สวัสดีชาวพันทิปทุกท่านนะคะ กระทู้นี้จะมีเนื้อหารีวิวการท่องเที่ยวจังหวัดอากิตะ ประเทศญี่ปุ่นนะคะ ช่วงปี 2563 เราเขื่อว่ามีหลายคนที่ต้องพับเก็บแพลนมาเที่ยวญี่ปุ่นกันอยู่ไม่น้อย ไว้วันที่สถานการณ์ดีขึ้นกลับมาเที่ยวญี่ปุ่นได้แล้ว ขอแนะนำเลยว่าจังหวัดอากิตะ เป็นอีกหนึ่งที่ที่ไม่ควรพลาดค่ะ
ก่อนอื่นเลยเราต้องบอกก่อนว่า เราเป็นอีกหนึ่งคนที่ชอบเที่ยวญี่ปุ่นมาก วัฒนธรรม อาหาร ออนเซ็น ชอบไปหมด แต่แถบโทโฮคุเนี่ย เคยมาไกลสุดแค่ยามากาตะเอง อาโอโมริกับอากิตะนั้นยังอยู่แค่ในแพลนเท่านั้น เมื่อช่วงเดือนตุลาคมที่ผ่านมา สถานการณ์ corona ก็เบาลงนิดนึง ทริปท่องเที่ยวจังหวัดอากิตะของเราจึงถูกจัดขึ้นค่ะ

เราไปเที่ยวมาทั้งหมด 2 ครั้ง ครั้งละ 3 วัน 2 คืน ครั้งแรกช่วงกลางเดือนตุลาคม กระทู้นี้จะรีวิวครั้งแรกก่อนนะคะ กระทู้นี้เป็นกระทู้แรกของเราในพันทิปเลยค่ะ อาจเป็นกระทู้ที่มีรูปเยอะหน่อย เพราะอยากให้ซึมซับบรรยากาศกันเยอะๆค่ะ รูปถ่ายจะมีทั้งแบบใช่ iPhone และ กล้องโปรสลับกันไป แสงอาจจะไม่ใช่โทนเดียวกันทั้งหมด ต้องขออภัยด้วยค่ะ ถ้าหากมีข้อสงสัย หรือผิดพลาดประการใด ติชมได้เลยค่า
กระทู้นี้เราจะรีวิวส่วนของทริปแรกกันก่อนนะคะ เราไปช่วงกลางเดือนตุลาคม ใบไม้กำลังเพิ่งเริ่มเปลี่ยนสี
เวลา 3 วันสำหรับทริปนี้ เราเริ่มโดยการเดินทางจากโตเกียวด้วยสายการบิน ANA มาลงที่สนามบิน Odate Noshiro สนามบินนี้ใช้บินกันในประเทศเท่านั้นค่ะ

เราเดินทางมาถึงกันตอนช่วงสายๆค่ะ ทริปนี้อากาศดี ฟ้าใสมาก แพลนของเราคือเช่ารถเที่ยวค่ะ ในขณะที่เพื่อนร่วมทริปไปรับรถเช่า เราก็ไปเล่นกับน้องหมาอากิตะรอค่ะ น้องหมาพันธุ์อากิตะชื่อเดียวกับจังหวัดนะคะ มีถิ่นกำเนิดที่นี่ค่ะ เราจึงสามารถเห็นรูปน้องๆอยู่ตามสถานที่ต่างๆ เราก็ถือโอกาสไปทักทายน้องที่มารอต้อนรับนักท่องเที่ยวที่สนามบินแห่งนี้อยู่เป็นประจำ

