คำนำ
เป็นการถ่ายทอดประสบการณ์ที่เกิดขึ้นจริง ซึ่งผู้เขียนอยากเล่า ทั้งความผิดพลาดในชีวิตที่เกิดขึ้น และความผิดพลาดพร้อมกับการกระทำนั้น ได้ส่งผลอย่างไรในชีวิตผู้เขียน ซึ่งอาจจะคล้ายกับสถานการณ์หรือช่วงชีวิตของใครบางคน เรื่องที่จะเล่า ผู้เขียนไมได้มีเจตนาเชิญชวน หรือ อ้างว่าเป็นสิ่งที่ดี ที่ควรทำตาม แต่จะเล่าเพื่อความบันเทิง และอยากถ่ายทอดเท่านั้น การตัดสินใจใดๆในทุกช่วงชีวิต ก็เป็นไปตามความนึกคิดและประสบการณ์ของผู้เขียนเท่านั้น จะถูกจะผิดและสุดท้ายแล้ว มันทำให้รู้ว่า ชีวิตยังไงก็ต้องไปต่อ แต่จะไปในรูปแบบไหนเท่านั้นเอง ผู้เขียนขอใช้ชื่อบุคคลเป็นนามสมมุติ เพื่อให้คล้ายกับการเขียนไดอารี่ จะได้เข้าใจง่ายมากขึ้น
เรื่องเล่าส่วนตัวเกี่ยวกับชีวิตผู้เขียนเอง ประสบการณ์และสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นในชีวิต ที่แสนธรรมดาทั่วไป และแตกต่างจากผู้อ่านและอีกหลายคน และอาจจะมีส่วนคล้ายในบางช่วงของชีวิต
ผู้เขียนมีเจตนาที่ถ่ายทอด และได้รับแรงบันดาลใจ จากการที่ผู้เขียนได้รับบำบัดสภาพจิตใจจากนักจิตแพทย์
ในช่วงบำบัด มันทำให้ผู้เขียนได้เล่าถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาในชีวิต ที่ผู้เขียนไม่คิดว่า จะมีความทรงจำนั้นอยู่ในสมอง ในระหว่างที่เล่าให้จิตแพทย์ฟัง มันทำให้ผู้เขียนได้กลับย้อนไปถึงความรู้สึก ความคิด และภาพในตอนนั้น ทำให้นึกถึง สิ่งที่สวยงาม และความผิดพลาดในชีวิตที่ตอนนั้นบอกกับตัวเองเสมอว่า จะไม่มีวันกลับไปพลาดเช่นนั้นอีก แต่สุดท้าย ก็พลาดมาหลายครั้งหลายครา
ภาพสวยงามที่ทำให้ผู้เขียนได้ย้อนเวลากลับไป ว่าคนที่รักและที่รักเรานั้น ในตอนนั้น ความรู้สึกมันมีค่าแค่ไหนกัน มันทำให้ผู้เขียนได้ ตระหนักในการใช้ชีวิตที่ผ่านมา ว่า ช่างประมาทเสียเหลือเกิน และมันทำให้รู้ว่า ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในวันนั้น มันทำให้ผู้เขียนเป็นอะไรในตอนนี้
ทั้งดีและชั่วที่เคยทำมา มันเป็นตัวขัดเกลาให้ผู้เขียนเป็นตัวของตัวเองในวันนี้ ที่สำคัญ มันเป็นช่วงเวลาที่สวยงามเช่นกัน ยิ่งช่วงตอนเด็ก แล้ว ความรักอันมหาศาลที่ได้รับ มันทำให้เราผู้เขียนเข้าใจว่า ลูกเราเองก็คงต้องการสิ่งนั้นเช่นกัน อะไรที่พ่อแม่เคยละเลย แล้วเราเองไม่ชอบในตอนเด็ก แต่ตอนนี้เรากลับทำกับลูกซะงั้น มันทำให้ทุกวินาทีที่เหลือต่อจากนี้ พยายามจะพลาดน้อยลง เสี่ยงน้อยลง ค้นหาความสงบมากขึ้น ขึ้นกับวัตถุค่านิยมน้อยลง มันทำให้เราเข้าใจว่า ทุกคนมีเหตุผลของตัวเองทั้งนั้น
เรื่องเล่านี้ เป็นเรื่องที่เล่าช่วงที่ผู้เขียนจำความได้ ช่วงชีวิตวัยเด็ก จนถึงปัจจุบัน ถูกแบ่งเป็นช่วงๆ ตามอารมณ์และความจำของผู้เขียนเอง
พื้นฐานชีวิต
ญาตาเป็นเด็กผู้หญิงธรรมดาคนนึง แม่(พิน)เป็นข้าราชการครู พ่อ(วอ)ทำงานกับตา ซึ่งครอบครัวของตาเป็นเจ้าของร้านขายเฟอร์นิเจอร์ที่ใหญ่แห่งนึง ในต่างจังหวัด ในสมัย30 กว่าปีที่แล้ว ช่วงปี 80-90 ก็แล้วกัน แม่ก็ทำหน้าที่ครูตามธรรมดาทั่วไป ส่วนพ่อก็จะขายเฟอร์นิเจอร์ ส่งของ เก็บค่าเฟอร์นิเจอร์ รายเดือน
