจากมหาลัยอันดับต้นๆ จบด้วยเกรดเฉลี่ยที่สวยงามทั้งคุ่ มีหน้าที่การงานที่ดีมาก ช่วงโควิดที่ผ่านมาทำงานที่บ้านทั้งคู่ รู้จัการวางตัวในสังคม เป็นผู้ใหญ่ที่อ่อนโยน เอาตัวรอดได้ เเละที่สำคัญคือ เค้ามีความสุขในชีวิต
ตอนนี้เราไม่สนเเล้วจริงๆค่ะ ว่าญาติคนไหนจะมองเรายังไง ตั้งเเต่ที่ลูกร้องไห้คราวนั้น ความคิดเราเปลี่ยนไปจริงๆ ขอบคุณทุกความเห็นอีกครั้งนะคะ สวัสดีค่ะ
ภาพที่เราเห็นมันทำให้เรารู้ว่า เด็กทั้งคู่มีความสุขมาก เราจึงไม่เคยคิดที่จะเเยกเค้าออกจากกัน
เค้าให้เหตุผลมาว่า เค้ากับเเฟนจริงจังที่จะใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน เเต่เค้ายังไม่ต้องการจะเเต่งงานเวลานี้ เค้าบอกว่าอายุเค้าเเค่ 24 เค้าอยากรอสัก 27 เค้าบอกว่า การเเต่งงานตอนนี้มันเหมือนกันผูกมัด เค้ายังอยากมีอิสระกับชีวิต เค้าบอกว่า ต่อให้เเต่ง ถ้าคนจะเลิกกัน ยังไงก็เลิก ต่อให้ไม่เเต่ง ถ้ารักเเละอยากใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน ยังไงซะก็ได้อยู่ด้วยกัน เค้าบอกว่า การอยู่กินกัน มันไม่ใช่การทดลอง เเต่อยู่เพราะมีความสุขที่จะอยู่ ทะเบียนสมรสเป็นเพียงเเค่กระดาษใบนึง ไม่ได้มีค่าอะไรสำหรับเค้า
เราคุยกับเค้าเรื่องทางกฏหมาย ทรัพย์สินที่เค้าซื้อร่วมกัน มันจะมีผลยังไง เค้าให้เหตุผลว่า ถ้าเลิกกันยังไงก็คนละครึ่งอยู่เเล้ว เเต่ถ้าตายจากกัน ทรัยพ์สินก็จะกลับไปเป็นของพ่อเเม่ เเบบนี้ก็ดีเเล้วไม่ใช่เหรอ ส่วนเงินเกษียณตอนนี้เค้าลงชื่อเเฟนเค้ากับน้องชายเป็นผู้รับผลประโยชน์ เเต่ถ้าเลิกกันไปก่อน เค้าก็เเค่เอาชื่อเเฟนเค้าออกเเค่นั้นเอง ..........คุยกับเด็กรุ่นใหม่เเล้วเราปวดเรา เราพยายามจริงๆนะที่จะเข้าใจเด็กสมัยนี้
เราคุยกันต่อเรื่องถ้าเลิกกันไป ผู้หญิงจะเป็นฝ่ายเสียหายนะลูก เค้าบอกว่า เราต่างเป็นเเฟนคนเเรกของกันเเละกัน เด็กทั้งคู่ไม่เคยมีเเฟนมาก่อน มันคงจะไม่ใช่เรื่องเลวร้ายจนเกินไปหรอกนะ ถ้าเค้าจะต้องคบหาเเฟนมากกว่าหนึ่งคนจนกว่าจะเจอคนที่ใช่จริง ถ้าเเฟนเค้าใช่มันก็ดีไป เเต่ถ้าไม่ใช่ เค้าต้องเสียใจเเน่ๆ เเต่เค้าก็จะยอมรับ เเละยังคงใช้ชีวิตต่อไป อาจจะเจอคนที่ดีกว่าก็ได้ เค้าบอกว่า เค้าไม่ใช่เเนวเปลี่ยนเเฟนไปเรื่อยๆ เค้าจริงจังกับเเฟนเค้ามาก เเต่ถ้าวันนีงมันไม่ใช่ ก็ไม่เป็นไร ชีวิตยังต้องเดินต่อไป เออ...เน๊าะ เราอาจจะเเก่เกินไปเเล้วจริงๆก็ได้ ถึงไม่ค่อยจะเข้าใจความคิดของเด็กสมัยนี้เลย
