สวัสดีครับ พบกับผม "ตรัยโศก" กันอีกเช่นเคย เรื่องที่ผมจะนำมาเขียนเพื่อให้ทุกท่านได้อ่านกันรอบนี้ก็ยังคงเป็นเรื่องที่เกิดขึ้น ในขณะที่ผมยังห่มผ้าเหลืองอยู่เหมือนเดิม
มันเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงในสังคมปัจจุบันของเราเคยได้พบเห็นในข่าวตามโทรทัศน์บ้างหนังสือพิมพ์บ้าง หรือสื่อต่างๆทางอินเตอร์เน็ตบ้างซึ่งหลายครั้งที่ได้เข้าไปอ่าน มันก็ทำให้รู้สึกหดหู่ใจอย่างเหลือจะกล่าว
เรื่องราวของชายหญิงที่รักสนุกแต่ไม่รู้จักป้องกันเมื่อพลาดพลั้งตั้งครรภ์ขึ้นมาแล้วต่างฝ่ายต่างก็ยังไม่พร้อม หรืออีกนัยหนึ่งฝ่ายชายไม่รับผิดชอบ ก็ต้องหาวิธีแก้ไข เพียงแต่วิธีที่คิดได้นั้นมันเป็นวิธีที่ผิด
ทั้งผิดต่อศีลธรรมของบ้านเมือง
ที่ใครๆก็กล่าวถึงว่าบ้านเรานั้นเป็นเมืองพุทธ
ผิดต่อกฏแห่งกรรม
เพราะเป็นการคร่าชีวิตผู้อื่นอย่างทารุน
ผิดต่อตัวบทกฏหมาย
เพราะการกระทำนั้นถือว่าเป็นการฆ่าคนโดยเจตนา
และยังผิดต่อเด็กในท้องที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวจู่ๆก็ต้องถูกคนใจไม้ไส้ระกำ
ปลิดชีวิตก่อนที่จะทันได้ลืมตาดูโลก
ไม่มีแม้โอกาสจะร้องขอชีวิตด้วยซ้ำไป
ครับ การกระทำที่ผมกล่าวถึงเหล่านั้นคือสิ่งที่มนุษย์คนหนึ่งกระทำกับมนุษย์อีกคนหนึ่งที่ไร้ทางสู้ มันคือการกำจัดเด็กหรือการเอาเด็กออก
เด็กที่แม่แท้ๆของเขาเรียกว่า มารหัวขน มารหัวขนที่เกิดจากความคึกคะนองอยากลองอยากสนุก โดยไม่ป้องกันและไม่คิดถึงผลที่จะตามมา
(ไม่ได้เหมารวมถึง เหล่าเหยื่อที่ถูกกระทำอนาจารนะครับ กรณีนั้นตัวผู้หญิงเองเค้าไม่ได้ต้องการให้เกิด)
ไม่ว่าการกำจัดนั้นจะใช้วิธีกินยาขับเลือดหรือไปตามคลีนิคทำแท้งเถื่อน
มันก็เป็นวิธีที่ไม่ควรอย่างยิ่ง
ซึ่งหากมองในมุมของวิทยาศาสตร์หรือมุมมองของผู้เจริญแล้วด้วยวัตถุและปัญญาคนเหล่านั้นก็จะบอกว่า มันคือการฆ่าคนและคนที่ถูกฆ่านั้น สุดท้ายร่างกายก็จะกลายเป็นซาก อสุภะ เน่าเปื่อยย่อยสลายไปตามธรรมชาติและกาลเวลา ไม่มีอะไรหลงเหลือ
แต่หากมองในมุมของเรื่องจิตวิญญาณหรือโลกหลังความตาย นอกจากร่างกายที่สามารถย่อยสลายเน่าเปื่อย
เหี่ยวแห้งตามกาลเวลาแล้วยังมีอีกสิ่งหนึ่ง
ที่เรียกกันว่าดวงจิต
เพราะตามความเชื่อคนเรานั้นจะประกอบไปด้วย 2 สิ่ง คือร่างกาย กับวิญญาณหรือดวงจิตนั่นเอง เมื่อนำทั้ง 2 ส่วนมาประกอบเข้าด้วยกันก็จะเกิดเป็น คน หรือมนุษย์อย่างสมบูรณ์และดวงจิตที่พูดถึงนี่แหละมักจะเป็นต้นเหตุของความสยองหลายๆเรื่อง
ดวงจิตที่ผูกใจเจ็บอาฆาต คนที่ทำร้ายตนรอเวลาเอาคืนอย่างเคียดแค้นชิงชังผมเคยแต่เห็นแค่ในข่าวไม่เคยคิดว่าครั้งนี้ ผมจะต้องมาเห็นด้วยตาของตนเอง
เป็นภาพจริง เหตุการณ์จริงไม่มีตัวแสดงแทนใดๆทั้งสิ้น
เหตุการณ์ที่กล่าวมานี้เป็นยังไง เกิดอะไรขึ้นบ้างขอเชิญติดตามได้ ณ บัดนี้.......(กลอง รัว!!)
