ครั้งเมื่อผมบวช ตอน พระใหม่แสดงธรรม กับกรรมแต่ปางก่อน "ตรัยโศก"

กระทู้สนทนา
อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ ภะคะวา

พระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นพระอรหันต์ 

ดับเพลิงกิเลสเพลิงทุกข์สิ้นเชิง 

ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง 

พุทธัง ภควันตัง อะภิวาเทมิ

ข้าพเจ้าอภิวาทพระผู้มีพระภาคเจ้า 

ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน

สวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม

พระธรรมเป็นธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้า 

ตรัสไว้ดีแล้ว

ธัมมัง นะนัสสามิ

ข้าพเจ้านมัสการพระธรรม

สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ

พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า 

ปฏิบัติดีแล้ว 

สังฆัง นะมามิ

ข้าพเจ้านอบน้อมพระสงฆ์ 

 

      สวัสดีครับท่านผู้อ่านที่เคารพทุกท่าน กลับมาพบกับผม "ตรัยโศก" กันอีกเช่นเคย คำบูชาพระรัตนตรัยที่ผมนำมาเอ่ยอ้างนั้น หลายท่านคงสงสัย ว่าจะชวนสวดมนต์หรือไร เปล่าครับผมมิได้จะชวนทุกท่านสวดมนต์แต่อย่างใด เพียงแต่ เรื่องที่ผมจะนำมาเขียนให้ท่านได้อ่าน
กันในคลานี้ มันเกี่ยวข้องกับส่วนหนึ่งของคำบูชานี้ 

       "พระธรรม" ครับ พระธรรมที่องค์พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงตรัสสั่งสอนเหล่าสาวกทั้งหลาย ที่หยิบเอาเรื่องนี้มาพูดเนื่องด้วยเป็นที่รู้กันของเราชาวพุทธ 
ว่าหนึ่งสิ่งที่พระสงฆ์ พึงปฏิบัติ คือการแสดงธรรม หรือที่เรียกกันว่า "ธรรมเทศนา" ที่เรียกกันสั้นๆว่า "เทศน์" 

       และด้วยการเทศน์นี้เองที่มันเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมด เอาล่ะครับอย่ามัวพิรี้พิไรให้เสียเวลา มารับชมเรื่องราวทั้งหมด ในท้องเรื่อง

พระใหม่แสดงธรรม กับกรรมแต่ปางก่อน

           กลอง รัว!!


ผ่านเลยช่วงเข้าพรรษามากว่า 1 อาทิตย์แล้ว เวลานั้นภายในวัดมีกิจกรรมมากมายหลายอย่างที่เกิดขึ้น ทั้งการเตรียมการก่อนวันเข้าพรรษา พิธีการในวันเข้าพรรษา และการเก็บข้าวของหลังจากเสร็จสิ้นพิธีการ เหล่านี้สร้างความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าให้กับเหล่าพระในวัด 

       แต่ทุกอย่างก็ผ่านพ้น เพราะมีญาติโยมเข้ามาให้ความร่วมมือช่วยเหลือ 
มิได้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพระสงฆ์องค์เจ้าเพียงฝ่ายเดียว ทุกอย่างจึงไปได้สวย อาจมีติดขัดบ้างก็เพียงเล็กน้อย 

       วันนั้น ผมนั่งกลัดกลุ้มเพราะความไม่สบายใจรุมเร้าอย่างหนัก ผมได้รับหน้าที่ให้ขึ้นเทศน์ในวันพระถัดไป 

       ทุกท่านครับการเทศน์โปรดญาติโยมนั้นสำหรับผมมันไม่ใช่เรื่องง่าย 
มันไม่เหมือนการออกไปยืนอ่านเรียงความหน้าห้องเรียนในสมัยเด็ก มันเป็นเรื่องยากสำหรับคนที่ขี้อายขี้ประหม่าแบบผม 

       ใต้ร่มไทรใบหนา ที่มีรากห้อยย้อยระโยงระยาง เป็นสถานที่ซึ่งผมใช้สำหรับฝึกเทศน์ในช่วง 2 3 วันมานี้ 

