สวัสดีเพื่อนๆชาวพันทิปค่ะ กลับมาอีกครั้งหลังจากตั้งกระทู้แรกไปแล้วเกือบเดือนนึง
กระทู้แรก
https://pantip.com/topic/40490295
กระทู้นี้เราจะมารีวิวการท่องเที่ยวจังหวัดอากิตะกันอีก 1 ทริป เป็นทริปที่เราเดินทางในช่วงกลางเดือนพฤศจิกายน 2020 เป็นการตั้งใจไปเก็บภาพสวยๆของใบไม้เปลี่ยนสีอีกครั้ง แต่ทริปนี้มีเซอร์ไพรส์ตรงที่ หิมะตกใส่ใบไม้แดงซะงั้น บรรยากาศที่ได้มาเลยสวยประทับใจเกินความคาดหมายเลยค่ะ ทริปนี้เราไปกันหลังจบทริปแรกเพียงสามสัปดาห์เท่านั้น แต่พอมาถึงอากิตะรอบนี้รู้สึกแตกต่างมาก อย่างแรกคืออากาศหนาวขึ้นมาก และใบไม้ตามเทือกเขาสูงๆนี่ก็ร่วงไปเยอะแล้ว

เราเริ่มออกเดินทางในช่วงเช้าจากสนามบินฮาเนดะ คราวนี้เราไปลงที่สนามบินอากิตะค่ะ เรามาถึงประมาณ 10:30 นาฬิกา ทริปนี้เราเช่ารถเที่ยวเหมือนเดิมค่ะ สะดวกดี
สถานที่ท่องเที่ยวแรกสำหรับทริปนี้นะคะ เราไปกันที่หุบเขา Dakigaeri ในเมืองเซนโบคุ อยู่ทางตะวันออกของจังหวัดอากิตะ

ที่นี่เราจะมาเพื่อเดินป่ากันค่ะ แอบร้องไห้นิดนึงที่วันนี้อากาศไม่ดี ฝนตกลงมาตลอด แต่ดีที่เราเดินบนใบไม้ที่ร่วงทับถมกันเมื่อไม่นาน ทำให้น้ำฝนไปอยู่ด้านล่างหมด รองเท้าไม่ค่อยเปียกเท่าไร ทางเดินของหุบเขานี้เป็นทางเลียบแม่น้ำ Tama มีความยาวประมาณ 1.5 กิโลเมตร จนกว่าจะถึงน้ำตก Mikaeri ซึ่งจะเป็นจุดหมายของที่นี่

เราเริ่มออกเดินมาได้ไม่เกิน 10 นาทีก็จะต้องข้ามสะพานแขวนนี้ค่ะ Kami no Iwahashi สะพานแขวนที่เก่าแก่ที่สุดในจังหวัดอากิตะ สร้างมาตั้งแต่ปี 1926 อีก 5 ปีก็จะครบ 100 ปีแล้ว แต่เราไม่รู้สึกกลัวเลย เคยมีคนญี่ปุ่นเคยบอกไว้ว่าให้มั่นใจเหอะว่าสิ่งก่อสร้างในญี่ปุ่นปลอดภัย เพราะทำมาเพื่อรองรับภัยพิบัติต่างๆ ได้ยินแบบนั้น ความกลัวหายไป แล้วพบว่าเวลาไปเที่ยวเราสามารถสนุกกับสถานที่ต่างๆได้มากขึ้น

หลังจากข้ามสะพานมาแล้วเดินต่อมาอีกนิดนึงจะพบศาลเจ้า Dakigaeri เป็นศาลเจ้าเก่าแก่ตั้งแต่ปี 1673 ผู้คนก็จะมากราบไหว้ขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ให้กำเนิดแหล่งน้ำ หลังจากศาลเจ้านี้ ทางเดินต่อไปก็จะเป็นในส่วนของหุบเขา