ในอีกไม่กี่วันก็จะเข้าพรรษาแล้ว
ผมยังคงทำหน้าที่ของบรรพชิต อย่างมิให้ขาดตกบกพล่อง (บางครั้งก็เกินไปบ้าง เพราะกลางคืนมันหิว มาม่าช่วยคุณได้เสมอ)
วันนี้ก็เช่นเคย หลังจากเสร็จสิ้นกิจกรรมในช่วงเช้าผมกับกลุ่ม สามสหายธรรมบันดาล หลวงพี่บอลหลวงพี่เพ็ญ หลวงพี่หน่องก็ช่วยกันก่อสร้างห้องน้ำอย่างขมักเขม้น
เต้ เด็กวัดผู้ทรงอิทธิพลเดินหิ้วถุงใส่น้ำอัดลมและเครื่องดื่มชูกำลังตรงมา
ทางพวกเรา เบื้องหลังเยื้องออกไปนิดหน่อยมีพระชรารูปหนึ่ง แบกกลดสะพายย่ามเดินตามหลังไอ้เต้มา
เมื่อหลวงพี่ทั้งสามแลเห็นพระรูปนั้นก็พากันยกมือไหว้อย่างนอบน้อม กล่าวทักทายกันพอสมควรจึงได้ทราบว่าพระรูปนี้ชื่อหลวงพ่อชอุ่ม เป็นพระอีกรูปที่จำพรรษาในวัดนี้แต่ทุกครั้งหลังช่วงกฐิน ท่านจะออกจาริกธุดงค์จนกระทั่งก่อนเข้าพรรษาถึงจะกลับวัด
ผมมองดูหลวงพ่อท่านนี้อย่างพินิจท่านเป็นคนรูปร่างไม่ค่อยจะสูงสักเท่าไหร่(ออกไปทางเตี้ยเลยก็ว่าได้)
ร่างท่านผอมเกร็งดูราวกับไม่น่าจะมีเรี่ยวแรงเดินด้วยซ้ำ แต่แววตานั้นเป็นประกายแค่สบตาแวบเดียวก็ต้องหลบตาทันทีความรู้สึกเหมือนว่าแววตาคู่นั้น
สามารถมองทุกสิ่งได้อย่างทะลุปรุโปร่ง
“รอบนี้ไปถึงไหนล่ะครับหลวงพ่อ” หลวงพี่บอลเอ่ยถาม
"ก็ใกล้ๆ บ้านเรานี่แหละ” หลวงพ่อชอุ่มเอ่ยตอบ
เท่าที่ผมจับใจความได้คือท่านเริ่มธุดงค์ออกจากอุตรดิตถ์ไปทาง สุโขทัย ตาก จากนั้นก็ลำพูน จุดหมายคือจังหวัดเชียงใหม่ปักกลดอยู่ที่ถ้ำเชียงดาว
พอดูวันเวลาทราบว่าใกล้จะเข้าพรรษาแล้ว ก็ออกจากเชียงใหม่เพื่อจะมาอุตรดิตถ์โดยผ่านทางจังหวัด เชียงราย น่าน แพร่ และอุตรดิตถ์ตามลำดับ
ท่านใช้เวลาในขากลับ 12 วันกับการเดินเท้าเกือบ 600 กม.ผมรู้สึกทึ่งกับสิ่งที่พระชราท่านนี้ทำ อย่าว่าแต่เดิน 600 กม. เลยครับ สำหรับผมแค่เดินจากกุฏิไปร้านค้าหน้าวัดห่างกันแค่ 400เมตร ก็หอบซี่โครงบานแล้ว