ลูกสาวยังพูดติดตลกต่อไปอีกว่า เเม่มองดูลูกสาวเเม่นะ สวยขนาดนี้ เเก่งขนาดนี้ เเม่คิดว่าจะหาผู้ชายดีๆสักคนยากจริงๆเหรอ เค้าหัวเราะ.. เราคิดว่า เราจะไม่คุยกับเค้าถึงเรื่องนี้เเล้วหละ ถ้าเค้าไม่คิดที่จะเเต่งเราก็จะไม่ไปบังคับ เเต่ยังไงซะ ก่อนที่จะมีลูกด้วยกัน เอาไว้ค่อยกดคอเค้าก็เเล้วกัน ถึงเวลานั้น เราค่อยเป็นเเม่ใจร้าย
เราขอขอบคุณทุกความคิดเห็นนะคะ คำว่าไม่ยอมให้ลูกทำ เราซึ่งเป็นพ่อเเม่พูดกันง่าย เราก็เคยคิดเเบบนั้น เเต่พอมันถึงเวลาจริงๆ มันไม่ง่ายอย่างที่พูดเลยจริงๆ เราเชื่อนะว่า ต่อให้เราห้าม เค้าก็จะไปเเอบทำ มีเด็กวัยรุ่นนหลายคนที่คบเเฟนตั้งเเต่อายุยังน้อย น้อยกว่าลูกเราก็มี เยอะด้วย เเต่เลือกที่จะปิดบังพ่อเเม่ เพราะรู้ว่าพ่อเเม่ไม่มีทางยอมรับ พ่อเเม่บางคนบังคับให้เลิกกัน ซึ่งเราไม่อาจะทนเห็นลูกเป็นทุกข์ได้จริงๆ เราอาจจะเป็นเเม่ที่เเย่ ที่ไม่อาจจะอบรมลูกให้เป็นกุลสตรี รักนวลสงวนตัวได้ เเต่เราก็ภูมิใจมาก ที่เค้าเป็นเด็กฉลาด เด็กทั้งคู่เรียนจบจากมหาลัยอันดับต้นๆ จบด้วยเกรดเฉลี่ยที่สวยงามทั้งคุ่ มีหน้าที่การงานที่ดีมาก ช่วงโควิดที่ผ่านมาทำงานที่บ้านทั้งคู่ รู้จัการวางตัวในสังคม เป็นผู้ใหญ่ที่อ่อนโยน เอาตัวรอดได้ เเละที่สำคัญคือ เค้ามีความสุขในชีวิต
ตอนนี้เราไม่สนเเล้วจริงๆค่ะ ว่าญาติคนไหนจะมองเรายังไง ตั้งเเต่ที่ลูกร้องไห้คราวนั้น ความคิดเราเปลี่ยนไปจริงๆ ขอบคุณทุกความเห็นอีกครั้งนะคะ สวัสดีค่ะ
แสดงความคิดเห็น
ลูกสาวเรา ใช้ชีวิตอยู่กับผู้ชายก่อนแต่ง
ตลอดระยะเวลาที่คบหากัน ทั้งคู่ดูแลเอาใจใส่กันดี เค้าใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันตั้งแต่ปีสอง ปีแรกลูกสาวอยู่หอ และย้ายออกไปเช่าอพาตเม้นท์ตอนปีสอง เค้าไม่ได้บอกว่าเค้าอยู่ด้วยกัน แต่สัมผัสที่หกเราบอกว่าเค้าอยู่ด้วยกัน เราไม่กล้าถาม เพราะกลัวคำตอบ