ถึงเราจะบอกว่าเป็นการเดินป่าแต่จริงๆแล้วทางเดินที่เค้าทำให้ไว้เนี่ย ทำให้เดินง่ายมาก ปลอดภัย และได้ใกล้ชิดกับธรรมชาติมากๆด้วย ระหว่างทางก็ดูใบไม้เปลี่ยนสีที่เรียกได้ว่าอยู่ในช่วงพีคเลย สีส้มๆแดงๆ ตัดกับสีฟ้าของน้ำในแม่น้ำ Tama ที่จัดว่าเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ดึงดูดนักท่องเที่ยว

ที่หุบเขานี้นอกจากจะเป็นจุดชมใบไม้เปลี่ยนสีที่เป็นที่นิยมในช่วงต้นเดือนตุลาคมจนถึงกลางเดือนพฤศจิกายนแล้ว ในฤดูอื่นๆเราก็จะได้เห็นป่าสีเขียวตัดกันกับสีฟ้าของแม่น้ำด้านล่าง ในช่วงฤดูร้อน ที่นี่ยังมีกิจกรรมการล่องแพด้วย
เราใช้เวลาเดินประมาณ 30 นาทีก็มาถึงจุดหมาย คือน้ำตก Mikaeri น้ำตกที่มีความสูง 30 เมตร ตั้งอยู่บนเขา อยู่ในหุบเขาของหุบเขาอีกทีนึง ถ้ายืนบนสะพานนี้แล้วมองน้ำตกก็ว่าสวยงามแล้ว หันหลังกลับไปมองก็จะเจอกับใบไม้เปลี่ยนสีที่สีตัดกันกับสีฟ้าด้านล่าง สมกับชื่อของน้ำตกที่แปลว่าหันหลังกลับไปมอง เรายืนดูน้ำตกกันพักนึง พอดีมันมีช่วงที่ฝนหยุดตกด้วยเลยได้รูปดีๆมา พอขากลับ อากาศดีขึ้นซะงั้น ฝนหายไป ถือว่ายังมีความโชคดีอยู่
มาต่อกันที่สถานที่เที่ยวที่สองของวันนี้ค่ะ ย่านเมืองเก่า Kakunodate
เรามาที่นี่ก็นึกถึงเมือง Kawagoe ที่จังหวัดไซตามะ และเมือง Narai จังหวัดนากาโน่ (ในญี่ปุ่นยังมีเมืองเก่าทำนองนี้อีกหลายเมืองมาก) เป็นเพราะเมืองเหล่านี้เคยรุ่งเรืองอย่างมากในสมัยเอโดะ (1603-1868) เป็นย่านการค้าที่มีผู้คนพลุกพล่าน แต่ที่ Kakunodate นี้เป็นบ้านของซามูไร ณ ปัจจุบันมีบ้านซามูไรที่เปลี่ยนมาเป็นพิพิธภัณฑ์ให้ผู้คนได้เข้าชม แต่ในส่วนของการเข้าชมนั้น เราตัดสินใจกันว่าจะเข้าชมในวันถัดไปค่ะ เพราะเราจะมาที่นี่กันอีกเพื่อมาใส่กิโมโนถ่ายรูป แอบหวังว่าอากาศจะดีกว่าวันนี้

ถนนเมืองเก่า Kakunodate นี้ยังได้รับความนิยมอย่างมากในช่วงดอกซากุระบานค่ะ คือในช่วงปลายเดือนเมษาถึงต้นเดือนพฤษภา ที่นี่จะมีซากุระพันธุ์ก้านยาวๆที่ห้อยๆมาเกือบถึงพื้น ชื่อว่า Shidarezakura จะถูกปลูกไว้ริมทางเดิน ว่ากันว่าสวยเหมือนน้ำตกสีชมพู
ไปเที่ยวมาตั้งสองที่แล้ว เดินก็เยอะแล้ว ได้เวลาอาหารแล้วค่ะ เราก็หาของกินกันที่เมืองเก่านี้ ของขึ้นชื่อที่นี่อีกอย่างคืออุด้ง Inaniwa ต้นกำเนิดที่เมือง Inaniwa เป็นอุด้งเส้นแบนๆ แต่มีความหนุ่บเวลาเคี้ยว มันเป็น texture ที่ดีมากเลย ซุปก็อร่อยดี ชามโตแค่ไหนก็เอาอยู่