พ่อพื้นเพเดิมเป็นคนเหนือที่โตกรุงเทพ พอเป็นหนุ่มได้ย้ายมาอยู่กับน้าที่ร้อยเอ็ด แล้วก็ได้มาเจอกับตา ซึ่งเป็นพ่อตาในปัจจุบัน ตาเอ็นดูพ่อมาก ถึงกับรับพ่อมาเป็นลูกบุญธรรมและได้ให้แต่งงานกับแม่ซึ่งตอนนั้นแม่ก็มีคนที่ชอบอยู่แล้วเช่นกัน แต่ก็นะ สมัยก่อน การจับคลุมถุงชน มันง่าย ลูกก็ถูกเลี้ยงให้เชื่อฟังพ่อแม่ และในตอนนั้น ตากับยาย ก็เป็นคนมีฐานะ ส่วนยายเองก็เป็นคนบ้านนอก ชอบคนในเมืองดูโก้ดูดี พ่อเองก็หล่อเหลาเอาการ ประหนึ่งดาราเกาหลีสมัยนี้เลย ขนาดพ่อไม่มีเงินแต่ง ยายยังจัดแจงค่าสินสอดพร้อมเพื่อเป็นหน้าเป็นตาแทนอีกต่างหาก
ส่วนอีกฝ่ายที่ชอบแม่ ยายเรียกไป 10 หมื่น เค้าก็ไม่มีอ่ะนะ เลยต้องเป็นฝ่ายถอยออกไป แต่ในวันงาน ผู้ชายที่ชอบแม่เค้าก็มาช่วยงานแต่งแม่นะ เราเห็นเค้าในรูป แม่ชี้ให้ดู แม่บอกว่า เค้าชื่อสุวัติ เป็นเพื่อนลุง ลุงชอบเรียกว่า บักสวด เค้ามาช่วยงานแต่งแม่ มาช่วยจัดโต๊ะ จัดเก้าอี้ พ่อเองก็เพิ่งรู้ ว่ามีเค้ามางานด้วย
ญาตาเกิดในครอบครัวที่มีกิจการขายเฟอร์นิเจอร์ อยู่บ้านกับตา ยาย ช่วงชีวิตที่จำได้ คือ ช่วงที่พ่อไม่อยู่ ไปทำงานที่ซาอุ ญาตาอยู่บ้านกับตายาย มีแม่มีน้องอีกคนชื่อโอ อายุน้อยกว่า2ปี น้า มียายทวดแก่ชื่อยายภา มีคนงาน 2 คน เป็นผู้ชาย ชีวิตความเป็นอยู่ค่อนข้างดี สบาย ไม่ขัดสน เพราะ ตากับยาย ท่านมีฐานะ
ตาเป็นผู้ใหญ่บ้าน มีงานที่บ้านบ่อย ครัวของยาย มีถ้วย จาน ชาม ไห เยอะ พอเลี้ยงคนเป็นร้อยได้สบาย จนมีห้องเก็บเฉพาะในบ้าน หม้อ กระทะ ใบใหญ่ๆ แก้วเป็นร้อยใบ กระโถน อาสนะ พรม หิ้งพระ พร้อมทุกสถานการณ์งานบุญ ที่เห็นๆคือ งานบุญ ที่เห็น ธงตะขาบ และเห็น พาน ที่จะถือเยอะแยะ อันนี้จำภาพมาจากตอนเด็กๆ
บ่อยครั้งที่ตาจะ ตีขอนไม้ ที่ลักษณะมันกลวง เพื่อเรียกให้มีการประชุม จำได้ว่าเสียงดังและกังวาน สมัยนั้นยังไม่มีการโทรโขงขยายเสียง จะมีการประชุมกันในตอนเย็น ส่วนญาตากับคนอื่นๆจะช่วยกันกางเก้าอี้เพื่อให้ลูกบ้านมานั่งประชุมพร้อมกันที่หน้าบ้าน สมัยก่อนลานหน้าบ้านค่อนข้างกว้าง เพราะ ถนนจะมีแค่ 2 เลน แทบทุกบ้านหน้าบ้านจะมีม้าหินอ่อนให้นั่ง มีโอ่งใบนึงกับกระบวยใส่น้ำกิน พอประชุมเสร็จ ลูกบ้านก็จะช่วยกันเก็บเก้าอี้พับช่วยๆกันเก็บไว้ที่เดิม
ช่วงชีวิตตอนเด็กมันเรียบง่าย ไร้กฏเกณฑ์ยุ่งยาก แค่ไปโรงเรียน กินอิ่ม นอนหลับ ช่วงนึงที่พ่อต้องไปทำงานที่ซาอุ จำได้ว่า เวลาขี่รถมอเตอร์ไซด์กับแม่ ตอนกลางคืน เรานั่งหน้า แม่จะชี้ให้ดูพระจันทร์ และเรียกว่าอีเกิ้งในภาษาอิสาน บอกว่า พ่อดูเราอยู่ เราก็ร้องเรียกพ่อกับพระจันทร์กับน้องชาย ร้องเรียกไปเรื่อยๆ ช่วงก่อนจะถึงบ้าน จะมีช่วงนึงที่เป็นทุ่งนา เราก็จะร้องเรียกช่วงนั้นแหละ ไม่มีบ้านคน แหกปากร้องเรียกพ่อไปเรื่อยๆ