“ท่านรึ พระใหม่ ที่คืนแรกก็โดนรับน้องผีมาล้อมกุฏิน่ะ” หลวงพ่อชอุ่มเอ่ยถามผมขึ้น
อ้าว ผมนี่ก็โด่งดังใช่ย่อยนะเนี่ย ถูกต้องนะคร้าบบบพระใหม่ผู้ปิดประตูใส่หน้าผี ไม่ใช่ใครที่ไหน คือผมหนึ่งเดียวคนนี้ ดังไม่ดังก็ดูเอาเถอะครับขนาดหลวงพ่อท่านเพิ่งกลับมาจากธุดงค์ยังรู้เรื่องเลย
หรือว่าท่านจะมีตาทิพย์หูทิพย์ก็เลยทราบเหตุการณ์ทุกอย่างได้
“ครับ ว่าแต่หลวงพ่อทราบเรื่องได้ยังไงครับ” (ผมถามกลับไป ตาก็มองหาปากกาเมจิกเตรียมแจกลายเซ็น ว่าเข้าไปนั่น)
“ไอ้เต้มันเล่าให้ฟังเมื่อกี้” ท่านตอบพลางหัวเราะ
หลังจากนั่งสนทนากันครู่หนึ่งหลวงพ่อชอุ่มก็เดินไปหา หลวงพ่อเจ้าอาวาส บอกว่ามีเรื่องสำคัญจะคุยด้วย
พวกผมก็หันกลับมาทำงานกันต่อ
ขณะที่กำลังนั่งพัก หลังจากออกแรงกันอย่างสมบุกสมบัน เจ้าโอเลี้ยง หนึ่งในบรรดาหมาวัดก็คาบเอาถุงกระดาษใบใหญ่วิ่งตรงมาที่กลุ่มพวกผม พอมาถึงก็คายถุงกระดาษลง แล้ววิ่งหายไปทางใต้ถุนศาลา
“สงสัยมันจะเอาของขวัญมาฝากท่านนิ่มอีกแล้ว” พลวงพี่เพ็ญเอ่ยแซวเพราะโดยปกติเจ้าโอเลี้ยงมันมักจะคาบเอาซากนกซากหนูเอามาวางไว้ที่หน้าห้องผมล่าสุดเป็นซากงูเห่าตัวขนาดข้อมือเด็ก 10 ขวบเห็นจะได้ มันคาบมากองเผละไว้ที่หน้าห้องผม
ตอนนั้นผมกำลังจะออกจากห้องเพื่อไปฉันเพลก้มลงมองรองเท้าก็เกือบเป็นลมงูเห่าตัวบักเอ้บ นอนดำมะเมื่อม
ห่างจากปลายเท้าผมแค่คืบเดียวผมไม่ทันได้สังเกตุว่ามันตายแล้วหรือยังได้แต่คิดว่าถ้าผมเกิดขยับปุ๊บปั๊บมันฉกหมับเข้าที่น่อง ผมก็จะมรณะภาพอย่างไม่ต้องสงสัย
ยืนนิ่งอยู่อย่างนั้นพักใหญ่ จ้องอยู่นานเห็นว่ามันไม่ขยับจึงค่อยๆสาวเท้าก้าวถอยหลังอย่างช้าๆจนคิดว่าพ้นรัศมีการฉกของมันแน่นอน(ถอยตั้งแต่ประตูด้านนอก ไปยืนอยู่หน้าประตูด้านในกันเลยทีเดียว)
ระหว่างนั้น ไอ้เต้ก็แหกปากมาจากทางศาลาหอฉัน