พออิ่มแล้วก็เดินเล่นกันต่อ เราได้พบกับน้องฟุคุมารุด้วย น้องหมาพันธุ์อากิตะที่อยู่ที่นี่ มีคนอยากทักทายน้องเยอะเลย

วันนี้อากาศดีสลับกับฝนเทเป็นช่วงๆ มีช่วงที่รู้สึกหนาวมาก ประกอบกับเมื่อเช้าใช้แรงไปเยอะ เราเลยไปนั่งเล่นที่คาเฟในย่านนี้ค่ะ ตกแต่งไว้อย่างดี ดูดี คลาสสิค กาแฟหอม เค้กอร่อย
อย่างที่บอกว่าเราอยากจะใส่กิโมโนถ่ายรูปกันด้วย เราก็เดินหาร้านเช่ากิโมโน ซึ่งตามเมืองเก่านี่หาได้ไม่ยากค่ะ หาใน google ก็เจอ ทำการจองเวลาเรียบร้อย
ก่อนกลับเราก็ขอเข้าชมพิพิธภัณฑ์ Kabazaiku หรืองานของทำมือจากเปลือกต้นซากุระ ด้านในก็มีจัดแสดงสินค้าและมีคนมานั่งทำให้ดู งานแต่ละชิ้นแบบว่าปราณีตมากๆ สินค้าที่ออกมาจึงแพงมากๆ เราได้กลิ่นเปลือกไม้ซากุระหอมๆด้วย ขนาดใส่หน้ากากอนามัยตลอดนะ
ช่วงเย็นเราขับรถขึ้นเหนือค่ะ แต่ยังอยู่ในเมืองเซนโบคุอยู่ คืนนี้เราจะไปพักกันที่ Tamagawa onsen ออนเซ็นที่มีชื่อเสียงมากๆอีกที่นึงของจังหวัดอากิตะ เรามาถึงตอนค่ำแล้ว ครั้งแรกที่เห็นที่ ทำไมตึกดูคุ้นๆ ระหว่างตึกมีทางเชื่อม ทางเดินทุกที่มีราวจับ นึกออกแล้วว่าที่นี่เหมือนโรงพยาบาลนั่นเอง
ใช่ค่ะ ที่นี่เป็นออนเซ็นบำบัด ออนเซ็นมีความเป็นกรดสูงโดยค่า ph อยู่ที่ 1.12 เป็นกรดสูงที่สุดในบรรดาออนเซ็นของญี่ปุ่น มีผลกับความดันให้เลือดไหลเวียนดี แก้ปัญหาผิวต่างๆ และน้ำออนเซ็นที่นี่ดื่มได้ค่ะ เมื่อดื่มเข้าไปแล้วจะปรับสภาพกระเพาะให้ดีขึ้น แต่เราไม่ได้ดื่ม
นอกจากออนเซ็นน้ำร้อน ที่นี่ยังมีออนเซ็นแผ่นหินค่ะ คือนอนบนแผ่นหินที่ได้ถูกปล่อยความร้อน
ใช้เวลาสำหรับออนเซ็นแผ่นหินนี้ประมาณ 45 นาที ในส่วนของห้องน้ำรวมมีออนเซ็นบ่อเล็กๆประมาณ 6 บ่อ แต่ละบ่อมีความร้อนและการปรับความเป็นกรดให้อ่อนลงไม่เท่ากัน เราได้ลงบ่อที่มีความเป็นกรดสูงมากด้วย รู้สึกคันยิบๆตามผิวในช่วงแรกๆที่ลงแช่ พอผ่านไประยะนึงก็รู้สึกดี แต่ผิวลื่นขึ้นมากจริงๆ
ยังมีกล่องไม้สำหรับอบไอน้ำจากแหล่งกำเนิดออนเซ็นอีกด้วย มีซาวน่าให้อีก เรียกว่าหนาวๆจากข้างนอกมา เข้ามาที่นี่เหมือนเจอแหล่งพลังงานความร้อนขนาดใหญ่เข้าไป
https://www.tamagawa-onsen.jp/