การเช่ารถเป็นตัวเลือกที่ลงตัวสำหรับทริปนี้เพราะสถานที่ท่องเที่ยวส่วนใหญ่อยู่ห่างจากสถานีรถไฟ และการให้บริการของรถบัสค่อนข้างน้อย เมื่อเรารับรถแล้วใช้เวลาขับรถประมาณชั่วโมงครึ่งจากสนามบินเพื่อมาถึงจุดหมายแรก Juniko
Juniko เป็นทะเลสาบทั้งหมด 12 บ่อ เชื่อมกันอยู่ตามแนวเทือกเขาชิราคามิ ซึ่งเป็นเทือกเขาที่ตั้งอยู่ระหว่างจังหวัดอากิตะและอาโอโมริ หนึ่งในเทือกเขาหนึ่งที่เป็นแกนกลางของประเทศญี่ปุ่น และในปี 1993 ได้ถูกบันทึกให้เป็นมรดกโลกโดยองค์กร UNESCO
ก่อนที่เราจะออกเดินเที่ยวนั้น ท้องก็ร้องเสียก่อน มื้อแรกที่อากิตะของเราเลยเป็นชิราคามิโซบะ ซึ่งผักทอดที่อยู่บนโซบะคือผักท้องถิ่นของที่นี่ อร่อยที่ซุป อร่อยที่เส้นและอร่อยที่ผักทอด ตอนหิวอะไรๆก็อร่อย 😄

หลังจากอิ่มท้องเราเริ่มออกเดินเพื่อชมทะเลสาบทั้ง 12 พร้อมๆกับใบไม้ที่เพิ่งเริ่มเปลี่ยนสี
บ่อน้ำทั้ง 12 บ่อนี้ สีของน้ำในบ่อจะมีสีที่แตกต่างกันออกไป ที่น่าสนใจคือบ่อที่มีชื่อว่า Aoike ซึ่งน้ำในบ่อนี้มีสีน้ำเงินเข้มสวยแปลกตาไปอีกแบบ

เหมือนว่าเราจะมาเร็วกันไปนิดนึงนะคะ ใบไม้มี่นี่ยังเขียวปึ้ดอยู่เลย แต่ในส่วนของสีน้ำนั้น ค่อนข้างเข้มไปทางน้ำเงินจริงๆด้วย
พอเดินมาจนถึงบ่อ Aoike แล้ว เราก็เก็บรูปแล้วเดินทางสู้จุดหมายต่อไป
จากเทือกเขาชิราคามิเราลงใต้มาใช้เวลานั่งรถประมาณ 2 ชั่วโมงเพื่อมาที่เมือง Happo
เรามากันที่ศาลเจ้า Shirataki ศาลเจ้าชินโตเก่าแก่แห่งหนึ่งในเมือง Happo เป็นการมาสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ได้อารมณ์มากๆ เสมือนขอพรในศาลเจ้าลับ เพราะเงียบสงบมาก บรรยากาศโดยรอบดูขลังสุดๆ

นอกจากศาลเจ้า ที่นี่ยังมีน้ำตก Shirataki ความสูง 17 เมตร อยู่ด้านหลังอีกด้วย ในฤดูร้อนของทุกปี จะมีเทศกาล Mikoshi no Takiabi การแห่ศาลเจ้ามายังน้ำตกนี้โดยผู้ชายใส่ชุดสีขาวรวมๆแล้วประมาณ 40 คน

ใบไม้เริ่มเป็นสีเขียวอ่อนแล้ว
ทริปวันแรกก็ดำเนินมาจนช่วงบ่าย หน้าหนาวแสงก็หมดเร็วด้วย สถานที่ที่เราตั้งใจจะไปเยือนเป็นที่สุดท้ายของวันแรกคือ Kaneyu
ร้านอาหารระดับ Hight class ตั้งขึ้นตั้งแต่ปี 1937 ซึ่งปัจจุบัน เปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ให้นักท่องเที่ยวเข้าไปชมได้

นอกจากห้องอาหารที่ตกแต่งไว้อย่างสวยงามแล้ว ด้านนอกห้องอาหารยังมีสวนแบบญี่ปุ่นให้ชมด้วยค่ะ
ก่อนเข้าที่พักในคืนแรก ระหว่างทางเราใช้ถนนเลียบทะเลของเมือง Noshiro เห็นกังหันลมสูงใหญ่ อดตื่นตาตื่นใจไม่ได้ เลยขอแวะลงไปถ่ายรูปสักหน่อย พอดีกับช่วงพระอาทิตย์ตกดิน เลยได้ภาพสวยๆเก็บไว้