ตรงนั้นก่อนจะถึงทุ่งนา จะมีร้านขายน้ำมัน เป็นปั้มหลอด ที่มีถังน้ำมัน แล้วใช้มือหมุนๆให้น้ำมันขึ้นโถแก้วด้านบน เติมน้ำมันตามขีด ขีดละ 10 บาท มีสายยางโยงมาเติมที่รถมอเตอร์ไซด์ ด้วยที่ตาเป็นคนมีฐานะในสมัยก่อน ตาจึงมีที่เยอะพอสมควร มีแปลงนึงใกล้บ้าน อยู่ติดถนน หน้าเรือนจำ จะมีหนังกลางแปลงมาฉายแถวบ้านบ่อย และที่ที่ฉายก็เป็นของตา จึงมีรถหนังมาขออนุญาตฉาย เอ๋เองก็ได้ไปดูทุกครั้ง กับแม่ กับน้า กับยายบ้าง มีครั้งนึงจำได้ติดติดว่า มีฉากหนังโป๊มาขั้นแป๊ปนึง โผล่มาแว๊บๆแต่ทุกคนก็นิ่งๆไม่ว่าอะไร
ปิดเทอม
ช่วงปิดเทอม เด็กๆแถวบ้านก็จะรวมตัวกันเล่นขายของ พวกเราไปเล่นกันบ่อยที่สนามเด็กเล่นในเรือนจำ เพราะมีสไลด์เดอร์ที่สูงกว่าที่อื่น คือแบบไม่ต่ำกว่า 3 เมตรแน่นอน ตัวฐานเป็นปูนซีเมนต์ ตัวโดมทำจากเหล็กเหมือนปราสาทเล็กๆ หลังคาสีแดงมีสไลเดอร์ทำจากเหล็ก มีแบบนี้สองอัน มีชิงช้าหลายอัน มีบ่อปลาเล็กๆ ที่ไม่มีปลา มีรูปปั้นของพระเจ้าสิทธัตถะที่กำลังจะปลงผม มีดอกพุทธรักษาปลูกล้อมรั้วไว้ และริมคลองเล็กที่อยู่ด้านหน้าเรือนจำ มันเล็กจนเรียกคลองไม่ได้เหมือนไว้ระบายน้ำแค่นั้น เพื่อนๆจะมีหลายกลุ่ม กลุ่มลูกครู กลุ่มลูกคนงาน คนขับสามล้อ เอ๋กับน้องได้เล่นกับหลายกลุ่ม ถ้ากลุ่มลูกครูหรือพ่อแม่ที่เป็นช้าราชการ ส่วนมากจะเล่นขายของ ตั้งเป็นตลาด เอากระดาษสีๆตัดเป็นเงิน สีแดง แบงค์ร้อย สีม่วงแบงค์ห้าร้อย สีเขียวแบงค์ยี่สิบ ขายก๋วยเตี๋ยวโดยใช่หญ้าเป็นเส้น ปั้นดิน ดอกไม้ จินตนาการในการหาวัตถุดิบมีเหลือคณา บางครั้งเราก็เล่นเป็นคุณครู คนที่อายุมากสุดก็จะเป็นครู มีชั่วโมงศิลปะ คณิต พละ ชั่วโมงพละเคยมีการสอนเล่นยูโด เอ๋ได้เล่นกับบอม ซึ่งเป็นเด็กผู้ชายตัวผอม พอครู(จำเป็น)บอกเริ่มได้ มันเตะตัดขาเอซะงั้น ล้มทั้วยืนจุกพูดไม่ออกเลย ร้องไห้ซะ วันนั้นเลยได้หยุดเล่น เพราะ เจ็บตัวพอสมควร
ส่วนกลุ่มลูกคนงานส่วนมากกลุ่มนี้ จะพากันไปเล่นในป่า ในนา หายิงกิ้งก้า ที่บ้านเราเรียกว่า กะปอม เด็กกลุ่มนี้เค้าจะไม่กลับไปกินข้าวเที่ยงที่บ้านนะ เค้าหากินกันเอง เราไปวันแรก เรากับน้องก็กลับไปกินข้าวเที่ยงที่บ้าน วันต่อมา เราเอาไข่ที่บ้านไปด้วย พวกเค้านั้นเค้ายิงกะปอมได้ เค้าก็กินกะปอม เรากับน้องกินไข่คนละฟอง เอาไข่ไปเผาในกอไฟที่จุดกันเองด้วยไม้ เด็กกลุ่มนี้เค้าจะชอบลงเล่นน้ำในนา ซึ่งเป็นอะไรที่แปลกใหม่กับเรามาก เรากับน้องก็เล่นด้วย แต่ลงไปเล่นที่เป็นปักควายอ่ะ ใช่ ตรงที่ควายมันนอนเป็นโคลน จำได้ มีเรากับน้องที่เล่น ส่วนเด็กคนอื่นเค้ายืนมองกัน ตอนนี้รู้แล้วล่ะว่า ยืนมองทำไม ทำไมเค้าไม่เล่นกับเรา เพราะมันสกปรกมาก พอเล่นเสร็จ เรากับน้องแอบกลับบ้านโดยที่ไม่ให้ใครเห็น