       “ยังไงพระใหม่ หน้าเครียดเชียว”
หลวงพ่อชอุ่มเอ่ยทักเสียงสดใส 

       “ครับ มันยากน่ะครับหลวงพ่อ”
ผมเอ่ยตอบพลางชูคำภีร์ใบลานขึ้น 

      “ไม่ยากหรอก ใจเย็นๆ ค่อยๆฝึกไป” หลวงพ่อกล่าว 

       “ผมพยายามฝึกมาหลายวันแล้วครับ แต่…” ผมโอดครวญ 

       “ ท่านนิ่ม คนเราจะตีมีดซักเล่มท่านว่ายากมั๊ย” หลวงพ่อเอ่ยถาม 

       “ก็ไม่นิครับ มีเหล็ก มีฆ้อน ทุบๆไป เดี๋ยวก็เป็นมีดเอง” ผมตอบ หลวงพ่อชอุ่ม ฟังแล้วก็อมยิ้มและส่ายหน้าช้าๆ 

       “การจะตีมีดน่ะนะ ต้องมีองค์ประกอบหลายอย่าง” ท่านกล่าว 

       “จะตีมีด ฤกษ์ต้องได้ ไฟต้องแดง แรงต้องมี”ท่านกล่าวแล้วมองหน้าผม  “ก็เหมือนกับการฝึกเทศน์นี่แหละ
ฝึกคนเดียวมันไม่ง่ายหรอก ต้องมีคนช่วย”  

       ผมมองสบตากับหลวงพ่อชอุ่ม คิดทบทวนคำพูดของท่านไปมาสุดท้ายก็ได้คำตอบ  ผมยิ้มแล้วขอตัวไปหาคนที่จะช่วยขัดเกลาผมได้ สามสหายธรรมบันดาล คือบุคคลที่ผมคิดได้ในตอนนั้น 

       หลวงพี่ทั้งสามเป็นพระนักเทศน์ที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงพอตัว ไม่ว่าจะเป็น งานศพ งานบวช งานแต่ง ขึ้นบ้านใหม่ 
ทั้งสามไปกวาดขันกัณฑ์เทศน์มาแล้วนับไม่ถ้วน ถือเป็นบุคลากรอันทรงคุณค่ายิ่งในตอนนี้ 

       ในขณะที่ผมกำลังมุ่งหน้าไปหาสามสหายด้วยความหวัง เสียงเล็ก ๆ ก็ตะโกนขึ้นด้านหลัง เสียงนั้นเสียงลูกพี่เต้ 

       “หลวงพี่ จะไปไหนอ่ะว่างมั๊ยมาเป็นกรรมการให้ผมก่อน”  ผมหันกลับไปมอง เห็นไอ้เต้เด็กวัดผู้ทรงอิทธิพลคนเดิม คล่อมจักรยานคู่ใจที่ได้เป็นของขวัญจากเจ้าอาวาส 

       “กรรมการอะไรวะ”ผมเอ่ยถามด้วยความสงสัย 

       “แข่งรถ พอดีมีคนแพ้แล้วไม่ยอมรับวันนี้มาขอแก้มือ” ไอ้เต้ เอ่ยตอบผมพลางเหล่ตามองไปทางไอ้อั๋นที่คล่อมรถอยู่ข้างๆ 

       “วันนั้นโซ่ข้าหลุดหรอกโว้ย ก่อนถึงเส้นชัยนิดเดียวไม่ถึงคืบ”  ไอ้อั๋นกล่าวอย่างหัวเสีย 

       “คนเรา จะชนะ 1 คืบ หรือ 1 ไมล์ แต่ชนะก็คือชนะ” ผมหันไปมองไอ้เต้อย่างขบขันในคำพูด นี่มันก็อปเค้ามาเลยนี่หว่า  ผมรู้สึกผิดที่เปิดหนังให้มันดูเลยทีเดียวครับท่าน

       สุดท้าย ผมก็ต้องมาเป็นกรรมการจำเป็นในการแข่งขันรถจักรยานความเร็วสูง เส้นทางคือทางลงเนินจากหน้าวิหารถึงกุฏิหลังสุดท้าย ระยะทางกว่า 200 เมตร 