ชายฝั่งของจังหวัดอากิตะอยู่ด้านตะวันตกของญี่ปุ่น ฝั่งตรงข้ามที่ใครๆอาจคิดว่าเป็นเกาหลีเหนือ แต่ที่จริงแล้วคือรัสเซีย พอเปิดแผนที่ก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย ที่จริงแล้วญี่ปุ่นกับรัสเซียอยู่ไม่ไกลกันเลย
จบการเดินทางวันแรก เรามุ่งหน้าไปที่โรงแรม Hotel Kazuno
เป็นโรงแรมเก่าแก่ในเมือง Kazuno ที่มีชื่อเสียงด้านออนเซ็นกว่า 800 ปี มีบ่อน้ำร้อนอยู่ด้านนอก สามารถแช่ตัวพร้อมๆกับรับลมหนาวไปด้วย
เรามาถึงโรงแรมเวลาสองทุ่ม ก็ได้เวลาอาหารเย็นพอดี เป็นช่วงเวลาที่เรารอคอยมาทั้งวันเลยก็ว่าได้ค่ะ 😅
การมาเที่ยวญี่ปุ่นเนี่ย อีกอย่างนึงที่มัดใจเราไว้ก็คืออาหารนี่แหละค่ะ ยิ่งถ้าเป็นอาหารเย็นของโรงแรมแล้วเนี่ย ฟินมาไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบแล้ว
แต่นี่ก็เป็นอีกมื้อที่ลืมไปลงแน่ๆ แต่ละเมนูนี่แบบ เห็นรูปเก่าๆยังน้ำลายไหลเลย
ดูภาพรวมก่อน
อันนี้เสิร์ฟมาแรกๆเลย เป็นสาหร่ายพันเส้นโซบะค่ะ เบาๆเฉยๆ

อันนี้ก็ตามมาแบบเบาๆอีกเช่นกัน ตอนแรกก็ยังไม่ว๊าว เป็นสลัดหมูลวก เน้นผัก รองท้องไปก่อน

จทนนี้เริ่มตาวาว มีเป่าฮื้อด้วย มีปูอีก แต่น้อยจุง

เนื้อย่างมาแล้วววว นุ่มอร่อยใช้ได้เลย

ปลาดิบก็มาค่ะ เมนูที่นี่เอาใจนักท่องเที่ยวมากๆ

ขอแนะนำตัวให้กับอาหารพื้นเมืองของจังหวัดอากิตะค่ะ คิริทันโปะ หรือข้าวที่อัดเป็นแท่งๆ นำมาตัดแล้วเอามาใส่หม้อไฟ
กินอิ่มสบายมากเลย
หลังจากนี้เราก็ขอตัวไปแช่ออนเซ็นก่อน เสียดายไม่มีรูปให้ดู
นี่เป็นรูปห้องพักรูปเดียวที่เรามีค่ะ ห้องเป็นห้องแบบญี่ปุ่น มีกลิ่นเสื่อทาทามิหอมๆ ตอนที่เราไปกินข้าว เค้าก็มาปูที่นอนให้เรียบร้อย แต่เราไม่ชินการนอนกลางห้อง เลยลากที่นอนมานอนริมๆเอา