บ้านตาหลังใหญ่มาก เพราะ เป็นบ้านที่มีโกดังเชื่อมติด พื้นที่ใหญ่ มีทางเข้าหลายทาง เราแอบเข้าข้างบ้าน เพราะลงบันไดปุ๊ป จะเจอห้องน้ำทันที เรากับน้องแอบเข้าห้องน้ำ อาบน้ำด้วยกัน ขอบอกก่อนว่า ห้องน้ำบ้านตาใหญ่มาก ใหญ่แบบ อาจจะมี 5x5 เมตร บ่อน้ำที่ใส่น้ำ ก็กว้างมาก เหมือนสระว่ายน้ำเด็กเล็กในปัจจุบัน สมัยจะใช้ขันตักน้ำอาบ ส่วนหน้าหนาวก็มีฝักบัวกับเครื่องทำความร้อนจากแก๊ส ส่วนโถส้วมก็เป็นแบบส้วมซึม เดินขึ้นมีอ่างอีกอ่างข้างๆกันเพื่อใช้ตักเวลาชำระล้าง คือห้องน้ำใหญ่กว่าห้องนอนซะอีก ตอนอาบน้ำ เราจำได้ ว่าเรากับลูกพี่ลูกน้อง 4-5 คนนั่งตั่งเรียงกันสระผม ได้สบาย พร้อมผู้ใหญ่อีก2คนที่สระให้ กลับมาที่หลังจากไปเล่นปักควาย เรากับน้องก็แอบย่องเข้าห้องน้ำไม่ให้ใครเห็น แต่ด้วยความสกปรกตามร่างกาย และยังคึกสนุก เรากับน้องก็ลงอ่างใหญ่เลยจ้า เล่นเหมือนสระว่ายน้ำเลย เอามือเดินในน้ำขาลอย เล่นกันสนุกเลย แล้วออกจากห้องน้ำเหมือนเราอาบน้ำตามปรกติ เราทำแบบนี้อยู่ 2 ครั้ง แต่ครั้งที่สองโดนจับได้ ตาได้ยินเสียงเราสองคนในห้องน้ำ ตาใช้ชะแลงงัดจับได้คาหนังคาเขาเลย ว่าพวกเรากำลังเล่นน้ำอยู่ในอ่างน้ำที่ใช้อาบ เราสองคนอึ้ง ตาพูดว่า”กูว่าแล้ว น้ำรสชาติมันเป็นทะ

ๆ เวลาแปรงฟัน เด็กสองตัวนี้มันมาเล่นน้ำในนี้นี่เอง” หน้าจ๋อยจ้า แต่ไม่โดนตีนะ ตาไม่เคยตีเรากับน้องเลย พ่อแม่จะตีแกก็ไม่เคยปล่อยให้โดนตี แกบอกว่า ตีแล้วเจ็บไม่ให้ตี สุดท้ายโดนด่า โดนดุ แล้วตาก็ให้คนล้างอ่างเปลี่ยนน้ำใหม่ เรื่องนี้เรากับน้องยังเอามาคุยกันถึงตอนนี้ สำหรับเรา แล้ว ตาคือฮีโร่ คือ ลูกผู้ชายตัวจริง เป็นคนที่เรานับถือความซื่อตรง ไม่มีใครที่เราจะยกย่อง ได้เหมือนตา
งานบุญ
งานบุญที่บ้านจะมีบ่อยมาก สังเกตุได้จากที่เห็นคนเยอะมาที่บ้าน มาช่วยกันทำขนมเทียน ทำเป็นร้อยเป็นพันชิ้น ส่วนมากที่บ้านจะทำไส้หวาน เราก็มีส่วนร่วมช่วยห่อ ขนมเทียนสมัยนั้นไม่ใช่แนวขนมเทียนแก้วในสมัยนี้ สีแป้งออกขุ่นๆ ไส้เยอะๆ มองเห็นเลยเวลาที่แกะใบตองออก
บริเวณครัวที่บ้านค่อนข้างใหญ่ มาก เพราะ บ้าน เหมือนว่า จะมีอยู่ในพื้นที่ 2 หลัง กับยุ้งฉ่างข้างใหญ่อีก 1 หลัง หลังหน้าบ้านห่างกับหลังที่ประมาณ 20 เมตร ส่วนยุ้งฉ่างข้าวก็อยู่ตรงหน้าบ้านหลังที่สองเพียงไม่กี่ก้าว บ้าน3หลังนี้ถูกเชื่อมต่อกันด้วยหลังคาสังกะสีทำโครงสร้างคล้ายโกดังโรงสีเลย คลุมบริเวณเชื่อมต่อทั้ง3หลังเอาไว้ พื้นก็เทปูนคลอบคลุมทั้งพื้นที่ ส่วนครัวจะอยู่หลังบ้าน เปิดโล่ง พื้นเทปูน มีโอ่งเเดงหลายใบวางเรียงเป็นแนวกัน ถ้าจำไม่ผิด 5-6ใบได้ วางใกล้ๆชายคา เพื่อรองรับน้ำฝน มีท่อรางน้ำฝน ที่เอาไว้เชื่อมต่อกับโอ่งแรก พอน้ำเต็มก็ค่อยจับเปลี่ยนท่อใส่โอ่งที่2 3 4 ไปเรื่อยๆ ถัดจากครัว หันหลังให้บ้าน ซ้ายมือจะเป็นต้นมะขาม ถัดไปเป็นประตูหลังบ้าน เป็นบานประตูเลื่อนขนาดใหญ่ ทำจากเหล็กทึบ ใหญ่ขนาดรถสิบล้อผ่านได้ ถัดไปจะเป็นคอกวัว คอกควาย เป็นหลังคาสังกะสีขนาดใหญ่พอสมควร วัวควายอยู่ได้เป็นร้อยตัวเลยล่ะ ด้านขวาจะเป็นเล้าเป็ด เล้าไก่
ช่วงตอนมีงาน เราจะได้เห็นแค่ว่า เค้าเอาเป็ดที่โดนปาดคอแล้ว มาห้อยหัวลงแล้วเอาถ้วยมารองรับเลือดที่ค่อยๆออกจากตัวเป็ด หรือ ไก่ และมีคนที่เค้าคอยลวกเป็ด ไก่ เพื่อถอนขน จุ่มน้ำร้อนจุ่มไปจุ่มมา แบบนี้ แล้วถอนขนจนกว่าจะหมด ส่วนเรื่องสถานที่ เราก็แค่เดินป่วนเปี้ยนไปมาเท่านั้น ดูเค้าจัดหิ้ง จัดอาสนะ กระโถน แก้ว น้ำเปล่า ปูพรม รอรับแขก
