JJNY : "ตีหม้อเคาะกระทะ"วัฒนธรรมประท้วง│เวียดนามเล็งเก็บภาษีน้ำตาลไทย│ท่าขี้เหล็กชุมนุมต่อ│สมคิดอัดตู่ไม่จริงใจแก้รธน.

"ตีหม้อเคาะกระทะ" วัฒนธรรมประท้วงเขย่า 'ผู้มีอำนาจ' โลก
https://voicetv.co.th/read/jdZqzF7NK
  

 
Cacerolazo หรือที่แปลว่า 'หม้อสตูว์' รูปแบบการประท้วงที่แพร่จากลาตินอเมริกาสู่ทั่วโลก ไม่เว้นแม้กระทั่งเมียนมาและไทย
 
ภาพของชาวเมียนมาตั้งแต่เด็กเล็กจนถึงคนแก่ ที่ใช้ช่องทางโซเชียลมีเดียนัดเคลื่อนไหว ส่งเสียงตีหม้อเคาะหม้อและสิ่งของต่างๆ ตลอดจนบีบแตรรถอย่างสนั่นหวั่นไหวไปทั่วนครย่างกุ้งยาวนานนับชั่วโมง เพื่อแสดงอารยะขัดขืนไม่ยอมรับการรัฐประหารยึดอำนาจจากพรรคเอ็นแอลดีเมื่อ 1 ก.พ. เป็นรูปแบบหนึ่งของการแสดงจุดยืนและแสดงออกของประชาชนที่ไม่พอใจในการกระทำของรัฐบาล 
 
"นครย่างกุ้งกำลังเคาะไล่ปีศาจร้าย ประชาชนใจกลางเมืองต่างพากันเคาะหม้อและบีบแตรรถยนต์ ต่อต้านรัฐประหาร" @AungNaingSoeAns หนึ่งในผู้ใช้งานทวิตเตอร์ชาวเมียนมาระบุ ขณะที่ผู้สื่อข่าวจาก AJ English ประจำเมียนมาระบุว่า "เสียงดังกระหึ่มเบื้องหลังคือเสียงของประชาชนทุกคนที่เคาะกลองหรือสิ่งของเพื่อส่งเสียงดัง แสดงการไม่ยอมรับการทำรัฐประหาร เริ่มตั้งแต่สองทุ่มมาจนถึงตอนนี้ ราวกับเป็นเสียงของคนทั้งเมือง"
 
'หม้อ-กระทะ' เป็นอุปกรณ์เครื่องใช้ในครัวเรือนที่มีกันอยู่ในแทบทุกบ้านทุกประเทศ ขณะที่การ 'ตีหม้อเคาะภาชนะ' ก็นับเป็นหนึ่งในรูปแบบการประท้วงที่หลายชาติใช้แสดงออกถึงความไม่พอใจของรัฐบาลเช่นกัน ซึ่งการประท้วงรูปแบบนี้พบหลักฐานทางประวัติศาสตร์ว่ามีที่มาตั้งแต่ฝรั่งเศส ช่วงทศวรรษที่ 1830 จากที่ประชาชนปารีสบางส่วนไม่พอใจนโยบายการปกครองของ พระเจ้าหลุยส์-ฟีลิปที่ 1 (Louis Philippe Iเอ็มมานูเอล ฟูเรกซ์ก นักประวัติศาสตร์ชาวฝรั่งเศสอธิบายว่า ในชาวกรุงปารีสได้ใช้เสียงของการตีหม้อเคาะภาชนะ เพื่อแสดงความไม่พอใจรัฐบาลหลุยส์-ฟีลิปที่ เนื่องจากหวั่นเกรงการถูกจับจากทางการจึงใช้การส่งเสียงเคาะภาชนะเพื่อแสดงความไม่พอใจในยามค่ำคืนแทน
 