เที่ยววันแรกของเราก็จบลงเพียงเท่านี้ค่ะ ขอนอนเอาแรงไปเที่ยวต่อพรุ่งนี้
ยังไม่เห็นใบไม้เปลี่ยนสีใช่มั้ย? เดี๋ยววันถัดไปพาขึ้นเขาไปดูให้เต็มตาเลยค่ะ
---
หลังจากพักผ่อนเอาแรงตื่นมาเราก็เจอกับวิวสวยๆจากหน้าต่างห้องนอน ใบไม้เริ่มเปลี่ยนสีเป็นสีส้ม มองแล้วสดใสดีจัง เราโชคดีมาก วันนี้พยากรณ์อากาศบอกว่าอากาศจะแจ่มใสทั้งวัน
เราเริ่มต้นวันด้วยการไปแช่ออนเซ็นอีกรอบ ไปเก็บวิวตอนเช้า เพราะเมื่อคืนเราแช่ช่วงค่ำเลยมองไม่เห็นใบไม้เปลี่ยนสีเท่าไร ทางเข้าออนเซ็นของโรงแรมมีตู้กดนมแบบขวดตั้งอยู่ นึกถึงตอนมาเที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรกๆ เห็นแล้วจะต้องกดให้ได้ ที่จริงแช่ตัวเสร็จก็เป็นเวลาอาหารเช้า กลัวว่าจะทำให้ทานได้น้อย แต่ก็ไม่ได้ดื่มนมหลังแช่ออนเซ็นมานานมากแล้ว เลยดื่มให้หายคิดถึง หอม มัน อร่อย ตัดสินใจไม่ผิดจริงๆ
และนี่ก็คือหน้าตาของอาหารเช้าในวันนี้ อาหารเช้าแบบญี่ปุ่นจะเน้นความหลากหลายเพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่เหมาะสม เห็นมีอย่างละนิดอย่างละหน่อยแบบนี้ แต่อิ่มไม่ใช่เล่น

หลังอาหารเช้า เราเก็บข้าวของเช็คเอาท์ เพราะคืนนี้เราจะเปลี่ยนที่นอนไปนอนแถว Yuze ออนเซ็น ข้อดีของการเช่ารถเที่ยวอีกอย่างนึงก็คือ จะเปลี่ยนโรงแรมบ่อยแค่ไหนก็ได้ไม่ต้องลำบากลากกระเป๋าไปมา
ระหว่างรอเช็คเอาท์เรามีเวลานั่งจิบกาแฟพร้อมกับนั่งชมสวนของโรงแรม ใบไม้ที่นี่เพิ่งจะเริ่มเปลี่ยนสีเป็นสีส้มๆสลับสีเขียวอ่อนดูน่ารักดีไปอีกแบบ
ที่แรกของเราในวันนี้เป็นสถานท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์

ย้อนเวลาไปสมัย Jomon หรือเมื่อสี่พันปีที่แล้ว ที่นี่มีชื่อว่า Oyu stone circles เป็นหินที่ถูกนำมาเรียงเป็นวงกลมใหญ่ๆสองวง โดยหินเหล่านี้ได้ถูกพิสูจน์แล้วว่าเป็นหินแบบเดียวกับหินจากแม่น้ำ Akuya ซึ่งห่างออกไปถึง 5 กิโลเมตร เทียบกับอุปกรณ์อำนวยความสะดวกเมื่อสี่พันปีที่แล้ว การขนหินทั้งหมดมาที่นี่ ต้องใช้ความพยายามอย่างมาก นับเป็นสถานที่ที่น่าพิศวงคล้ายกับ Stonehenge ของประเทศอังกฤษ