ลองเขียนเรื่องของตัวเองค่ะ ใครว่างช่วยอ่านและชี้แนะด้วยนะคะ
เป็นการถ่ายทอดประสบการณ์ที่เกิดขึ้นจริง ซึ่งผู้เขียนอยากเล่า ทั้งความผิดพลาดในชีวิตที่เกิดขึ้น และความผิดพลาดพร้อมกับการกระทำนั้น ได้ส่งผลอย่างไรในชีวิตผู้เขียน ซึ่งอาจจะคล้ายกับสถานการณ์หรือช่วงชีวิตของใครบางคน เรื่องที่จะเล่า ผู้เขียนไมได้มีเจตนาเชิญชวน หรือ อ้างว่าเป็นสิ่งที่ดี ที่ควรทำตาม แต่จะเล่าเพื่อความบันเทิง และอยากถ่ายทอดเท่านั้น การตัดสินใจใดๆในทุกช่วงชีวิต ก็เป็นไปตามความนึกคิดและประสบการณ์ของผู้เขียนเท่านั้น จะถูกจะผิดและสุดท้ายแล้ว มันทำให้รู้ว่า ชีวิตยังไงก็ต้องไปต่อ แต่จะไปในรูปแบบไหนเท่านั้นเอง ผู้เขียนขอใช้ชื่อบุคคลเป็นนามสมมุติ เพื่อให้คล้ายกับการเขียนไดอารี่ จะได้เข้าใจง่ายมากขึ้น
เรื่องเล่าส่วนตัวเกี่ยวกับชีวิตผู้เขียนเอง ประสบการณ์และสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นในชีวิต ที่แสนธรรมดาทั่วไป และแตกต่างจากผู้อ่านและอีกหลายคน และอาจจะมีส่วนคล้ายในบางช่วงของชีวิต
ผู้เขียนมีเจตนาที่ถ่ายทอด และได้รับแรงบันดาลใจ จากการที่ผู้เขียนได้รับบำบัดสภาพจิตใจจากนักจิตแพทย์
ในช่วงบำบัด มันทำให้ผู้เขียนได้เล่าถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาในชีวิต ที่ผู้เขียนไม่คิดว่า จะมีความทรงจำนั้นอยู่ในสมอง ในระหว่างที่เล่าให้จิตแพทย์ฟัง มันทำให้ผู้เขียนได้กลับย้อนไปถึงความรู้สึก ความคิด และภาพในตอนนั้น ทำให้นึกถึง สิ่งที่สวยงาม และความผิดพลาดในชีวิตที่ตอนนั้นบอกกับตัวเองเสมอว่า จะไม่มีวันกลับไปพลาดเช่นนั้นอีก แต่สุดท้าย ก็พลาดมาหลายครั้งหลายครา
ภาพสวยงามที่ทำให้ผู้เขียนได้ย้อนเวลากลับไป ว่าคนที่รักและที่รักเรานั้น ในตอนนั้น ความรู้สึกมันมีค่าแค่ไหนกัน มันทำให้ผู้เขียนได้ ตระหนักในการใช้ชีวิตที่ผ่านมา ว่า ช่างประมาทเสียเหลือเกิน และมันทำให้รู้ว่า ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในวันนั้น มันทำให้ผู้เขียนเป็นอะไรในตอนนี้
ทั้งดีและชั่วที่เคยทำมา มันเป็นตัวขัดเกลาให้ผู้เขียนเป็นตัวของตัวเองในวันนี้ ที่สำคัญ มันเป็นช่วงเวลาที่สวยงามเช่นกัน ยิ่งช่วงตอนเด็ก แล้ว ความรักอันมหาศาลที่ได้รับ มันทำให้เราผู้เขียนเข้าใจว่า ลูกเราเองก็คงต้องการสิ่งนั้นเช่นกัน อะไรที่พ่อแม่เคยละเลย แล้วเราเองไม่ชอบในตอนเด็ก แต่ตอนนี้เรากลับทำกับลูกซะงั้น มันทำให้ทุกวินาทีที่เหลือต่อจากนี้ พยายามจะพลาดน้อยลง เสี่ยงน้อยลง ค้นหาความสงบมากขึ้น ขึ้นกับวัตถุค่านิยมน้อยลง มันทำให้เราเข้าใจว่า ทุกคนมีเหตุผลของตัวเองทั้งนั้น
เรื่องเล่านี้ เป็นเรื่องที่เล่าช่วงที่ผู้เขียนจำความได้ ช่วงชีวิตวัยเด็ก จนถึงปัจจุบัน ถูกแบ่งเป็นช่วงๆ ตามอารมณ์และความจำของผู้เขียนเอง
