ขายปลีก กับ ขายส่ง แบบไหนรวยกว่ากัน | วิธีหาเงินและทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ
คุณคิดว่าการขายแบบไหนรวยเร็วที่สุดในยุคปัจจุบัน?!
ขายปลีก หรือ ขายส่ง?! เก็บคำตอบไว้ในใจนะครับ
เพราะยังมีการขายอีกวิธีหนึ่งที่คุณคาดไม่ถึงในบทความนี้…
การขายปลีก ผู้ค้าปลีกเป็นคนกลางระหว่างผู้ค้าส่งและลูกค้า โดยที่พวกเขาซื้อสินค้าจากผู้ค้าส่งขายให้กับผู้บริโภคขั้นสุดท้ายในล็อตเล็ก ๆ หรืออาจจะเป็นชิ้นตามความต้องการของผู้บริโภค ซึ่งราคาของสินค้าที่ซื้อในร้านค้าปลีกค่อนข้างจะมีราคาสูง เหตุผลเพราะจำเป็นที่จะต้องรวมค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ในราคาสินค้าตามสัดส่วนเช่น ค่าเช่าสถานที่ เงินเดือนให้คนงาน ค่าไฟฟ้า เป็นต้น
ยกตัวอย่าง การขายปลีก ขายสินค้า A เดือนละ 100 ชิ้น ชิ้นละ 200 บาท
กำไรรวมต่อเดือน 20,000 บาท
การขายส่ง คือ การขายสินค้าให้กับผู้ค้าปลีกในราคาที่ต่ำ หรืออาจจะรับสินค้ามาจากโรงงานโดยตรงและอาจจะนำมาบรรจุใหม่และขายต่อให้กับผู้ค้าปลีก ซึ่งในธุรกิจการขายส่งผู้ค้าส่งมักจะให้ความสำคัญกับปริมาณสินค้ามากกว่าคุณภาพ สำหรับการเริ่มต้นธุรกิจค้าส่งนั้น มักมีความต้องการเงินทุนจำนวนมากเนื่องจากขนาดของธุรกิจมีขนาดใหญ่ จึงเน้นการขายถูกให้กับผู้ขายปลีกเป็นจำนวนมากเพื่อให้ได้กำไรสูงสุด
ยกตัวอย่าง การขายส่ง เช่น สมมุติว่าผู้ขายส่งอาจจะจัดจำหน่ายสินค้าราคาส่งให้กับผู้ขายปลีกในระแวกนั้นเป็นจำนวน 20 ร้าน โดยแต่ละร้านค้าปลีกรับสินค้าจากผู้ค้าส่งไปในแต่ละเดือนคนละ 100 ชิ้น แสดงว่า ผู้ค้าส่งสามารถขายสินค้าให้กับผู้ค้าปลีกได้ทั้งหมดต่อเดือน 2000 ชิ้น กำไรชิ้นละ 20 บาท ดังนั้น กำไรรวมของผู้ค้าส่งก็จะอยู่ที่ 40,000 บาทต่อเดือน
เพราะฉะนั้น คนในยุคสมัยก่อนมักจะคิดว่าการขายส่งก็น่าจะดีและก็ทำกันมาจนถึงปัจจุบัน และคุณลองคิดดูว่าถ้าหากร้านขายส่งสามารถขยายฐานลูกค้าได้มากยิ่งขึ้นไม่ว่าจะเป็นร้านขายส่ง สินค้าอุปโภคและบริโภค ขนมนมเนยหรือเฟอร์นิเจอร์ก็ตาม ผมสรุปได้เลยครับว่าถ้าเป็นสมัยก่อนอย่างไรร้านขายส่งก็สามารถรวยได้เร็วกว่าร้านขายปลีกได้อย่างแน่นอน