Nonakado circle

Manza circle
นอกจากหินกว่า 160 ก้อนที่ถูกนำมาเรียงเป็นวงกลมนี้แล้ว ยังมีหินแท่ง ที่ตั้งเรียงแถว มองแล้วชวนสงสัยว่าคนในสมัยนั้นทำแบบนี้เพื่อสื่ออะไรกันแน่
ไปกันต่อที่สถานีที่สองของวันนี้ จุดชมวิว Hakkatoge เพื่อชมวิวทะเลสาบ Towada
ทะเลสาบ Towada นี้ตั้งอยู่บนรอยต่อของจังหวัดอากิตะและอาโอโมริ ที่นี่เป็นสถานีเที่ยวที่เป็นที่นิยมมากในช่วงใบไม้เปลี่ยนสี ทะเลสาบนี้มีความลึกถึง 327 เมตร ลึกเป็นอันดับสามของญี่ปุ่นรองจากทะเลสาบ Shikotsu ที่ฮอกไกโดและ Tazawako ทางใต้ของจังหวัดอากิตะ ตอนเรามาถึงท้องฟ้ามีเมฆมากหน่อย แต่ก็ยังมองเห็นวิวระยะไกล เสียดายที่แถบนี้เป็นพื้นที่ไม่สูงมาก ใบไม้เลยยังไม่เปลี่ยนสีเท่าไร นักท่องเที่ยวที่มาที่นี่สามารถล่องเรือชมใบไม้เปลี่ยนสีในฤดูใบไม้ร่วง หรือชมซากุระในฤดูใบไม้ผลิ
เดี๋ยวอ่านต่อด้านล่างนะคะ
[SR] ดูใบไม้เปลี่ยนสีที่จังหวัดอากิตะ ประเทศญี่ปุ่น ตุลาคม 2563
ก่อนอื่นเลยเราต้องบอกก่อนว่า เราเป็นอีกหนึ่งคนที่ชอบเที่ยวญี่ปุ่นมาก วัฒนธรรม อาหาร ออนเซ็น ชอบไปหมด แต่แถบโทโฮคุเนี่ย เคยมาไกลสุดแค่ยามากาตะเอง อาโอโมริกับอากิตะนั้นยังอยู่แค่ในแพลนเท่านั้น เมื่อช่วงเดือนตุลาคมที่ผ่านมา สถานการณ์ corona ก็เบาลงนิดนึง ทริปท่องเที่ยวจังหวัดอากิตะของเราจึงถูกจัดขึ้นค่ะ
เราไปเที่ยวมาทั้งหมด 2 ครั้ง ครั้งละ 3 วัน 2 คืน ครั้งแรกช่วงกลางเดือนตุลาคม กระทู้นี้จะรีวิวครั้งแรกก่อนนะคะ กระทู้นี้เป็นกระทู้แรกของเราในพันทิปเลยค่ะ อาจเป็นกระทู้ที่มีรูปเยอะหน่อย เพราะอยากให้ซึมซับบรรยากาศกันเยอะๆค่ะ รูปถ่ายจะมีทั้งแบบใช่ iPhone และ กล้องโปรสลับกันไป แสงอาจจะไม่ใช่โทนเดียวกันทั้งหมด ต้องขออภัยด้วยค่ะ ถ้าหากมีข้อสงสัย หรือผิดพลาดประการใด ติชมได้เลยค่า
กระทู้นี้เราจะรีวิวส่วนของทริปแรกกันก่อนนะคะ เราไปช่วงกลางเดือนตุลาคม ใบไม้กำลังเพิ่งเริ่มเปลี่ยนสี
เวลา 3 วันสำหรับทริปนี้ เราเริ่มโดยการเดินทางจากโตเกียวด้วยสายการบิน ANA มาลงที่สนามบิน Odate Noshiro สนามบินนี้ใช้บินกันในประเทศเท่านั้นค่ะ
เราเดินทางมาถึงกันตอนช่วงสายๆค่ะ ทริปนี้อากาศดี ฟ้าใสมาก แพลนของเราคือเช่ารถเที่ยวค่ะ ในขณะที่เพื่อนร่วมทริปไปรับรถเช่า เราก็ไปเล่นกับน้องหมาอากิตะรอค่ะ น้องหมาพันธุ์อากิตะชื่อเดียวกับจังหวัดนะคะ มีถิ่นกำเนิดที่นี่ค่ะ เราจึงสามารถเห็นรูปน้องๆอยู่ตามสถานที่ต่างๆ เราก็ถือโอกาสไปทักทายน้องที่มารอต้อนรับนักท่องเที่ยวที่สนามบินแห่งนี้อยู่เป็นประจำ