สำหรับคนที่มาเพื่อต้องการบำบัดอย่างจริงจังและต้องการคำแนะนำจากเจ้าหน้าที่ก็สามารถทำได้ (ภาษาญี่ปุ่น) และทุกๆวันที่นี่จะมีบรรยายวิธีการบำบัด อารมณ์เราเลยรู้สึกเหมือนที่นี่ไม่ใช่สถานที่ท่องเที่ยวจริงๆสักเท่าไร แต่ถ้าคนที่ชอบการแช่ออนเซ็นอยู่แล้วแบบเรา แบบไหนเราก็ชอบหมด ยิ่งออนเซ็นธรรมชาติโดยตรงจากแหล่งแบบนี้ หาโอกาสมายาก
และแล้วก็ถึงเวลามื้อค่ำแล้ว อาหารที่นี่ไม่หวือหวาเหมือนตามโรงแรมทั้วไป แต่เป็นอาหารที่ดีต่อร่างกาย และที่นี่เน้นเรื่องความปลอดภัย ก่อนหยิบจับอะไรก็ต้องใส่ถุงมือ ต้องใส่หน้ากากอนามัยเวลาลุกออกจากโต้ะอาหาร และแน่นอนว่าเราก็ได้ทานนาเบะคิริทันโปะอีก ถ้าใครมาเที่ยวที่นี่ช่วงฤดูหนาวเนี่ย รับรองว่าทุกโรงแรมมีเมนูนี้แน่นอน

จบการเดินทางในส่วนของวันแรกไปแล้ว ก่อนนอนเราเช็คสภาพอากาศ บอกว่าฝนจะตกทั้งคืน พอเปิดหน้าต่างดู อ้าว ข้างนอกหนาวจนฝนตกลงมาเป็นหิมะ เป็นหิมะแรกที่เราเห็นของฤดูหนาวนี้เลย ตื่นเต้นดีใจพรุ่งนี้เดี๋ยวเราจะพาไปเดินเล่นบนหิมะนุ่มๆกันค่ะ
เดี๋ยวรออ่านวันถัดไปด้านล่างนะคะ ><
[SR] ดูหิมะตกใส่ใบไม้แดงที่จังหวัดอากิตะ ประเทศญี่ปุ่น
กระทู้แรก
https://pantip.com/topic/40490295
กระทู้นี้เราจะมารีวิวการท่องเที่ยวจังหวัดอากิตะกันอีก 1 ทริป เป็นทริปที่เราเดินทางในช่วงกลางเดือนพฤศจิกายน 2020 เป็นการตั้งใจไปเก็บภาพสวยๆของใบไม้เปลี่ยนสีอีกครั้ง แต่ทริปนี้มีเซอร์ไพรส์ตรงที่ หิมะตกใส่ใบไม้แดงซะงั้น บรรยากาศที่ได้มาเลยสวยประทับใจเกินความคาดหมายเลยค่ะ ทริปนี้เราไปกันหลังจบทริปแรกเพียงสามสัปดาห์เท่านั้น แต่พอมาถึงอากิตะรอบนี้รู้สึกแตกต่างมาก อย่างแรกคืออากาศหนาวขึ้นมาก และใบไม้ตามเทือกเขาสูงๆนี่ก็ร่วงไปเยอะแล้ว
เราเริ่มออกเดินทางในช่วงเช้าจากสนามบินฮาเนดะ คราวนี้เราไปลงที่สนามบินอากิตะค่ะ เรามาถึงประมาณ 10:30 นาฬิกา ทริปนี้เราเช่ารถเที่ยวเหมือนเดิมค่ะ สะดวกดี
สถานที่ท่องเที่ยวแรกสำหรับทริปนี้นะคะ เราไปกันที่หุบเขา Dakigaeri ในเมืองเซนโบคุ อยู่ทางตะวันออกของจังหวัดอากิตะ
ที่นี่เราจะมาเพื่อเดินป่ากันค่ะ แอบร้องไห้นิดนึงที่วันนี้อากาศไม่ดี ฝนตกลงมาตลอด แต่ดีที่เราเดินบนใบไม้ที่ร่วงทับถมกันเมื่อไม่นาน ทำให้น้ำฝนไปอยู่ด้านล่างหมด รองเท้าไม่ค่อยเปียกเท่าไร ทางเดินของหุบเขานี้เป็นทางเลียบแม่น้ำ Tama มีความยาวประมาณ 1.5 กิโลเมตร จนกว่าจะถึงน้ำตก Mikaeri ซึ่งจะเป็นจุดหมายของที่นี่