ผ่านมากว่าศตวรรษ การประท้วงตีหม้อเคาะภาชนะปรากฏอีกครั้งที่ไนจีเรีย เมื่อปี 2504 ในเหตุการณ์ที่เรียกว่า "ค่ำคืนแห่งเสียงหม้อ" หรือ The nights of the pots ในช่วงหนึ่งของสงครามเรียกร้องเอกราชของไนจีเรีย ชาวบ้านในหลายเมืองต่างใช้เสียงเคาะหม้อเคาะกระทะเพื่อสนับสนุนเอกราชของประเทศจากฝรั่งเศส
 
เคาะหม้อถึงรัฐเพราะไม่มีจะกิน
 
ปี 2514 การประท้วงแบบตีหม้อเคาะภาชนะ กลายเป็นส่วนหนึ่งของรูปแบบการประท้วงอย่างกว้างขวางในเทศชิลี มีชื่อเรียกเป็นภาษาสเปนว่า  "Cacerolazo" (กาเซโรลาโซ) ที่แปลว่า หม้อสตูว์ การประท้วงรูปแบบนี้เกิดขึ้นจากการที่ชาวชิลีซึ่งประสบภาวะการขาดแคลนอาหาร จึงออกมาประท้วงรัฐบาลประธานาธิดีซัลบาดอร์ อาเยนเด ซึ่งเหตุที่หม้อหรือกะทะถูกนำมาใช้ในการประท้วง เพื่อต้องการทำให้บริบทของเสียงเรียกร้องจากประชาชน รับรู้ถึงบรรดาชนชั้นปกครองในสังคม การตีหม้อประท้วงรัฐบาลครั้งใหญ่ในชิลีเกิดขึ้นอีกครั้งเมื่อปี 2562 จากการที่กลุ่มผู้ประท้วงชาวชีลีออกมาเคลื่อนไหวแสดงความไม่พอใจรัฐบาลเซบาสเตียน ปิเญรา ที่ขึ้นราคาค่าครองชีพโดยเฉพาะราคาตั๋วโดยสารรถไฟฟ้าในกรุงซานเตียโก 
 
ที่อาร์เจนตินาการประท้วงด้วยการเคาะหม้อครั้งใหญ่ที่สุดเกิดขึ้นเมื่อคราวที่ประเทศเผชิญวิกฤตเศรษฐกิจปี 2544 บรรดาชนชั้นกลางออกมารวมตัวเพื่อต่อต้านมาตรการรัดเข็มขัดทางการเงิน ท่ามกลางเงินเปโซที่อ่อนค่า รัฐบาลจึงออกมาตรการทางการคลังที่ส่งผลให้พวกเขาไม่สามารถถอนเงินจากบัญชีธนาคารได้ บริบทเสียงเคาะหม้อภาชนะในอาร์เจนตินาจึงคล้ายกับของชีลีที่ประชาชนออกมาเรียกร้องรัฐบาลในปัญหาปากท้อง
 
วัฒนธรรมประท้วงแบบ Cacerolazo กลายเป็นรูปแบบการประท้วงรัฐบาลที่แพร่หลายในกลุ่มประเทศละตินอเมริกา หลายความเคลื่อนไหวทางการเมืองมักจะมีผู้ประท้วงที่นำหม้อ กระทะ หรือภาชนะหลากรูปแบบออกมาเคาะตี อาทิ การขับไล่ประธานาธิบดีจิลมา รูเซฟ ของบราซิล ซึ่งชาวบราซิลออกตีหม้อเคาะภาชนะกันบริเวณระเบียงบ้านช่วงที่ผู้นำหญิงบราซิลกล่าวสุนทรพจน์ทางโทรทัศน์ จากกรณีที่ชาวบราซิลออกมาประท้วงรัฐบาลของเธอซึ่งเผชิญกับข้อหาทุจริตคอรัปชันจากบริษัทพลังงานขนาดใหญ่ หรือการประท้วงใหญในเอกวาดอร์เมื่อปี 2562 ที่ประชาชนออกมาประท้วงมาตรการรัดเข็มขัดทางเศรษฐกิจของรัฐบาลประธานาธิบดีเลนิน โมเรโน เนื่องจากหนี้สาธารณะที่พุ่งสูงขึ้นจากการใช้จ่ายเกินตัวของรัฐบาล
 