การเช่ารถเป็นตัวเลือกที่ลงตัวสำหรับทริปนี้เพราะสถานที่ท่องเที่ยวส่วนใหญ่อยู่ห่างจากสถานีรถไฟ และการให้บริการของรถบัสค่อนข้างน้อย เมื่อเรารับรถแล้วใช้เวลาขับรถประมาณชั่วโมงครึ่งจากสนามบินเพื่อมาถึงจุดหมายแรก Juniko Juniko เป็นทะเลสาบทั้งหมด 12 บ่อ เชื่อมกันอยู่ตามแนวเทือกเขาชิราคามิ ซึ่งเป็นเทือกเขาที่ตั้งอยู่ระหว่างจังหวัดอากิตะและอาโอโมริ หนึ่งในเทือกเขาหนึ่งที่เป็นแกนกลางของประเทศญี่ปุ่น และในปี 1993 ได้ถูกบันทึกให้เป็นมรดกโลกโดยองค์กร UNESCO
ก่อนที่เราจะออกเดินเที่ยวนั้น ท้องก็ร้องเสียก่อน มื้อแรกที่อากิตะของเราเลยเป็นชิราคามิโซบะ ซึ่งผักทอดที่อยู่บนโซบะคือผักท้องถิ่นของที่นี่ อร่อยที่ซุป อร่อยที่เส้นและอร่อยที่ผักทอด ตอนหิวอะไรๆก็อร่อย 😄
หลังจากอิ่มท้องเราเริ่มออกเดินเพื่อชมทะเลสาบทั้ง 12 พร้อมๆกับใบไม้ที่เพิ่งเริ่มเปลี่ยนสี
บ่อน้ำทั้ง 12 บ่อนี้ สีของน้ำในบ่อจะมีสีที่แตกต่างกันออกไป ที่น่าสนใจคือบ่อที่มีชื่อว่า Aoike ซึ่งน้ำในบ่อนี้มีสีน้ำเงินเข้มสวยแปลกตาไปอีกแบบ
เหมือนว่าเราจะมาเร็วกันไปนิดนึงนะคะ ใบไม้มี่นี่ยังเขียวปึ้ดอยู่เลย แต่ในส่วนของสีน้ำนั้น ค่อนข้างเข้มไปทางน้ำเงินจริงๆด้วย
พอเดินมาจนถึงบ่อ Aoike แล้ว เราก็เก็บรูปแล้วเดินทางสู้จุดหมายต่อไป
จากเทือกเขาชิราคามิเราลงใต้มาใช้เวลานั่งรถประมาณ 2 ชั่วโมงเพื่อมาที่เมือง Happo เรามากันที่ศาลเจ้า Shirataki ศาลเจ้าชินโตเก่าแก่แห่งหนึ่งในเมือง Happo เป็นการมาสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ได้อารมณ์มากๆ เสมือนขอพรในศาลเจ้าลับ เพราะเงียบสงบมาก บรรยากาศโดยรอบดูขลังสุดๆ
นอกจากศาลเจ้า ที่นี่ยังมีน้ำตก Shirataki ความสูง 17 เมตร อยู่ด้านหลังอีกด้วย ในฤดูร้อนของทุกปี จะมีเทศกาล Mikoshi no Takiabi การแห่ศาลเจ้ามายังน้ำตกนี้โดยผู้ชายใส่ชุดสีขาวรวมๆแล้วประมาณ 40 คน
ใบไม้เริ่มเป็นสีเขียวอ่อนแล้ว
ทริปวันแรกก็ดำเนินมาจนช่วงบ่าย หน้าหนาวแสงก็หมดเร็วด้วย สถานที่ที่เราตั้งใจจะไปเยือนเป็นที่สุดท้ายของวันแรกคือ Kaneyu
ร้านอาหารระดับ Hight class ตั้งขึ้นตั้งแต่ปี 1937 ซึ่งปัจจุบัน เปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ให้นักท่องเที่ยวเข้าไปชมได้
นอกจากห้องอาหารที่ตกแต่งไว้อย่างสวยงามแล้ว ด้านนอกห้องอาหารยังมีสวนแบบญี่ปุ่นให้ชมด้วยค่ะ