เราเริ่มออกเดินมาได้ไม่เกิน 10 นาทีก็จะต้องข้ามสะพานแขวนนี้ค่ะ Kami no Iwahashi สะพานแขวนที่เก่าแก่ที่สุดในจังหวัดอากิตะ สร้างมาตั้งแต่ปี 1926 อีก 5 ปีก็จะครบ 100 ปีแล้ว แต่เราไม่รู้สึกกลัวเลย เคยมีคนญี่ปุ่นเคยบอกไว้ว่าให้มั่นใจเหอะว่าสิ่งก่อสร้างในญี่ปุ่นปลอดภัย เพราะทำมาเพื่อรองรับภัยพิบัติต่างๆ ได้ยินแบบนั้น ความกลัวหายไป แล้วพบว่าเวลาไปเที่ยวเราสามารถสนุกกับสถานที่ต่างๆได้มากขึ้น
หลังจากข้ามสะพานมาแล้วเดินต่อมาอีกนิดนึงจะพบศาลเจ้า Dakigaeri เป็นศาลเจ้าเก่าแก่ตั้งแต่ปี 1673 ผู้คนก็จะมากราบไหว้ขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ให้กำเนิดแหล่งน้ำ หลังจากศาลเจ้านี้ ทางเดินต่อไปก็จะเป็นในส่วนของหุบเขา
ถึงเราจะบอกว่าเป็นการเดินป่าแต่จริงๆแล้วทางเดินที่เค้าทำให้ไว้เนี่ย ทำให้เดินง่ายมาก ปลอดภัย และได้ใกล้ชิดกับธรรมชาติมากๆด้วย ระหว่างทางก็ดูใบไม้เปลี่ยนสีที่เรียกได้ว่าอยู่ในช่วงพีคเลย สีส้มๆแดงๆ ตัดกับสีฟ้าของน้ำในแม่น้ำ Tama ที่จัดว่าเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ดึงดูดนักท่องเที่ยว
ที่หุบเขานี้นอกจากจะเป็นจุดชมใบไม้เปลี่ยนสีที่เป็นที่นิยมในช่วงต้นเดือนตุลาคมจนถึงกลางเดือนพฤศจิกายนแล้ว ในฤดูอื่นๆเราก็จะได้เห็นป่าสีเขียวตัดกันกับสีฟ้าของแม่น้ำด้านล่าง ในช่วงฤดูร้อน ที่นี่ยังมีกิจกรรมการล่องแพด้วย
เราใช้เวลาเดินประมาณ 30 นาทีก็มาถึงจุดหมาย คือน้ำตก Mikaeri น้ำตกที่มีความสูง 30 เมตร ตั้งอยู่บนเขา อยู่ในหุบเขาของหุบเขาอีกทีนึง ถ้ายืนบนสะพานนี้แล้วมองน้ำตกก็ว่าสวยงามแล้ว หันหลังกลับไปมองก็จะเจอกับใบไม้เปลี่ยนสีที่สีตัดกันกับสีฟ้าด้านล่าง สมกับชื่อของน้ำตกที่แปลว่าหันหลังกลับไปมอง เรายืนดูน้ำตกกันพักนึง พอดีมันมีช่วงที่ฝนหยุดตกด้วยเลยได้รูปดีๆมา พอขากลับ อากาศดีขึ้นซะงั้น ฝนหายไป ถือว่ายังมีความโชคดีอยู่
มาต่อกันที่สถานที่เที่ยวที่สองของวันนี้ค่ะ ย่านเมืองเก่า Kakunodate