“หลวงพี่ หลวงเพ่เน่มมมมม” (มีการเล่นเสียงด้วยนะเออ)
“หลวงพี่นิ่ม ไปฉันข้าวได้แล้ว หลวงพี่ เชี่ย!!” (นั่น เปลี่ยนชื่อให้ผมด้วย)
ไอ้เต้ ร้องอย่างตกอกตกใจเมื่อเห็นว่าสิ่งที่กองอยู่หน้าห้องตอนนี้คืออะไร
เมื่อพากันพิจารณาดูว่ามันตายแน่นอน
ไอ้เต้ ก็หาถุงมาใส่ หิ้วไปให้ ลุงภาที่หลังวัด
กลับมาที่เหตุการณ์ปัจจุบันครับ
เราทั้งสี่ ก้มลงมองถุงกระดาษอย่างสงสัย
อะไรกันที่อยู่ข้างในมันดูตุงๆ เหมือนยัดอะไรเอาไว้ ด้วยความสงสัยผมจึงก้มลงไปหยิบขึ้นมาเพื่อเปิดดูทันที
“ท่านนิ่มอย่า!! เผื่อมันเป็นระเบิดเข้า ตูมตามขึ้นมาได้โกยศพยัดใส่โลงเดียวกันแน่” หลวงพี่บอลเอ่ยห้าม
แต่ก็นั่นล่ะครับ ผมเคยบอกไว้แล้ว
ความไวเป็นคุณสมบัติของปีศาจ ผมเปิดถุงดูทันที ผ่าง!! ห่อผ้าครับ ห่อผ้าเก่าๆ
ถูกม้วนเป็นก้อนกลมๆเหมือนห่ออะไรไว้
ผมเลยเทมันออกจากถุงกระดาษเสียงห่อผ้านั้นร่วงลงพื้นดัง ตุ้บ!! เสียงฟังดูแน่นๆ ชอบกล
“ซากหมาเน่า”
“ระเบิด”
“ยาบ้า” เสียงสามสหาย ธรรมบันดาล
กล่าวขึ้นพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย
อะไรครับเนี่ย ทำไมพวกท่านถึงมองโลกในแง่ร้ายขนาดนั้นโลกนี้มันโหดร้ายกับพวกท่านมากเลยหรือ
ผมก้มลงไปคลี่ห่อผ้าออกดูมีเสียงดังคว้ากเหมือนเราลอกเทปกาวที่ติดกับผนัง กลิ่นคาว ลอยสวนขึ้นมาปะทะจมูกจนผมต้องเบือนหน้าหนี แต่แล้ว สิ่งที่ปรากฏตรงหน้าผมมันก็ทำให้การมองโลกในแง่ดีของผมดิ่งลงเหวใจผมตกวูบ
สิ่งนั้นมันเลวร้ายกว่าที่พวกหลวงพี่พูดถึงหลายร้อยเท่า มันคือศพเด็ก!! ศพจริงๆไม่ใช่ตุ๊กตาแน่นอน
เนื้อตัวของน้องเริ่มเป็นสีม่วงน้อยๆคราบเลือดแห้งกรังติดตามเนื้อตัวและผ้าที่ใช้ห่อลำคอถูกสายสะดือพันแล้วมัดขมวดเป็นปมเอาไว้อย่างแน่นหนา
อ้วกสิครับรออะไรผมหันกลับไปอ้วกจนหมดไส้หมดพุงมือก็ยังกำห่อผ้านั้นไว้ไม่ยอมปล่อย
“ไอ้เต้ เรียกหลวงพ่อที!!”