       แน่นอนครับ การแข่งขันย่อมมีขึ้นเพื่อค้นหาผู้ชนะ และของรางวัลที่ยิ่งใหญ่ในครั้งนี้คือ น้ำส้มดีโด้ขวดละ 5 บาท  โถ…ชีวิต ความจริงผมซื้อให้คนละ 5 ขวดก็ได้ครับ 

       “ไม่ได้นะหลวงพี่ มันเป็นเรื่องของศักดิ์ศรี” ครับตามนั้นเลยลูกพี่เต้เค้ารีเควสมาผมก็ต้องยอมจัดให้ 

       เมื่อถึงเวลาปล่อยตัว เด็กทั้งคู่ควบจักรยานทะยานลงเนินด้วยความเร็วสูง ทั้งคู่ทำท่าหมอบจนหัวติดกับแฮนด์
ออกแรงปั่นไม่มีใครยอมใคร อีกไม่เกิน 50 เมตรจะถึงเส้นชัยผมลุ้นด้วยใจระทึก 

       คว้ากกกก โครม!!! 

       ด้วยเส้นทางที่เป็นทางลงเนิน บวกความเร็วจากการปั่นอย่างสุดแรงเกิด มิหนำซ้ำตลอดเส้นทางยังเป็นดินลูกรังแห้งกรัง โดมินิค โทเรตเต้ เกิดสูญเสียการควบคุมรถปัดล้มก่อนไถลเข้าสู่พุ่มไม้ข้างทาง แล้วชัยชนะก็ตกเป็นของ
ไบรอั๋น โอคอนเนอร์อย่างงดงาม ผมวิ่งลงไปดูด้วยความเป็นห่วง เกิดแข้งขาหักขึ้นมาจะเป็นเรื่อง 

       “เต้ ไอ้เต้ เป็นไงบ้างนิ เจ็บหนักรึเปล่า” ผมถามพลางค่อยๆพยุงไอ้เต้ให้ลุกขึ้น ไอ้เต้ไม่ตอบ เดินกระเผลกออกจากพุ่มไม้ แล้วมานั่งแคะดินลูกรังออกจากแผลอย่างน่าสงสาร 

   “พ่ายแพ้อย่างหมดรูป หมดกันศักดิ์ศรี
ย่อยยับไม่มีเหลือ”  ไอ้เต้โอดครวญขณะนั่งแคะแผล โถลูกเอ้ย เดี๋ยวซื้อให้ก็ได้
น้ำส้มดีโด้น่ะ เอ็งจะเอากี่สี 

       ที่กุฏิหลวงพี่เพ็ญผมได้เข้าไปขอคำปรึกษาเกี่ยวกับการเทศน์ ท่านก็กรุณาสั่งสอนผมด้วยความเมตตา 

       “ต้องอ่านก่อนนะท่านนิ่มอ่านแล้วทำความเข้าใจเนื้อหาว่ามันเกี่ยวกับอะไร
จะไปตั้งหน้าตั้งตาท่องจำอย่างเดียวมันไม่ได้ผลหรอก” หลวงพี่เพ็ญกล่าว 

       วันต่อมาผมก็ไปนั่งจุ้มปุ๊กใต้ต้นไทรเช่นทุกวันเพียงแต่วันนี้ผมมีความมั่นใจมากขึ้น 

       “ท่านนิ่ม มาดูอะไรนี่”หลวงพี่บอลกล่าวอย่างร้อนรนขณะเดินเข้ามาหา 

       “อะไรครับ ตุ๊กแกห้อยหัวเหรอ ผมเคยเห็นแล้ว”ผมเอ่ยแซว 

       “เปล่า จะให้ไปดูไอ้เต้ มันแปลกๆ” หลวงพี่บอลกล่าวพลางลงมือฉุดกระชากลากถูผมไปทางศาลาหอฉัน 