พื้นฐานชีวิต
ญาตาเป็นเด็กผู้หญิงธรรมดาคนนึง แม่(พิน)เป็นข้าราชการครู พ่อ(วอ)ทำงานกับตา ซึ่งครอบครัวของตาเป็นเจ้าของร้านขายเฟอร์นิเจอร์ที่ใหญ่แห่งนึง ในต่างจังหวัด ในสมัย30 กว่าปีที่แล้ว ช่วงปี 80-90 ก็แล้วกัน แม่ก็ทำหน้าที่ครูตามธรรมดาทั่วไป ส่วนพ่อก็จะขายเฟอร์นิเจอร์ ส่งของ เก็บค่าเฟอร์นิเจอร์ รายเดือน
พ่อพื้นเพเดิมเป็นคนเหนือที่โตกรุงเทพ พอเป็นหนุ่มได้ย้ายมาอยู่กับน้าที่ร้อยเอ็ด แล้วก็ได้มาเจอกับตา ซึ่งเป็นพ่อตาในปัจจุบัน ตาเอ็นดูพ่อมาก ถึงกับรับพ่อมาเป็นลูกบุญธรรมและได้ให้แต่งงานกับแม่ซึ่งตอนนั้นแม่ก็มีคนที่ชอบอยู่แล้วเช่นกัน แต่ก็นะ สมัยก่อน การจับคลุมถุงชน มันง่าย ลูกก็ถูกเลี้ยงให้เชื่อฟังพ่อแม่ และในตอนนั้น ตากับยาย ก็เป็นคนมีฐานะ ส่วนยายเองก็เป็นคนบ้านนอก ชอบคนในเมืองดูโก้ดูดี พ่อเองก็หล่อเหลาเอาการ ประหนึ่งดาราเกาหลีสมัยนี้เลย ขนาดพ่อไม่มีเงินแต่ง ยายยังจัดแจงค่าสินสอดพร้อมเพื่อเป็นหน้าเป็นตาแทนอีกต่างหาก
ส่วนอีกฝ่ายที่ชอบแม่ ยายเรียกไป 10 หมื่น เค้าก็ไม่มีอ่ะนะ เลยต้องเป็นฝ่ายถอยออกไป แต่ในวันงาน ผู้ชายที่ชอบแม่เค้าก็มาช่วยงานแต่งแม่นะ เราเห็นเค้าในรูป แม่ชี้ให้ดู แม่บอกว่า เค้าชื่อสุวัติ เป็นเพื่อนลุง ลุงชอบเรียกว่า บักสวด เค้ามาช่วยงานแต่งแม่ มาช่วยจัดโต๊ะ จัดเก้าอี้ พ่อเองก็เพิ่งรู้ ว่ามีเค้ามางานด้วย
ญาตาเกิดในครอบครัวที่มีกิจการขายเฟอร์นิเจอร์ อยู่บ้านกับตา ยาย ช่วงชีวิตที่จำได้ คือ ช่วงที่พ่อไม่อยู่ ไปทำงานที่ซาอุ ญาตาอยู่บ้านกับตายาย มีแม่มีน้องอีกคนชื่อโอ อายุน้อยกว่า2ปี น้า มียายทวดแก่ชื่อยายภา มีคนงาน 2 คน เป็นผู้ชาย ชีวิตความเป็นอยู่ค่อนข้างดี สบาย ไม่ขัดสน เพราะ ตากับยาย ท่านมีฐานะ
ตาเป็นผู้ใหญ่บ้าน มีงานที่บ้านบ่อย ครัวของยาย มีถ้วย จาน ชาม ไห เยอะ พอเลี้ยงคนเป็นร้อยได้สบาย จนมีห้องเก็บเฉพาะในบ้าน หม้อ กระทะ ใบใหญ่ๆ แก้วเป็นร้อยใบ กระโถน อาสนะ พรม หิ้งพระ พร้อมทุกสถานการณ์งานบุญ ที่เห็นๆคือ งานบุญ ที่เห็น ธงตะขาบ และเห็น พาน ที่จะถือเยอะแยะ อันนี้จำภาพมาจากตอนเด็กๆ
บ่อยครั้งที่ตาจะ ตีขอนไม้ ที่ลักษณะมันกลวง เพื่อเรียกให้มีการประชุม จำได้ว่าเสียงดังและกังวาน สมัยนั้นยังไม่มีการโทรโขงขยายเสียง จะมีการประชุมกันในตอนเย็น ส่วนญาตากับคนอื่นๆจะช่วยกันกางเก้าอี้เพื่อให้ลูกบ้านมานั่งประชุมพร้อมกันที่หน้าบ้าน สมัยก่อนลานหน้าบ้านค่อนข้างกว้าง เพราะ ถนนจะมีแค่ 2 เลน แทบทุกบ้านหน้าบ้านจะมีม้าหินอ่อนให้นั่ง มีโอ่งใบนึงกับกระบวยใส่น้ำกิน พอประชุมเสร็จ ลูกบ้านก็จะช่วยกันเก็บเก้าอี้พับช่วยๆกันเก็บไว้ที่เดิม
ช่วงชีวิตตอนเด็กมันเรียบง่าย ไร้กฏเกณฑ์ยุ่งยาก แค่ไปโรงเรียน กินอิ่ม นอนหลับ ช่วงนึงที่พ่อต้องไปทำงานที่ซาอุ จำได้ว่า เวลาขี่รถมอเตอร์ไซด์กับแม่ ตอนกลางคืน เรานั่งหน้า แม่จะชี้ให้ดูพระจันทร์ และเรียกว่าอีเกิ้งในภาษาอิสาน บอกว่า พ่อดูเราอยู่ เราก็ร้องเรียกพ่อกับพระจันทร์กับน้องชาย ร้องเรียกไปเรื่อยๆ ช่วงก่อนจะถึงบ้าน จะมีช่วงนึงที่เป็นทุ่งนา เราก็จะร้องเรียกช่วงนั้นแหละ ไม่มีบ้านคน แหกปากร้องเรียกพ่อไปเรื่อยๆ