(มีต่อครับ)
ครั้งเมื่อผมบวช ตอน ผ้าขี้ริ้วห่อ(ศพ)เด็ก "ตรัยโศก"
มันเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงในสังคมปัจจุบันของเราเคยได้พบเห็นในข่าวตามโทรทัศน์บ้างหนังสือพิมพ์บ้าง หรือสื่อต่างๆทางอินเตอร์เน็ตบ้างซึ่งหลายครั้งที่ได้เข้าไปอ่าน มันก็ทำให้รู้สึกหดหู่ใจอย่างเหลือจะกล่าว
เรื่องราวของชายหญิงที่รักสนุกแต่ไม่รู้จักป้องกันเมื่อพลาดพลั้งตั้งครรภ์ขึ้นมาแล้วต่างฝ่ายต่างก็ยังไม่พร้อม หรืออีกนัยหนึ่งฝ่ายชายไม่รับผิดชอบ ก็ต้องหาวิธีแก้ไข เพียงแต่วิธีที่คิดได้นั้นมันเป็นวิธีที่ผิด
ทั้งผิดต่อศีลธรรมของบ้านเมือง
ที่ใครๆก็กล่าวถึงว่าบ้านเรานั้นเป็นเมืองพุทธ
ผิดต่อกฏแห่งกรรม
เพราะเป็นการคร่าชีวิตผู้อื่นอย่างทารุน
ผิดต่อตัวบทกฏหมาย
เพราะการกระทำนั้นถือว่าเป็นการฆ่าคนโดยเจตนา
และยังผิดต่อเด็กในท้องที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวจู่ๆก็ต้องถูกคนใจไม้ไส้ระกำ
ปลิดชีวิตก่อนที่จะทันได้ลืมตาดูโลก
ไม่มีแม้โอกาสจะร้องขอชีวิตด้วยซ้ำไป
ครับ การกระทำที่ผมกล่าวถึงเหล่านั้นคือสิ่งที่มนุษย์คนหนึ่งกระทำกับมนุษย์อีกคนหนึ่งที่ไร้ทางสู้ มันคือการกำจัดเด็กหรือการเอาเด็กออก
เด็กที่แม่แท้ๆของเขาเรียกว่า มารหัวขน มารหัวขนที่เกิดจากความคึกคะนองอยากลองอยากสนุก โดยไม่ป้องกันและไม่คิดถึงผลที่จะตามมา
(ไม่ได้เหมารวมถึง เหล่าเหยื่อที่ถูกกระทำอนาจารนะครับ กรณีนั้นตัวผู้หญิงเองเค้าไม่ได้ต้องการให้เกิด)
ไม่ว่าการกำจัดนั้นจะใช้วิธีกินยาขับเลือดหรือไปตามคลีนิคทำแท้งเถื่อน
มันก็เป็นวิธีที่ไม่ควรอย่างยิ่ง
ซึ่งหากมองในมุมของวิทยาศาสตร์หรือมุมมองของผู้เจริญแล้วด้วยวัตถุและปัญญาคนเหล่านั้นก็จะบอกว่า มันคือการฆ่าคนและคนที่ถูกฆ่านั้น สุดท้ายร่างกายก็จะกลายเป็นซาก อสุภะ เน่าเปื่อยย่อยสลายไปตามธรรมชาติและกาลเวลา ไม่มีอะไรหลงเหลือ
แต่หากมองในมุมของเรื่องจิตวิญญาณหรือโลกหลังความตาย นอกจากร่างกายที่สามารถย่อยสลายเน่าเปื่อย
เหี่ยวแห้งตามกาลเวลาแล้วยังมีอีกสิ่งหนึ่ง
ที่เรียกกันว่าดวงจิต
เพราะตามความเชื่อคนเรานั้นจะประกอบไปด้วย 2 สิ่ง คือร่างกาย กับวิญญาณหรือดวงจิตนั่นเอง เมื่อนำทั้ง 2 ส่วนมาประกอบเข้าด้วยกันก็จะเกิดเป็น คน หรือมนุษย์อย่างสมบูรณ์และดวงจิตที่พูดถึงนี่แหละมักจะเป็นต้นเหตุของความสยองหลายๆเรื่อง
ดวงจิตที่ผูกใจเจ็บอาฆาต คนที่ทำร้ายตนรอเวลาเอาคืนอย่างเคียดแค้นชิงชังผมเคยแต่เห็นแค่ในข่าวไม่เคยคิดว่าครั้งนี้ ผมจะต้องมาเห็นด้วยตาของตนเอง
เป็นภาพจริง เหตุการณ์จริงไม่มีตัวแสดงแทนใดๆทั้งสิ้น
เหตุการณ์ที่กล่าวมานี้เป็นยังไง เกิดอะไรขึ้นบ้างขอเชิญติดตามได้ ณ บัดนี้.......(กลอง รัว!!)