เราไม่เคยห้ามให้เค้าคบกัน เพราะเราเคยผ่านวัยนั้นมาก่อน เรารู้อยู่ว่า ต่อให้เราห้าม เค้าก็จะแอบไปคบกันอยู่แล้ว เราจึงเปลี่ยนจากห้ามมาสอนแทน เราสอนเรื่องโรคติดต่อ การตั้งครรภ์ การรับมือในสถานการณ์ที่ทะเลาะกัน ทำยังไงไม่ไห้เสียการเรียน เพราะเราเปิดใจ ลูกสาวเลยกล้าเปิดใจกับเรา เค้ามักจะโทรมาปรึกษาเวลาที่เค้ามีปัญหา รวมไปถึงเวลาที่เค้าเถียงกับแฟน เราเป็นเเม่ลูกที่คุยกันเยอะมาก
แฟนของลูกสาวมาบ้านเราบ่อยๆ เราให้แฟนเค้านอนที่ห้องรับรองแขกทุกครั้งที่แฟนเค้ามานอนค้างที่บ้าน และเช่นกัน เวลาที่ลูกสาวไปนอนค้างบ้านแฟนเค้า ทางพ่อแม่แฟนเค้าก็จะจัดห้องรับรองให้ลูกสาวเราเหมือนกัน เราเคยคุยเรื่องนี้กับลูกสาวแบบจริงจังมาก ห้ามนอนห้องเดียวกับแฟนเวลาที่ไปค้างคืนบ้านแฟน มันไม่สมควร พ่อแม่ฝ่ายชายจะดูถูกเราได้ ลูกสาวเราบอกว่า ไม่ต้องเป็นห่วงในเรื่องนั้น เพราะพ่อแม่แฟนเค้าก็จัดห้องพักไว้ให้เค้าเหมือนกับที่เราจัดไว้ให้แฟนเค้าเหมือนกัน พ่อแม่ฝ่ายชายเคยมาเยี่ยมเราด้วยค่ะ เค้าอยากทำความรู้จัก เราก็อือ..ได้ อยากรู้จักก็จะให้รู้จัก
และแล้วเด็กทั้งคู่ก็เรียนจบ ลูกสาวบอกว่า เค้าจะใช้ชีวิตอยู่กับแฟนที่เมืองหลวง เค้ายังไม่พร้อมที่จะแต่งงาน แต่เค้าอยากอยู่ด้วยกัน เราก็อืมม...ต้องยอมรับนั่นแหละ จะชอบหรือไม่ก็ต้องยอมรับและพยายามเข้าใจ
หลังเรียนจบ เค้าเช่าอพาตเม้นท์อยู่ด้วยกัน ทั้งคู่ที่หน้าที่การงานที่ดีและมั่นคง ทั้งคู่ตัดสินใจซื้อบ้านร่วมกันในปีแรกของการทำงาน แต่ก็ยังไม่ได้แต่งงานกันนะ ลูกสาวเรามักจะโพสเรื่องราวของเค้าและแฟนผ่านเฟสบุ๊ก เค้าช่วยกันจัดแต่งบ้าน แฟนเค้าใช้เวลาส่วนมากตบแต่งบ้านให้น่าอยู่ ตัดไม้ทำโต๊ะทำงานเอง ติดม่าน เปลี่ยนพื้น เรายอมรับเลยว่า เค้าเป็นหนุ่มวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ ที่จับเครื่องมือช่างได้สุดติ่งมาก