เรามาที่นี่ก็นึกถึงเมือง Kawagoe ที่จังหวัดไซตามะ และเมือง Narai จังหวัดนากาโน่ (ในญี่ปุ่นยังมีเมืองเก่าทำนองนี้อีกหลายเมืองมาก) เป็นเพราะเมืองเหล่านี้เคยรุ่งเรืองอย่างมากในสมัยเอโดะ (1603-1868) เป็นย่านการค้าที่มีผู้คนพลุกพล่าน แต่ที่ Kakunodate นี้เป็นบ้านของซามูไร ณ ปัจจุบันมีบ้านซามูไรที่เปลี่ยนมาเป็นพิพิธภัณฑ์ให้ผู้คนได้เข้าชม แต่ในส่วนของการเข้าชมนั้น เราตัดสินใจกันว่าจะเข้าชมในวันถัดไปค่ะ เพราะเราจะมาที่นี่กันอีกเพื่อมาใส่กิโมโนถ่ายรูป แอบหวังว่าอากาศจะดีกว่าวันนี้
ถนนเมืองเก่า Kakunodate นี้ยังได้รับความนิยมอย่างมากในช่วงดอกซากุระบานค่ะ คือในช่วงปลายเดือนเมษาถึงต้นเดือนพฤษภา ที่นี่จะมีซากุระพันธุ์ก้านยาวๆที่ห้อยๆมาเกือบถึงพื้น ชื่อว่า Shidarezakura จะถูกปลูกไว้ริมทางเดิน ว่ากันว่าสวยเหมือนน้ำตกสีชมพู
ไปเที่ยวมาตั้งสองที่แล้ว เดินก็เยอะแล้ว ได้เวลาอาหารแล้วค่ะ เราก็หาของกินกันที่เมืองเก่านี้ ของขึ้นชื่อที่นี่อีกอย่างคืออุด้ง Inaniwa ต้นกำเนิดที่เมือง Inaniwa เป็นอุด้งเส้นแบนๆ แต่มีความหนุ่บเวลาเคี้ยว มันเป็น texture ที่ดีมากเลย ซุปก็อร่อยดี ชามโตแค่ไหนก็เอาอยู่
พออิ่มแล้วก็เดินเล่นกันต่อ เราได้พบกับน้องฟุคุมารุด้วย น้องหมาพันธุ์อากิตะที่อยู่ที่นี่ มีคนอยากทักทายน้องเยอะเลย
วันนี้อากาศดีสลับกับฝนเทเป็นช่วงๆ มีช่วงที่รู้สึกหนาวมาก ประกอบกับเมื่อเช้าใช้แรงไปเยอะ เราเลยไปนั่งเล่นที่คาเฟในย่านนี้ค่ะ ตกแต่งไว้อย่างดี ดูดี คลาสสิค กาแฟหอม เค้กอร่อย
อย่างที่บอกว่าเราอยากจะใส่กิโมโนถ่ายรูปกันด้วย เราก็เดินหาร้านเช่ากิโมโน ซึ่งตามเมืองเก่านี่หาได้ไม่ยากค่ะ หาใน google ก็เจอ ทำการจองเวลาเรียบร้อย
ก่อนกลับเราก็ขอเข้าชมพิพิธภัณฑ์ Kabazaiku หรืองานของทำมือจากเปลือกต้นซากุระ ด้านในก็มีจัดแสดงสินค้าและมีคนมานั่งทำให้ดู งานแต่ละชิ้นแบบว่าปราณีตมากๆ สินค้าที่ออกมาจึงแพงมากๆ เราได้กลิ่นเปลือกไม้ซากุระหอมๆด้วย ขนาดใส่หน้ากากอนามัยตลอดนะ
ช่วงเย็นเราขับรถขึ้นเหนือค่ะ แต่ยังอยู่ในเมืองเซนโบคุอยู่ คืนนี้เราจะไปพักกันที่ Tamagawa onsen ออนเซ็นที่มีชื่อเสียงมากๆอีกที่นึงของจังหวัดอากิตะ เรามาถึงตอนค่ำแล้ว ครั้งแรกที่เห็นที่ ทำไมตึกดูคุ้นๆ ระหว่างตึกมีทางเชื่อม ทางเดินทุกที่มีราวจับ นึกออกแล้วว่าที่นี่เหมือนโรงพยาบาลนั่นเอง