ตรงนั้นก่อนจะถึงทุ่งนา จะมีร้านขายน้ำมัน เป็นปั้มหลอด ที่มีถังน้ำมัน แล้วใช้มือหมุนๆให้น้ำมันขึ้นโถแก้วด้านบน เติมน้ำมันตามขีด ขีดละ 10 บาท มีสายยางโยงมาเติมที่รถมอเตอร์ไซด์ ด้วยที่ตาเป็นคนมีฐานะในสมัยก่อน ตาจึงมีที่เยอะพอสมควร มีแปลงนึงใกล้บ้าน อยู่ติดถนน หน้าเรือนจำ จะมีหนังกลางแปลงมาฉายแถวบ้านบ่อย และที่ที่ฉายก็เป็นของตา จึงมีรถหนังมาขออนุญาตฉาย เอ๋เองก็ได้ไปดูทุกครั้ง กับแม่ กับน้า กับยายบ้าง มีครั้งนึงจำได้ติดติดว่า มีฉากหนังโป๊มาขั้นแป๊ปนึง โผล่มาแว๊บๆแต่ทุกคนก็นิ่งๆไม่ว่าอะไร
ปิดเทอม
ช่วงปิดเทอม เด็กๆแถวบ้านก็จะรวมตัวกันเล่นขายของ พวกเราไปเล่นกันบ่อยที่สนามเด็กเล่นในเรือนจำ เพราะมีสไลด์เดอร์ที่สูงกว่าที่อื่น คือแบบไม่ต่ำกว่า 3 เมตรแน่นอน ตัวฐานเป็นปูนซีเมนต์ ตัวโดมทำจากเหล็กเหมือนปราสาทเล็กๆ หลังคาสีแดงมีสไลเดอร์ทำจากเหล็ก มีแบบนี้สองอัน มีชิงช้าหลายอัน มีบ่อปลาเล็กๆ ที่ไม่มีปลา มีรูปปั้นของพระเจ้าสิทธัตถะที่กำลังจะปลงผม มีดอกพุทธรักษาปลูกล้อมรั้วไว้ และริมคลองเล็กที่อยู่ด้านหน้าเรือนจำ มันเล็กจนเรียกคลองไม่ได้เหมือนไว้ระบายน้ำแค่นั้น เพื่อนๆจะมีหลายกลุ่ม กลุ่มลูกครู กลุ่มลูกคนงาน คนขับสามล้อ เอ๋กับน้องได้เล่นกับหลายกลุ่ม ถ้ากลุ่มลูกครูหรือพ่อแม่ที่เป็นช้าราชการ ส่วนมากจะเล่นขายของ ตั้งเป็นตลาด เอากระดาษสีๆตัดเป็นเงิน สีแดง แบงค์ร้อย สีม่วงแบงค์ห้าร้อย สีเขียวแบงค์ยี่สิบ ขายก๋วยเตี๋ยวโดยใช่หญ้าเป็นเส้น ปั้นดิน ดอกไม้ จินตนาการในการหาวัตถุดิบมีเหลือคณา บางครั้งเราก็เล่นเป็นคุณครู คนที่อายุมากสุดก็จะเป็นครู มีชั่วโมงศิลปะ คณิต พละ ชั่วโมงพละเคยมีการสอนเล่นยูโด เอ๋ได้เล่นกับบอม ซึ่งเป็นเด็กผู้ชายตัวผอม พอครู(จำเป็น)บอกเริ่มได้ มันเตะตัดขาเอซะงั้น ล้มทั้วยืนจุกพูดไม่ออกเลย ร้องไห้ซะ วันนั้นเลยได้หยุดเล่น เพราะ เจ็บตัวพอสมควร
ส่วนกลุ่มลูกคนงานส่วนมากกลุ่มนี้ จะพากันไปเล่นในป่า ในนา หายิงกิ้งก้า ที่บ้านเราเรียกว่า กะปอม เด็กกลุ่มนี้เค้าจะไม่กลับไปกินข้าวเที่ยงที่บ้านนะ เค้าหากินกันเอง เราไปวันแรก เรากับน้องก็กลับไปกินข้าวเที่ยงที่บ้าน วันต่อมา เราเอาไข่ที่บ้านไปด้วย พวกเค้านั้นเค้ายิงกะปอมได้ เค้าก็กินกะปอม เรากับน้องกินไข่คนละฟอง เอาไข่ไปเผาในกอไฟที่จุดกันเองด้วยไม้ เด็กกลุ่มนี้เค้าจะชอบลงเล่นน้ำในนา ซึ่งเป็นอะไรที่แปลกใหม่กับเรามาก เรากับน้องก็เล่นด้วย แต่ลงไปเล่นที่เป็นปักควายอ่ะ ใช่ ตรงที่ควายมันนอนเป็นโคลน จำได้ มีเรากับน้องที่เล่น ส่วนเด็กคนอื่นเค้ายืนมองกัน ตอนนี้รู้แล้วล่ะว่า ยืนมองทำไม ทำไมเค้าไม่เล่นกับเรา เพราะมันสกปรกมาก พอเล่นเสร็จ เรากับน้องแอบกลับบ้านโดยที่ไม่ให้ใครเห็น