ในอีกไม่กี่วันก็จะเข้าพรรษาแล้ว
ผมยังคงทำหน้าที่ของบรรพชิต อย่างมิให้ขาดตกบกพล่อง (บางครั้งก็เกินไปบ้าง เพราะกลางคืนมันหิว มาม่าช่วยคุณได้เสมอ)
วันนี้ก็เช่นเคย หลังจากเสร็จสิ้นกิจกรรมในช่วงเช้าผมกับกลุ่ม สามสหายธรรมบันดาล หลวงพี่บอลหลวงพี่เพ็ญ หลวงพี่หน่องก็ช่วยกันก่อสร้างห้องน้ำอย่างขมักเขม้น
เต้ เด็กวัดผู้ทรงอิทธิพลเดินหิ้วถุงใส่น้ำอัดลมและเครื่องดื่มชูกำลังตรงมา
ทางพวกเรา เบื้องหลังเยื้องออกไปนิดหน่อยมีพระชรารูปหนึ่ง แบกกลดสะพายย่ามเดินตามหลังไอ้เต้มา
เมื่อหลวงพี่ทั้งสามแลเห็นพระรูปนั้นก็พากันยกมือไหว้อย่างนอบน้อม กล่าวทักทายกันพอสมควรจึงได้ทราบว่าพระรูปนี้ชื่อหลวงพ่อชอุ่ม เป็นพระอีกรูปที่จำพรรษาในวัดนี้แต่ทุกครั้งหลังช่วงกฐิน ท่านจะออกจาริกธุดงค์จนกระทั่งก่อนเข้าพรรษาถึงจะกลับวัด
ผมมองดูหลวงพ่อท่านนี้อย่างพินิจท่านเป็นคนรูปร่างไม่ค่อยจะสูงสักเท่าไหร่(ออกไปทางเตี้ยเลยก็ว่าได้)
ร่างท่านผอมเกร็งดูราวกับไม่น่าจะมีเรี่ยวแรงเดินด้วยซ้ำ แต่แววตานั้นเป็นประกายแค่สบตาแวบเดียวก็ต้องหลบตาทันทีความรู้สึกเหมือนว่าแววตาคู่นั้น
สามารถมองทุกสิ่งได้อย่างทะลุปรุโปร่ง
“รอบนี้ไปถึงไหนล่ะครับหลวงพ่อ” หลวงพี่บอลเอ่ยถาม
"ก็ใกล้ๆ บ้านเรานี่แหละ” หลวงพ่อชอุ่มเอ่ยตอบ
เท่าที่ผมจับใจความได้คือท่านเริ่มธุดงค์ออกจากอุตรดิตถ์ไปทาง สุโขทัย ตาก จากนั้นก็ลำพูน จุดหมายคือจังหวัดเชียงใหม่ปักกลดอยู่ที่ถ้ำเชียงดาว
พอดูวันเวลาทราบว่าใกล้จะเข้าพรรษาแล้ว ก็ออกจากเชียงใหม่เพื่อจะมาอุตรดิตถ์โดยผ่านทางจังหวัด เชียงราย น่าน แพร่ และอุตรดิตถ์ตามลำดับ
ท่านใช้เวลาในขากลับ 12 วันกับการเดินเท้าเกือบ 600 กม.ผมรู้สึกทึ่งกับสิ่งที่พระชราท่านนี้ทำ อย่าว่าแต่เดิน 600 กม. เลยครับ สำหรับผมแค่เดินจากกุฏิไปร้านค้าหน้าวัดห่างกันแค่ 400เมตร ก็หอบซี่โครงบานแล้ว