       ภาพที่ผมเห็นคือไอ้เต้ เด็กวัดสุดห้าวบัดนี้นั่งพับเพียบร้อยพวงมาลัยอยู่ 

       “แปลกตรงไหน การบ้านที่โรงเรียนรึเปล่าตอนเด็กผมก็เคยทำ” ผมกล่าว 

       “ท่านลองไปถามมันเองสิแล้วท่านจะรู้ว่ามันแปลก” หลวงพี่บอลเอ่ย 

       ผมเดินไปทางไอ้เต้อย่างสงสัยว่าจะอะไรกันนัก ก็แค่นั่งร้อยพวงมาลัย ถ้ามันตีลังการ้อยพวงมาลัยสิแปลกแตกตื่นอะไรกันนักหนา 

       เมื่อไปถึงผมก็ไปหยุดยืนอยู่ตรงหน้าไอ้เต้ข้างๆที่มันนั่งมีถาดใส่พวงมาลัย
ที่ร้อยเสร็จแล้วอยู่หนึ่งพวงพวงมาลัยพวงนั้นสวยงามมาก มันหยุดมือแล้วหันมาสบตาผมนิดนึง จากนั้นก็ส่งยิ้มหวาน ทำท่าอายม้วนแล้วก้มลงกราบผมด้วยท่าทีพินอบพิเทา 

       ผมหันกลับไปสบตากับหลวงพี่บอลเป็นเชิงเอ่ยถาม ท่านสบตาผมแล้วส่ายหน้า เมื่อกราบผมเสร็จไอ้เต้ก็นั่งก้มหน้าอายม้วนอยู่อย่างนั้น 

       “เอ่อ ไอ้เต้ ร้อยพวงมาลัยทำไม
สวยนี่ จะเอาไปส่งครูเหรอ” ผมเอ่ยถาม

       “หลวงพี่ชอบมั๊ยเจ้าคะดิชั้นตั้งใจร้อยเพื่อถวายหลวงพี่เลยนะเจ้าคะ” ไอ้เต้เอ่ยตอบ เจ้าคะ? ดิชั้น? อะไรครับเนี่ย ผมงุนงงสงสัยในอาการของไอ้เต้อย่างที่สุด  

       “พอดีเห็นหลวงพี่ตั้งใจท่องตำราเลยว่าจะเอามาลัยนี้ถวายเพื่อเป็นกำลังใจน่ะเจ้าค่ะ”  ไอ้เต้เอ่ยต่อทำท่าอายม้วน อะไรกันรถล้มทีเดียว เปลี่ยนจากไอ้เต้
เป็นน้องโปเต้ไปซะแล้ว 

       ผมนิ่งอึ้งกับท่าทีและคำพูดของเด็กคนนี้มันแปลกไปจริงๆ

ระหว่างนั้นไอ้เต้ก็ก้มหน้าก้มตาน้อยมาลัยต่อ ผมเดินกลับไปหาหลวงพี่บอล เพื่อหารือว่าจะเอาไงดี แบบนี้มันแปลกๆแล้ว 

       “เดี๋ยวผมไปตามหลวงพ่อชอุ่มมา
ผมว่ามันโดนผีสิงแน่” หลวงพี่บอลพูดเสร็จก็เดินลงศาลาไปอย่างร้อนรน
 
       ผีสิง สิงไอ้เต้เนี่ยนะ แล้วผีอะไรสิง ผีแม่ค้าพวงมาลัยเหรอ บ้าไปแล้ว 

       หลวงพ่อชอุ่มเดินเข้ามาด้วยท่าทีร้อนรน เมื่อมองไปที่ไอ้เต้ท่านก็พยักหน้าเบาๆ เดินเข้าไปแล่วเอ่ยถามขึ้น 
“ทำไมถึงทำแบบนี้ล่ะสีกาประไพรไม่สงสารเด็กมันรึ เดี๋ยวร่างกายเด็กจะแย่เอานา” หลวงพ่อชอุ่มเอ่ย 

       “ดิชั้น เพียงต้องการถวายมาลัยนี้แก่หลวงพี่รูปนั้น เท่านั้นเองเจ้าค่ะ” 
ไอ้เต้เอ่ยตอบ พลางส่งสายตาหวานเยิ้มมาทางผม 