ส่วนลูกสาวเรา เค้ามักจะโพสอาหารที่เค้าทำ เค้าหัดทำอาหารหลากหลาย เค้าทำอาหารได้น่ากินทุกอย่าง แม้จะหัดทำเป็นครั้งแรก เราก็ดูออกว่าเค้ามีพรสวรรค์มาก ลูกสาวชอบจัดบ้านให้น่าอยู่ เค้าสามารถสานต่อตำราแม่บ้านแม่เรือนที่เราสอนได้ดีเยี่ยม ก็แน่ละซิ เราตั้งใจส่งต่อวิชานี้ให้ลูกอย่างจริงจังมาก เราสอนเค้าเสมอว่า จำเป็นมากที่ลูกผู้หญิงต้องเป็นการบ้านงานเรือน มันอาจจะไม่จำเป็นที่จะต้องทำให้สามี แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่เค้ามีลูก มันจะสำคัญมากในบทบาทของความเป็นแม่
เข้าปีที่สอง เเฟนเค้าซื้อบ้านเช่าหลังแรก เป็นบ้านแฝดสองคูหา เค้าบอกว่า อยากเริ่มหารายได้ที่มั่นคงหลังเกษียณ ทั้งที่ตอนนี้ทั้งคู่อายุแค่ 24 แต่ก็ยังไม่เคยคุยถึงเรื่องแต่งงาน
เมื่อวานก่อน เราจำไม่ได้แล้วว่าเราเริ่มคุยกับลูกสาวถึงเรื่องอะไร มารู้ตัวอีกที เราก็หลุดพูดจาต่อว่าลูกสาวไปว่า อยู่กันก่อนแต่ง เคยเห็นหัวแม่บ้างไหม แม่อายญาติพี่น้อง ครอบครัวเราเป็นครอบครัวใหญ่ ทำไมทำอะไรคิดถึงแต่ตัวเอง
ลูกสาวเราร้องไห้ เค้าบอกว่า ไม่เคยคิดว่าสิ่งที่เค้าทำ จะทำให้แม่เสียใจได้ขนาดนี้ เค้าถามเราว่า เราอยากให้เค้าแต่งงานเมื่อไหร่ เค้าจะจัดงานแต่งให้เรา ทั้งที่เค้าคิดว่ามันไม่สำคัญอะไร
ลูกสาวเราบอกว่า เค้ายังไม่คิดเรื่องแต่งงานเลย เค้าอยากสร้างฐานะให้มั่นคงก่อน เค้ากับแฟนใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันเพราะเค้ารักกัน เค้าบอกว่างานแต่งต้องหยุดงาน ต้องใช้เงิน ต้องใช้เวลา เค้าอยากพร้อมมากกว่านี้ แต่ถ้าแม่อยากให้แต่งเค้าก็จะแต่ง และเค้าก็ยังบอกเราอีกว่า เค้าอยากเก็บเงินซื้อบ้านหลังใหม่ให้ใหญ่กว่าเดิม เพราะเค้าอยากเผื่อไว้ในวันข้างหน้าถ้าเราแก่ชราแล้วอยากไปอยู่กับเค้า จริงๆแล้วบ้านหลังนี้เค้าก็ทำห้องเผื่อไว้ให้เราแล้ว บ้านเค้าสามชั้น เค้ายกให้เราทั้งชั้น มีห้องนอน น้องน้ำ และห้องรับแขกเล็กๆแยกเป็นสัดส่วน แต่เพราะแม่ของแฟนเค้าขอเข้าไปอยู่ก่อนเรา แกเดินทางไปต่างประเทศบ่อย ไม่ค่อยได้มาพัก จึงตัดสินใจขายบ้านตัวเองและย้ายมาอยู่กับลูก ลูกสาวเราเคยปรึกษาเราเรื่องนี้ เราก็เห็นด้วย อยากปลูกฝังให้เค้ารักและเคารพ อยากให้เค้าเต็มใจที่จะดูแลแม่สามี ไม่อยากให้แบ่งแยกแม่ฉันแม่เธอ