บ้านตาหลังใหญ่มาก เพราะ เป็นบ้านที่มีโกดังเชื่อมติด พื้นที่ใหญ่ มีทางเข้าหลายทาง เราแอบเข้าข้างบ้าน เพราะลงบันไดปุ๊ป จะเจอห้องน้ำทันที เรากับน้องแอบเข้าห้องน้ำ อาบน้ำด้วยกัน ขอบอกก่อนว่า ห้องน้ำบ้านตาใหญ่มาก ใหญ่แบบ อาจจะมี 5x5 เมตร บ่อน้ำที่ใส่น้ำ ก็กว้างมาก เหมือนสระว่ายน้ำเด็กเล็กในปัจจุบัน สมัยจะใช้ขันตักน้ำอาบ ส่วนหน้าหนาวก็มีฝักบัวกับเครื่องทำความร้อนจากแก๊ส ส่วนโถส้วมก็เป็นแบบส้วมซึม เดินขึ้นมีอ่างอีกอ่างข้างๆกันเพื่อใช้ตักเวลาชำระล้าง คือห้องน้ำใหญ่กว่าห้องนอนซะอีก ตอนอาบน้ำ เราจำได้ ว่าเรากับลูกพี่ลูกน้อง 4-5 คนนั่งตั่งเรียงกันสระผม ได้สบาย พร้อมผู้ใหญ่อีก2คนที่สระให้ กลับมาที่หลังจากไปเล่นปักควาย เรากับน้องก็แอบย่องเข้าห้องน้ำไม่ให้ใครเห็น แต่ด้วยความสกปรกตามร่างกาย และยังคึกสนุก เรากับน้องก็ลงอ่างใหญ่เลยจ้า เล่นเหมือนสระว่ายน้ำเลย เอามือเดินในน้ำขาลอย เล่นกันสนุกเลย แล้วออกจากห้องน้ำเหมือนเราอาบน้ำตามปรกติ เราทำแบบนี้อยู่ 2 ครั้ง แต่ครั้งที่สองโดนจับได้ ตาได้ยินเสียงเราสองคนในห้องน้ำ ตาใช้ชะแลงงัดจับได้คาหนังคาเขาเลย ว่าพวกเรากำลังเล่นน้ำอยู่ในอ่างน้ำที่ใช้อาบ เราสองคนอึ้ง ตาพูดว่า”กูว่าแล้ว น้ำรสชาติมันเป็นทะ
งานบุญ
งานบุญที่บ้านจะมีบ่อยมาก สังเกตุได้จากที่เห็นคนเยอะมาที่บ้าน มาช่วยกันทำขนมเทียน ทำเป็นร้อยเป็นพันชิ้น ส่วนมากที่บ้านจะทำไส้หวาน เราก็มีส่วนร่วมช่วยห่อ ขนมเทียนสมัยนั้นไม่ใช่แนวขนมเทียนแก้วในสมัยนี้ สีแป้งออกขุ่นๆ ไส้เยอะๆ มองเห็นเลยเวลาที่แกะใบตองออก
บริเวณครัวที่บ้านค่อนข้างใหญ่ มาก เพราะ บ้าน เหมือนว่า จะมีอยู่ในพื้นที่ 2 หลัง กับยุ้งฉ่างข้างใหญ่อีก 1 หลัง หลังหน้าบ้านห่างกับหลังที่ประมาณ 20 เมตร ส่วนยุ้งฉ่างข้าวก็อยู่ตรงหน้าบ้านหลังที่สองเพียงไม่กี่ก้าว บ้าน3หลังนี้ถูกเชื่อมต่อกันด้วยหลังคาสังกะสีทำโครงสร้างคล้ายโกดังโรงสีเลย คลุมบริเวณเชื่อมต่อทั้ง3หลังเอาไว้ พื้นก็เทปูนคลอบคลุมทั้งพื้นที่ ส่วนครัวจะอยู่หลังบ้าน เปิดโล่ง พื้นเทปูน มีโอ่งเเดงหลายใบวางเรียงเป็นแนวกัน ถ้าจำไม่ผิด 5-6ใบได้ วางใกล้ๆชายคา เพื่อรองรับน้ำฝน มีท่อรางน้ำฝน ที่เอาไว้เชื่อมต่อกับโอ่งแรก พอน้ำเต็มก็ค่อยจับเปลี่ยนท่อใส่โอ่งที่2 3 4 ไปเรื่อยๆ ถัดจากครัว หันหลังให้บ้าน ซ้ายมือจะเป็นต้นมะขาม ถัดไปเป็นประตูหลังบ้าน เป็นบานประตูเลื่อนขนาดใหญ่ ทำจากเหล็กทึบ ใหญ่ขนาดรถสิบล้อผ่านได้ ถัดไปจะเป็นคอกวัว คอกควาย เป็นหลังคาสังกะสีขนาดใหญ่พอสมควร วัวควายอยู่ได้เป็นร้อยตัวเลยล่ะ ด้านขวาจะเป็นเล้าเป็ด เล้าไก่
ช่วงตอนมีงาน เราจะได้เห็นแค่ว่า เค้าเอาเป็ดที่โดนปาดคอแล้ว มาห้อยหัวลงแล้วเอาถ้วยมารองรับเลือดที่ค่อยๆออกจากตัวเป็ด หรือ ไก่ และมีคนที่เค้าคอยลวกเป็ด ไก่ เพื่อถอนขน จุ่มน้ำร้อนจุ่มไปจุ่มมา แบบนี้ แล้วถอนขนจนกว่าจะหมด ส่วนเรื่องสถานที่ เราก็แค่เดินป่วนเปี้ยนไปมาเท่านั้น ดูเค้าจัดหิ้ง จัดอาสนะ กระโถน แก้ว น้ำเปล่า ปูพรม รอรับแขก