       “เฮ่อ…แต่ทำแบบนี้มันไม่ถูกมันเป็นบาปนะ ถอยไปเสียเถอะ อาตมาขอ” 
หลวงพ่อชอุ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงเมตตา 

       “ถ้าอย่างนั้นดิชั้นขอถวายมาลัยที่เสร็จแล้วนี้ก่อนได้มั๊ยเจ้าคะ หลวงพ่อ” 
ไอ้เต้เอ่ยถาม หลวงพ่อชะอุ่มนิ่งไปครู่ก็พยักหน้า 

       ไอ้เต้เมื่อเห็นดังนั้นก็หยิบถาดพวงมาลัยขึ้นมาค่อยๆคลานเข่าเข้ามาหาผม 
จากนั้นก็วางถาดลงใกล้ๆผมค้อมตัวลงเล็กน้อยทำท่าเหมือนประเคนของ 

       “รับซะสิท่าน สีกาเค้าอุตส่าห์ตั้งใจทำถวาย”หลวงพ่อชอุ่มกล่าว ผมก้มลงไปใช้มือแตะที่ขอบถาดเบาๆ ไอ้เต้ยิ้มนั่งพนมมือตามองผมหยาดเยิ้ม 

       “เอ้า รับของแล้วก็ให้พรซะสิ ทำเป็นไม่เคยไปได้” หลวงพ่อเอ่ยยิ้มๆ 

       “เอ่อ อะ อายุวัณโณ สุขังพลัง นะ”ผมกล่าวให้พร ไอ้เต้สบตาผมแล้วยิ้มหวานอีกครั้ง 

      “ดิชั้นจะรอฟังเทศน์นะเจ้าคะลาล่ะเจ้าค่ะหลวงพี่” มันพูดจบก็ก้มลงกราบ แล้วก็ฟุบนิ่งอยู่แบบนั้น

       หลังจากนั้น ผมกับหลวงพี่บอลก็ช่วยกันปฐมพยาบาลจนฟื้น สอบถามเหตุการณ์ เจ้าตัวบอกว่านั่งซ่อมจักรยานอยู่ มีผู้หญิงคนหนึ่งเดินเข้ามาหา เธอคนนั้นสวยมาก ตัวก็มีกลิ่นหอมผู้หญิงคนนั้นก้มลงมายิ้มให้มันแล้วก็เอ่ยกับมันสั้นๆ 
“ขอยืมสักเดี๋ยวได้มั๊ย”

       ไอ้เต้ด้วยความเป็นเด็กไม่รู้ว่าเค้าขอยืมอะไรแต่เมื่อผู้ใหญ่ขอมันก็ตอบตกลงไป  “ครับ จะยืมอะไรก็เอาไปเลยครับ” 

       จากนั้นมันก็รู้สึกง่วงแล้วหลับไป
มาตื่นก็ตอนที่ผมกับหลวงพี่บอลปลุกนั่นแหละ ผมหันไปสบตากับหลวงพี่บอลและหลวงพ่อชอุ่มทั้งสองส่ายหน้าเป็นเชิงปราม ว่าไม่ควรพูดถึงเรื่องที่เพิ่งผ่านมาสดๆร้อนๆ 

       “แล้วไหงผมมานอนบนศาลาได้ล่ะเนี่ย” ไอ้เต้ถามอย่างสงสัย 

       “เอ่อ…หลวงพี่บอลอุ้มเอ็งขึ้นมา 
เห็นนอนอยู่ข้างล่างมันร้อน ใช่มั๊ยหลวงพี่” ผมจำเป็นต้องมุสา แต่เรื่องจะให้ผิดศีลคนเดียวนั้นยากครับ ต้องลากใครสักคนมาร่วมปลงอาบัติด้วยกัน  

       ไอ้เต้มองหน้าผมสลับกับหลวงพี่บอลอย่างสงสัย แต่ด้วยความเป็นเด็ก
เพียงเดี๋ยวเดียวมันก็พยักหน้าเข้าใจ

(มีต่อครับ)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่