ลูกสาวเราบอกว่า เค้ารักเรา เค้าไม่อยากให้เราเสียใจ เค้าถามเราว่า อยากให้เค้าแต่งงานเมื่อไหร่ เราบอกกับลูกไว้ว่า สักอายุ 27 กำลังดี คราวนี้ลูกสาวหัวเราะร่วนเลย เค้าบอกว่านั่นคือที่เค้าคิดไว้ เค้าคิดว่าเราอยากให้เค้าแต่งตอนนี้ซะอีก เค้าบอกว่า เค้าไม่อยากผิดใจกับพ่อแม่จนพูดคุยกันไม่ได้ เค้ายังอยากมาเยี่ยมเยียน อยากพาพ่อแม่ออกไปกินข้าว วันข้างหน้าอยากพาหลานมาฝากไว้เวลาปิดเทอม ลูกสาวเราเชื่อว่าเราจะเป็นยายที่ดี ตอนนี้น้ำตาเราไหลเลยค่ะ
ณ ขณะนี้ การมองโลกของเราเปลี่ยนไป จากที่เค้าเคยคิดว่า มีแฟนในวัยเรียนเป็นเรื่องที่ผิด การอยู่ก่อนแต่งเป็นเรื่องที่ผิด ตอนนี้เรามีความสุขกับความคิดและการกระทำของลูกสาว เราภูมิใจในตัวเค้ามาก เรารู้ว่า ความสุขของเราคือได้เห็นชีวิตลูกมีความสุข เพื่อลูกของเรา ไม่ใช่เพื่อหน้าตาของเรา เรายังอยากให้ลูกมีงานแต่งนะ เราอยากจัดงานเล็กๆ ยกน้ำชาที่บ้าน งานเลี้ยงที่สวนหลังบ้าน อยากเชิญเฉพาะญาติพี่น้องและเพื่อนสนิทเท่านั้น อยากจัดงานต้อนรับสมาชิกใหม่เข้าสู่ครอบครัว ทั้งที่ตอนนี้เราก็รับแฟนเค้าเข้ามาเป็นคนในครอบครัวมานานแล้วหละ (วาดงานแต่งไว้ซะเยอะแยะ ตกลงงานแต่งใครวะเนี่ย) แหม..ก็เค้าบอกเองว่า จะแต่งให้เรา เราก็ต้องเป็นแม่งานซิ ใช่ไหมคะ
สอนให้เค้ารักและเอาใจใส่กัน สอนให้เค้ารักตัวเอง สอนให้เค้าเผื่อแผ่ความรักให้กับคนรอบๆตัว สอนให้เค้ามีความสุขกับชีวิต พ่อแม่อย่างเรา มีหน้าที่ส่งลูกให้ถึงฝั่ง เพราะเราไม่มีวันที่จะดูแลเค้าได้ตลอดไป การช่วยเค้าคัดกรองคู่ชีวิตจึงเป็นเรื่องสำคัญ อย่าห้ามแต่จงแนะนำ ชีวิตมนุษย์เรานั้นสั้นนัก ตอนนี้เรามีความสุขมากเลยค่ะ เเค่ลูกบอกว่าอยากดูเเลเราตอนเเก่ก็น้ำตาเเตก ลูกเอ๊ย..ใครบอกว่าเเม่อยากอยู่กับลูกตอนเเก่ เเม่อยากท่องโลกต่างหากล่ะ
ผ่านเรื่องราวของลูกสาว หมดห่วงไปเเล้วหนึ่ง ตอนนี้ลูกชายวัย 18 ก็กำลังคบหาดูใจอยู่กับสาวน้อยที่เรียนด้วยกัน มีเเฟนตอนอยู่ปีหนึ่งเหมือนพี่สาวเค้าเป๊ะเลยค่ะ ยังไม่เคยเจอเเฟนลูกชาย เคยเห็นเเต่ในรูปที่ลูกชายส่งมาให้ดู สวีทกันซะจริง จนน่าหมั่นไส้เลยค่ะ อะไรจะรักกันปานนั้น ลึกๆเเล้ว เราดีใจนะคะ ที่มีอีกคนที่รักลูกเรา
ถ้าเราเปิดใจรับฟัง ลูกก็จะเล่าให้เราฟัง เรายังย้ำคำเดิม อย่าห้ามเเต่จงเเนะนำ มีความสุขกับชีวิตนะคะ สวัสดีค่ะ