แต่เมื่อเวลาผ่านไป คุณรู้หรือไม่ว่า ร้านค้าปลีกและร้านค้าส่งก็เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แสดงว่า คู่แข่งก็ต้องเพิ่มขึ้นด้วย ทีนี้เมื่อมีคู่แข่งเพิ่มขึ้นกลยุทธ์ที่มักจะใช้กันก็คงหนี้ไม่พ้นเรื่องการขายตัดราคากันไปมา ซึ่งถ้าเกิดเหตุการณ์เช่นนี้แล้ว แน่นอนว่ากำไรของผู้ค้าปลีกและค้าส่งก็ต้องลดลงอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเทียบกับเมื่อก่อน ถึงแม้ว่าการขายส่งจะขายในราคาถูกและเน้นปริมาณการขายที่มากอาจจะทำกำไรได้มากอยู่ แต่ข้อเสียอย่างนึงที่ผมได้เกริ่นไว้ข้างต้นว่า การขายส่งจำเป็นเป็นที่จะใช้เงินทุนจำนวนมากในการ สต็อกสินค้า ซึ่งหมายความว่ายิ่งขายเยอะก็ยิ่งต้องสต็อกสินค้าเยอะนั่นเอง
ทีนี้เมื่อเกิด การสต็อกสินค้า ฉะนั้น การขายส่งจึงเกิดความเสี่ยงในการลงทุนมากกว่าร้านขายปลีกทันที เพราะถ้าเมื่อไหร่เกิดการสะดุดในการทำธุรกิจขึ้นมาไม่ว่าจะเป็นเรื่อง เศรษฐกิจไม่ดี พิษโควิด-19 ร้านค้าปลีกขายกันไม่ได้ ร้านค้าส่งแบกรับสต็อกไว้ ซึ่งผมเชื่อว่าร้านขายส่งส่วนใหญ่ 95% กู้เงินจากธนาคารมาหมุนเวียนการทำธุรกิจ ถ้าหากขายสินค้าไม่ได้ภายใน 1-2 เดือน ธุรกิจการขายส่งก็จะจมไปกับการสต็อกสินค้า ฉะนั้น การสต็อกสินค้าจึงเป็นที่มาที่ว่าทำให้เกิดการไม่มีรายได้และมีความเสี่ยงมากกว่าธุรกิจอื่น ๆ นั่นเอง
เพราะฉะนั้น จึงทำให้ยุคปัจจุบันการขายปลีกและการขายส่งดูเป็นเรื่องที่ยากของคนในยุคสมัยนี้เพราะทุกคนก็ต่างกลัวความเสี่ยงแล้วทีนี้จะทำธุรกิจอะไรดี…ผมต้องบอกก่อนเลยนะครับว่าที่จริงแล้วไม่ได้หมายความว่าคุณจะขายของอะไรไม่ได้เลย แต่มีอยู่วิธีแก้อยู่สิ่งหนึ่งที่คนส่วนใหญ่เริ่มหันมาให้ความสนใจมากขึ้นและมีอีกหลาย ๆ วิธีที่อีกหลายคนที่ยังไม่รู้ ซึ่งวันนี้ผมจะมาบอกกลยุทธ์ในการขายสินค้าทั้งปลีกและส่งให้คุณลองนำไปปรับใช้ ดังนี้
วิธีแก้ไขปัจจุบันของการทำธุรกิจการขายปลีกและการขายส่ง
การขายปลีก : ขายกำไรที่น้อยลง : แต่ต้องขายให้ได้ในจำนวนที่มากขึ้น
จากเมื่อก่อนเดิมขายได้ 100 x 20 = 2000 บาท
หากปัจจุบันเพิ่มยอดขายถึงแม้จะว่าบางร้านจะเพิ่มราคาสินค้าแต่คุณขายราคาเท่าเดิม
แสดงว่าในปัจจุบันคงต้องขายให้ได้ 1000 x 20 = 20,000 บาท
=========================================================
การขายส่ง : ขายกำไรที่น้อยลง : ขยายฐานลูกค้าและเพิ่มตลาดขายปลีก
จากเมื่อก่อนเดิมขายได้ 2000 x 2 = 4,000 บาท
แต่เมื่อขยายฐานลูกค้าและเพิ่มตลาดขายปลีกจำนวนการขายก็จะเพิ่มขึ้นทั้ง 2 ทาง
คุณก็ต้องพยายามเพิ่มและหาช่องทางในการขายปลีกให้ได้
จากปกติขายได้อยู่แล้ว 2000 x 2 = 4,000บาท
และเพิ่มการขายปลีกให้ได้ 2,000 x 20 = 40,000 บาท