ก่อนเข้าที่พักในคืนแรก ระหว่างทางเราใช้ถนนเลียบทะเลของเมือง Noshiro เห็นกังหันลมสูงใหญ่ อดตื่นตาตื่นใจไม่ได้ เลยขอแวะลงไปถ่ายรูปสักหน่อย พอดีกับช่วงพระอาทิตย์ตกดิน เลยได้ภาพสวยๆเก็บไว้
ชายฝั่งของจังหวัดอากิตะอยู่ด้านตะวันตกของญี่ปุ่น ฝั่งตรงข้ามที่ใครๆอาจคิดว่าเป็นเกาหลีเหนือ แต่ที่จริงแล้วคือรัสเซีย พอเปิดแผนที่ก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย ที่จริงแล้วญี่ปุ่นกับรัสเซียอยู่ไม่ไกลกันเลย
จบการเดินทางวันแรก เรามุ่งหน้าไปที่โรงแรม Hotel Kazuno
เป็นโรงแรมเก่าแก่ในเมือง Kazuno ที่มีชื่อเสียงด้านออนเซ็นกว่า 800 ปี มีบ่อน้ำร้อนอยู่ด้านนอก สามารถแช่ตัวพร้อมๆกับรับลมหนาวไปด้วย
เรามาถึงโรงแรมเวลาสองทุ่ม ก็ได้เวลาอาหารเย็นพอดี เป็นช่วงเวลาที่เรารอคอยมาทั้งวันเลยก็ว่าได้ค่ะ 😅
การมาเที่ยวญี่ปุ่นเนี่ย อีกอย่างนึงที่มัดใจเราไว้ก็คืออาหารนี่แหละค่ะ ยิ่งถ้าเป็นอาหารเย็นของโรงแรมแล้วเนี่ย ฟินมาไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบแล้ว
แต่นี่ก็เป็นอีกมื้อที่ลืมไปลงแน่ๆ แต่ละเมนูนี่แบบ เห็นรูปเก่าๆยังน้ำลายไหลเลย
ดูภาพรวมก่อน
อันนี้เสิร์ฟมาแรกๆเลย เป็นสาหร่ายพันเส้นโซบะค่ะ เบาๆเฉยๆ
อันนี้ก็ตามมาแบบเบาๆอีกเช่นกัน ตอนแรกก็ยังไม่ว๊าว เป็นสลัดหมูลวก เน้นผัก รองท้องไปก่อน
จทนนี้เริ่มตาวาว มีเป่าฮื้อด้วย มีปูอีก แต่น้อยจุง
เนื้อย่างมาแล้วววว นุ่มอร่อยใช้ได้เลย
ปลาดิบก็มาค่ะ เมนูที่นี่เอาใจนักท่องเที่ยวมากๆ
ขอแนะนำตัวให้กับอาหารพื้นเมืองของจังหวัดอากิตะค่ะ คิริทันโปะ หรือข้าวที่อัดเป็นแท่งๆ นำมาตัดแล้วเอามาใส่หม้อไฟ
กินอิ่มสบายมากเลย
หลังจากนี้เราก็ขอตัวไปแช่ออนเซ็นก่อน เสียดายไม่มีรูปให้ดู
นี่เป็นรูปห้องพักรูปเดียวที่เรามีค่ะ ห้องเป็นห้องแบบญี่ปุ่น มีกลิ่นเสื่อทาทามิหอมๆ ตอนที่เราไปกินข้าว เค้าก็มาปูที่นอนให้เรียบร้อย แต่เราไม่ชินการนอนกลางห้อง เลยลากที่นอนมานอนริมๆเอา
เที่ยววันแรกของเราก็จบลงเพียงเท่านี้ค่ะ ขอนอนเอาแรงไปเที่ยวต่อพรุ่งนี้
ยังไม่เห็นใบไม้เปลี่ยนสีใช่มั้ย? เดี๋ยววันถัดไปพาขึ้นเขาไปดูให้เต็มตาเลยค่ะ
---
หลังจากพักผ่อนเอาแรงตื่นมาเราก็เจอกับวิวสวยๆจากหน้าต่างห้องนอน ใบไม้เริ่มเปลี่ยนสีเป็นสีส้ม มองแล้วสดใสดีจัง เราโชคดีมาก วันนี้พยากรณ์อากาศบอกว่าอากาศจะแจ่มใสทั้งวัน