“ท่านรึ พระใหม่ ที่คืนแรกก็โดนรับน้องผีมาล้อมกุฏิน่ะ” หลวงพ่อชอุ่มเอ่ยถามผมขึ้น
อ้าว ผมนี่ก็โด่งดังใช่ย่อยนะเนี่ย ถูกต้องนะคร้าบบบพระใหม่ผู้ปิดประตูใส่หน้าผี ไม่ใช่ใครที่ไหน คือผมหนึ่งเดียวคนนี้ ดังไม่ดังก็ดูเอาเถอะครับขนาดหลวงพ่อท่านเพิ่งกลับมาจากธุดงค์ยังรู้เรื่องเลย
หรือว่าท่านจะมีตาทิพย์หูทิพย์ก็เลยทราบเหตุการณ์ทุกอย่างได้
“ครับ ว่าแต่หลวงพ่อทราบเรื่องได้ยังไงครับ” (ผมถามกลับไป ตาก็มองหาปากกาเมจิกเตรียมแจกลายเซ็น ว่าเข้าไปนั่น)
“ไอ้เต้มันเล่าให้ฟังเมื่อกี้” ท่านตอบพลางหัวเราะ
หลังจากนั่งสนทนากันครู่หนึ่งหลวงพ่อชอุ่มก็เดินไปหา หลวงพ่อเจ้าอาวาส บอกว่ามีเรื่องสำคัญจะคุยด้วย
พวกผมก็หันกลับมาทำงานกันต่อ
ขณะที่กำลังนั่งพัก หลังจากออกแรงกันอย่างสมบุกสมบัน เจ้าโอเลี้ยง หนึ่งในบรรดาหมาวัดก็คาบเอาถุงกระดาษใบใหญ่วิ่งตรงมาที่กลุ่มพวกผม พอมาถึงก็คายถุงกระดาษลง แล้ววิ่งหายไปทางใต้ถุนศาลา
“สงสัยมันจะเอาของขวัญมาฝากท่านนิ่มอีกแล้ว” พลวงพี่เพ็ญเอ่ยแซวเพราะโดยปกติเจ้าโอเลี้ยงมันมักจะคาบเอาซากนกซากหนูเอามาวางไว้ที่หน้าห้องผมล่าสุดเป็นซากงูเห่าตัวขนาดข้อมือเด็ก 10 ขวบเห็นจะได้ มันคาบมากองเผละไว้ที่หน้าห้องผม
ตอนนั้นผมกำลังจะออกจากห้องเพื่อไปฉันเพลก้มลงมองรองเท้าก็เกือบเป็นลมงูเห่าตัวบักเอ้บ นอนดำมะเมื่อม
ห่างจากปลายเท้าผมแค่คืบเดียวผมไม่ทันได้สังเกตุว่ามันตายแล้วหรือยังได้แต่คิดว่าถ้าผมเกิดขยับปุ๊บปั๊บมันฉกหมับเข้าที่น่อง ผมก็จะมรณะภาพอย่างไม่ต้องสงสัย
ยืนนิ่งอยู่อย่างนั้นพักใหญ่ จ้องอยู่นานเห็นว่ามันไม่ขยับจึงค่อยๆสาวเท้าก้าวถอยหลังอย่างช้าๆจนคิดว่าพ้นรัศมีการฉกของมันแน่นอน(ถอยตั้งแต่ประตูด้านนอก ไปยืนอยู่หน้าประตูด้านในกันเลยทีเดียว)
ระหว่างนั้น ไอ้เต้ก็แหกปากมาจากทางศาลาหอฉัน