ดังนั้น เมื่อคุณสามารถปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ได้แล้ว ให้คุณสังเกตดูดี ๆ เลยว่า คุณจะเห็นการขายปลีกและการขายส่งสามารถขายได้ในราคาเดียวกัน ซึ่งเข้าข่ายกลยุทธ์ที่เรียกว่า ไฮบริด ที่เป็นชื่อย่อมาจากการผสมผสานนวัตกรรมของรถยนต์ให้มีประสิทธิภาพในการขับเคลื่อน แต่นำมาใช้ใรการทำธุรกิจของการขายสินค้าปลีกและส่ง นั่นก็คือ ขายปลีกในราคาส่ง และคนก็เริ่มหันมาทำธุรกิจในรูปแบบนี้กันมากขึ้น และก็กลายเป็นว่า ทั้งร้านขายปลีกและขายส่ง ก็เป็นคู่แข่งกันอย่างเป็นทางการ แล้วทีนี้จะอยู่กันรอดได้อย่างไร คำตอบก็คือ…วิธีเดียวที่จะทำให้ธุรกิจทั้ง 2 แบบนี้อยู่รอดแบบยั่งยืนก็คงเป็นเรื่องของ “ของความแตกต่าง” ที่ประกอบไปด้วย แบรนด์สินค้า แพคเกจจิ้ง วัสดุ วิธีการใช้ ว่าจะสามารถตอบสนองความต้องการให้กับลูกค้าได้มากน้อยเพียงใด
เป็นอย่างไรกันบ้างครับ ตอนนี้คุณยังมีความคิดที่ว่าจะขายปลีกหรือขายส่งกันดี หรือว่าจะลองหันมาใช้กลยุทธ์ในการทำธุรกิจ ขายปลีกในราคาส่ง คุณก็สามารถทำได้ทั้งนั้น แล้วคุณคิดว่าอย่างไรสามารถคอมเมนต์มาได้ตามด้านล่างนี้เลยนะครับ
=================================================
สำหรับใครที่อยากได้รับอรรถรสเพิ่มมากขึ้น สามารถคลิกวีดีโอได้ตามด้านล่างนี้นะครับ
ขายปลีก กับ ขายส่ง แบบไหนรวยกว่ากัน | วิธีหาเงินและทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ
การขายปลีก ผู้ค้าปลีกเป็นคนกลางระหว่างผู้ค้าส่งและลูกค้า โดยที่พวกเขาซื้อสินค้าจากผู้ค้าส่งขายให้กับผู้บริโภคขั้นสุดท้ายในล็อตเล็ก ๆ หรืออาจจะเป็นชิ้นตามความต้องการของผู้บริโภค ซึ่งราคาของสินค้าที่ซื้อในร้านค้าปลีกค่อนข้างจะมีราคาสูง เหตุผลเพราะจำเป็นที่จะต้องรวมค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ในราคาสินค้าตามสัดส่วนเช่น ค่าเช่าสถานที่ เงินเดือนให้คนงาน ค่าไฟฟ้า เป็นต้น
ยกตัวอย่าง การขายส่ง เช่น สมมุติว่าผู้ขายส่งอาจจะจัดจำหน่ายสินค้าราคาส่งให้กับผู้ขายปลีกในระแวกนั้นเป็นจำนวน 20 ร้าน โดยแต่ละร้านค้าปลีกรับสินค้าจากผู้ค้าส่งไปในแต่ละเดือนคนละ 100 ชิ้น แสดงว่า ผู้ค้าส่งสามารถขายสินค้าให้กับผู้ค้าปลีกได้ทั้งหมดต่อเดือน 2000 ชิ้น กำไรชิ้นละ 20 บาท ดังนั้น กำไรรวมของผู้ค้าส่งก็จะอยู่ที่ 40,000 บาทต่อเดือน