เราเริ่มต้นวันด้วยการไปแช่ออนเซ็นอีกรอบ ไปเก็บวิวตอนเช้า เพราะเมื่อคืนเราแช่ช่วงค่ำเลยมองไม่เห็นใบไม้เปลี่ยนสีเท่าไร ทางเข้าออนเซ็นของโรงแรมมีตู้กดนมแบบขวดตั้งอยู่ นึกถึงตอนมาเที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรกๆ เห็นแล้วจะต้องกดให้ได้ ที่จริงแช่ตัวเสร็จก็เป็นเวลาอาหารเช้า กลัวว่าจะทำให้ทานได้น้อย แต่ก็ไม่ได้ดื่มนมหลังแช่ออนเซ็นมานานมากแล้ว เลยดื่มให้หายคิดถึง หอม มัน อร่อย ตัดสินใจไม่ผิดจริงๆ
และนี่ก็คือหน้าตาของอาหารเช้าในวันนี้ อาหารเช้าแบบญี่ปุ่นจะเน้นความหลากหลายเพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่เหมาะสม เห็นมีอย่างละนิดอย่างละหน่อยแบบนี้ แต่อิ่มไม่ใช่เล่น
หลังอาหารเช้า เราเก็บข้าวของเช็คเอาท์ เพราะคืนนี้เราจะเปลี่ยนที่นอนไปนอนแถว Yuze ออนเซ็น ข้อดีของการเช่ารถเที่ยวอีกอย่างนึงก็คือ จะเปลี่ยนโรงแรมบ่อยแค่ไหนก็ได้ไม่ต้องลำบากลากกระเป๋าไปมา
ระหว่างรอเช็คเอาท์เรามีเวลานั่งจิบกาแฟพร้อมกับนั่งชมสวนของโรงแรม ใบไม้ที่นี่เพิ่งจะเริ่มเปลี่ยนสีเป็นสีส้มๆสลับสีเขียวอ่อนดูน่ารักดีไปอีกแบบ
ที่แรกของเราในวันนี้เป็นสถานท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์
ย้อนเวลาไปสมัย Jomon หรือเมื่อสี่พันปีที่แล้ว ที่นี่มีชื่อว่า Oyu stone circles เป็นหินที่ถูกนำมาเรียงเป็นวงกลมใหญ่ๆสองวง โดยหินเหล่านี้ได้ถูกพิสูจน์แล้วว่าเป็นหินแบบเดียวกับหินจากแม่น้ำ Akuya ซึ่งห่างออกไปถึง 5 กิโลเมตร เทียบกับอุปกรณ์อำนวยความสะดวกเมื่อสี่พันปีที่แล้ว การขนหินทั้งหมดมาที่นี่ ต้องใช้ความพยายามอย่างมาก นับเป็นสถานที่ที่น่าพิศวงคล้ายกับ Stonehenge ของประเทศอังกฤษ
Nonakado circle
Manza circle
นอกจากหินกว่า 160 ก้อนที่ถูกนำมาเรียงเป็นวงกลมนี้แล้ว ยังมีหินแท่ง ที่ตั้งเรียงแถว มองแล้วชวนสงสัยว่าคนในสมัยนั้นทำแบบนี้เพื่อสื่ออะไรกันแน่
ไปกันต่อที่สถานีที่สองของวันนี้ จุดชมวิว Hakkatoge เพื่อชมวิวทะเลสาบ Towada
ทะเลสาบ Towada นี้ตั้งอยู่บนรอยต่อของจังหวัดอากิตะและอาโอโมริ ที่นี่เป็นสถานีเที่ยวที่เป็นที่นิยมมากในช่วงใบไม้เปลี่ยนสี ทะเลสาบนี้มีความลึกถึง 327 เมตร ลึกเป็นอันดับสามของญี่ปุ่นรองจากทะเลสาบ Shikotsu ที่ฮอกไกโดและ Tazawako ทางใต้ของจังหวัดอากิตะ ตอนเรามาถึงท้องฟ้ามีเมฆมากหน่อย แต่ก็ยังมองเห็นวิวระยะไกล เสียดายที่แถบนี้เป็นพื้นที่ไม่สูงมาก ใบไม้เลยยังไม่เปลี่ยนสีเท่าไร นักท่องเที่ยวที่มาที่นี่สามารถล่องเรือชมใบไม้เปลี่ยนสีในฤดูใบไม้ร่วง หรือชมซากุระในฤดูใบไม้ผลิ
เดี๋ยวอ่านต่อด้านล่างนะคะ
SR - Sponsored Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ SR โดยที่เจ้าของกระทู้