“หลวงพี่ หลวงเพ่เน่มมมมม” (มีการเล่นเสียงด้วยนะเออ)
“หลวงพี่นิ่ม ไปฉันข้าวได้แล้ว หลวงพี่ เชี่ย!!” (นั่น เปลี่ยนชื่อให้ผมด้วย)
ไอ้เต้ ร้องอย่างตกอกตกใจเมื่อเห็นว่าสิ่งที่กองอยู่หน้าห้องตอนนี้คืออะไร
เมื่อพากันพิจารณาดูว่ามันตายแน่นอน
ไอ้เต้ ก็หาถุงมาใส่ หิ้วไปให้ ลุงภาที่หลังวัด
กลับมาที่เหตุการณ์ปัจจุบันครับ
เราทั้งสี่ ก้มลงมองถุงกระดาษอย่างสงสัย
อะไรกันที่อยู่ข้างในมันดูตุงๆ เหมือนยัดอะไรเอาไว้ ด้วยความสงสัยผมจึงก้มลงไปหยิบขึ้นมาเพื่อเปิดดูทันที
“ท่านนิ่มอย่า!! เผื่อมันเป็นระเบิดเข้า ตูมตามขึ้นมาได้โกยศพยัดใส่โลงเดียวกันแน่” หลวงพี่บอลเอ่ยห้าม
แต่ก็นั่นล่ะครับ ผมเคยบอกไว้แล้ว
ความไวเป็นคุณสมบัติของปีศาจ ผมเปิดถุงดูทันที ผ่าง!! ห่อผ้าครับ ห่อผ้าเก่าๆ
ถูกม้วนเป็นก้อนกลมๆเหมือนห่ออะไรไว้
ผมเลยเทมันออกจากถุงกระดาษเสียงห่อผ้านั้นร่วงลงพื้นดัง ตุ้บ!! เสียงฟังดูแน่นๆ ชอบกล
“ซากหมาเน่า”
“ระเบิด”
“ยาบ้า” เสียงสามสหาย ธรรมบันดาล
กล่าวขึ้นพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย
อะไรครับเนี่ย ทำไมพวกท่านถึงมองโลกในแง่ร้ายขนาดนั้นโลกนี้มันโหดร้ายกับพวกท่านมากเลยหรือ
ผมก้มลงไปคลี่ห่อผ้าออกดูมีเสียงดังคว้ากเหมือนเราลอกเทปกาวที่ติดกับผนัง กลิ่นคาว ลอยสวนขึ้นมาปะทะจมูกจนผมต้องเบือนหน้าหนี แต่แล้ว สิ่งที่ปรากฏตรงหน้าผมมันก็ทำให้การมองโลกในแง่ดีของผมดิ่งลงเหวใจผมตกวูบ
สิ่งนั้นมันเลวร้ายกว่าที่พวกหลวงพี่พูดถึงหลายร้อยเท่า มันคือศพเด็ก!! ศพจริงๆไม่ใช่ตุ๊กตาแน่นอน
เนื้อตัวของน้องเริ่มเป็นสีม่วงน้อยๆคราบเลือดแห้งกรังติดตามเนื้อตัวและผ้าที่ใช้ห่อลำคอถูกสายสะดือพันแล้วมัดขมวดเป็นปมเอาไว้อย่างแน่นหนา
อ้วกสิครับรออะไรผมหันกลับไปอ้วกจนหมดไส้หมดพุงมือก็ยังกำห่อผ้านั้นไว้ไม่ยอมปล่อย
“ไอ้เต้ เรียกหลวงพ่อที!!”
(มีต่อครับ)