เพราะฉะนั้น คนในยุคสมัยก่อนมักจะคิดว่าการขายส่งก็น่าจะดีและก็ทำกันมาจนถึงปัจจุบัน และคุณลองคิดดูว่าถ้าหากร้านขายส่งสามารถขยายฐานลูกค้าได้มากยิ่งขึ้นไม่ว่าจะเป็นร้านขายส่ง สินค้าอุปโภคและบริโภค ขนมนมเนยหรือเฟอร์นิเจอร์ก็ตาม ผมสรุปได้เลยครับว่าถ้าเป็นสมัยก่อนอย่างไรร้านขายส่งก็สามารถรวยได้เร็วกว่าร้านขายปลีกได้อย่างแน่นอน
แต่เมื่อเวลาผ่านไป คุณรู้หรือไม่ว่า ร้านค้าปลีกและร้านค้าส่งก็เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แสดงว่า คู่แข่งก็ต้องเพิ่มขึ้นด้วย ทีนี้เมื่อมีคู่แข่งเพิ่มขึ้นกลยุทธ์ที่มักจะใช้กันก็คงหนี้ไม่พ้นเรื่องการขายตัดราคากันไปมา ซึ่งถ้าเกิดเหตุการณ์เช่นนี้แล้ว แน่นอนว่ากำไรของผู้ค้าปลีกและค้าส่งก็ต้องลดลงอย่างเห็นได้ชัดเมื่อเทียบกับเมื่อก่อน ถึงแม้ว่าการขายส่งจะขายในราคาถูกและเน้นปริมาณการขายที่มากอาจจะทำกำไรได้มากอยู่ แต่ข้อเสียอย่างนึงที่ผมได้เกริ่นไว้ข้างต้นว่า การขายส่งจำเป็นเป็นที่จะใช้เงินทุนจำนวนมากในการ สต็อกสินค้า ซึ่งหมายความว่ายิ่งขายเยอะก็ยิ่งต้องสต็อกสินค้าเยอะนั่นเอง
ทีนี้เมื่อเกิด การสต็อกสินค้า ฉะนั้น การขายส่งจึงเกิดความเสี่ยงในการลงทุนมากกว่าร้านขายปลีกทันที เพราะถ้าเมื่อไหร่เกิดการสะดุดในการทำธุรกิจขึ้นมาไม่ว่าจะเป็นเรื่อง เศรษฐกิจไม่ดี พิษโควิด-19 ร้านค้าปลีกขายกันไม่ได้ ร้านค้าส่งแบกรับสต็อกไว้ ซึ่งผมเชื่อว่าร้านขายส่งส่วนใหญ่ 95% กู้เงินจากธนาคารมาหมุนเวียนการทำธุรกิจ ถ้าหากขายสินค้าไม่ได้ภายใน 1-2 เดือน ธุรกิจการขายส่งก็จะจมไปกับการสต็อกสินค้า ฉะนั้น การสต็อกสินค้าจึงเป็นที่มาที่ว่าทำให้เกิดการไม่มีรายได้และมีความเสี่ยงมากกว่าธุรกิจอื่น ๆ นั่นเอง
เพราะฉะนั้น จึงทำให้ยุคปัจจุบันการขายปลีกและการขายส่งดูเป็นเรื่องที่ยากของคนในยุคสมัยนี้เพราะทุกคนก็ต่างกลัวความเสี่ยงแล้วทีนี้จะทำธุรกิจอะไรดี…ผมต้องบอกก่อนเลยนะครับว่าที่จริงแล้วไม่ได้หมายความว่าคุณจะขายของอะไรไม่ได้เลย แต่มีอยู่วิธีแก้อยู่สิ่งหนึ่งที่คนส่วนใหญ่เริ่มหันมาให้ความสนใจมากขึ้นและมีอีกหลาย ๆ วิธีที่อีกหลายคนที่ยังไม่รู้ ซึ่งวันนี้ผมจะมาบอกกลยุทธ์ในการขายสินค้าทั้งปลีกและส่งให้คุณลองนำไปปรับใช้ ดังนี้
เป็นอย่างไรกันบ้างครับ ตอนนี้คุณยังมีความคิดที่ว่าจะขายปลีกหรือขายส่งกันดี หรือว่าจะลองหันมาใช้กลยุทธ์ในการทำธุรกิจ ขายปลีกในราคาส่ง คุณก็สามารถทำได้ทั้งนั้น แล้วคุณคิดว่าอย่างไรสามารถคอมเมนต์มาได้ตามด้านล่างนี้เลยนะครับ