ใช่ค่ะ ที่นี่เป็นออนเซ็นบำบัด ออนเซ็นมีความเป็นกรดสูงโดยค่า ph อยู่ที่ 1.12 เป็นกรดสูงที่สุดในบรรดาออนเซ็นของญี่ปุ่น มีผลกับความดันให้เลือดไหลเวียนดี แก้ปัญหาผิวต่างๆ และน้ำออนเซ็นที่นี่ดื่มได้ค่ะ เมื่อดื่มเข้าไปแล้วจะปรับสภาพกระเพาะให้ดีขึ้น แต่เราไม่ได้ดื่ม
นอกจากออนเซ็นน้ำร้อน ที่นี่ยังมีออนเซ็นแผ่นหินค่ะ คือนอนบนแผ่นหินที่ได้ถูกปล่อยความร้อน
ใช้เวลาสำหรับออนเซ็นแผ่นหินนี้ประมาณ 45 นาที ในส่วนของห้องน้ำรวมมีออนเซ็นบ่อเล็กๆประมาณ 6 บ่อ แต่ละบ่อมีความร้อนและการปรับความเป็นกรดให้อ่อนลงไม่เท่ากัน เราได้ลงบ่อที่มีความเป็นกรดสูงมากด้วย รู้สึกคันยิบๆตามผิวในช่วงแรกๆที่ลงแช่ พอผ่านไประยะนึงก็รู้สึกดี แต่ผิวลื่นขึ้นมากจริงๆ
ยังมีกล่องไม้สำหรับอบไอน้ำจากแหล่งกำเนิดออนเซ็นอีกด้วย มีซาวน่าให้อีก เรียกว่าหนาวๆจากข้างนอกมา เข้ามาที่นี่เหมือนเจอแหล่งพลังงานความร้อนขนาดใหญ่เข้าไป
https://www.tamagawa-onsen.jp/
สำหรับคนที่มาเพื่อต้องการบำบัดอย่างจริงจังและต้องการคำแนะนำจากเจ้าหน้าที่ก็สามารถทำได้ (ภาษาญี่ปุ่น) และทุกๆวันที่นี่จะมีบรรยายวิธีการบำบัด อารมณ์เราเลยรู้สึกเหมือนที่นี่ไม่ใช่สถานที่ท่องเที่ยวจริงๆสักเท่าไร แต่ถ้าคนที่ชอบการแช่ออนเซ็นอยู่แล้วแบบเรา แบบไหนเราก็ชอบหมด ยิ่งออนเซ็นธรรมชาติโดยตรงจากแหล่งแบบนี้ หาโอกาสมายาก
และแล้วก็ถึงเวลามื้อค่ำแล้ว อาหารที่นี่ไม่หวือหวาเหมือนตามโรงแรมทั้วไป แต่เป็นอาหารที่ดีต่อร่างกาย และที่นี่เน้นเรื่องความปลอดภัย ก่อนหยิบจับอะไรก็ต้องใส่ถุงมือ ต้องใส่หน้ากากอนามัยเวลาลุกออกจากโต้ะอาหาร และแน่นอนว่าเราก็ได้ทานนาเบะคิริทันโปะอีก ถ้าใครมาเที่ยวที่นี่ช่วงฤดูหนาวเนี่ย รับรองว่าทุกโรงแรมมีเมนูนี้แน่นอน
จบการเดินทางในส่วนของวันแรกไปแล้ว ก่อนนอนเราเช็คสภาพอากาศ บอกว่าฝนจะตกทั้งคืน พอเปิดหน้าต่างดู อ้าว ข้างนอกหนาวจนฝนตกลงมาเป็นหิมะ เป็นหิมะแรกที่เราเห็นของฤดูหนาวนี้เลย ตื่นเต้นดีใจพรุ่งนี้เดี๋ยวเราจะพาไปเดินเล่นบนหิมะนุ่มๆกันค่ะ
เดี๋ยวรออ่านวันถัดไปด้านล่างนะคะ ><
SR - Sponsored Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ SR โดยที่เจ้าของกระทู้