การตีหม้อเคาะภาชนะเพื่อประท้วงครั้งล่าสุดของอเมริกาใต้ เกิดขึ้นในบราซิลจากการที่ประชาชนออกมาเคลื่อนไหวตีภาชนะเพื่อประท้วงรัฐบาลประธานาธิบดีฌาอีร์ โบลโซนารู จากความล้มเหลวในการมือระบาดโควิด-19
 
เสียงเคาะให้กำลังใจ
 
การประท้วงแบบ Cacerolazo ไม่เพียงแค่เป็นรูปแบบการประท้วงในอเมริกาใต้เท่านั้น แต่ยังได้รับความนิยมในภูมิภาคอื่นๆ ในบริบทที่ต่างกัน อาทิ ในอินเดีย บริบทการตีหม้อเคาะภาชนะ ไม่เพียงแค่เป็นสัญลักษณ์ของการประท้วง แต่ยังใช้เป็นสัญลักษณ์ของการขอบคุณ ดังเช่นที่ชาวอินเดียหลายเมืองทั่วประเทศ พร้อมใจเคาะภาชนะเพื่อให้กำลังใจและขอบคุณเจ้าหน้าที่บุคลากรการแพทย์ ในการรับมือต่อโควิด-19 ช่วงที่รัฐบาลประกาศใช้มาตรการล็อกดาวน์ครั้งใหญ่เมื่อ มี.ค. 2563 ที่ผ่านมา
 
ขณะที่สเปนบางส่วนโดยเฉพาะในแคว้นกาตาลัน ก็ใช้การประท้วงรูปแบบนี้ แสดงความไม่พอใจต่อการมีพระราชดำรัสผ่านสถานีโทรทัศน์ของสมเด็จพระราชาธิบดีเฟลิเปที่ 6 ต่อสถานการณ์โควิด-19 ที่ประเทศกำลังเผชิญ ซึ่งเป็นการแสดงออกไปพร้อมๆ กับความไม่พอใจต่อรัฐบาลที่รับมือต่อการระบาดของโควิด-19 ไม่ดีพอ แต่ในขณะเดียวกันการเคาะดังกล่าว ก็เพื่อให้กำลังใจทีมแพทย์และบุคลากรแนวหน้าที่ต้องรับมือการระบาดดังกล่าว
 
ในประเทศแถบอาเซียน วัฒนธรรมการประท้วงแบบกาเซโรลาโซ ถูกนำมาใช้ครั้งแรกในการเคลื่อนไหวทางการเมืองที่ฟิลิปปินส์ ต่อการประท้วงของรัฐบาล[เผล่ะจัง] เฟอร์ดินาน มาร์กอส ช่วงที่ประเทศใช้กฎอัยการศึกเพื่อควบคุมความสงบเรียบร้อย 'ลู เดอ ลีออน' ศาสตราจารย์ด้านประวัติศาสตร์มหาวิทยาลัยฟิลิปปินส์ดิลลิมาน อธิบายวัฒนธรรมการเคาะตีภาชนะประท้วงในฟิลิปปินส์ว่า "เนื่องจากความไม่เห็นด้วยของประชาชนต่อผลการเลือกตั้งของมาร์กอส ที่อาจทำให้ถูกจับกุมเพราะต่อต้านรัฐ ผู้คนจึงแสดงออกผ่านการเคาะเสียงแทน"
 
ลีออนอธิบายเสริมว่า รัฐบาลมาร์กอสต้องใช้วิธีการควบคุมสื่ออย่างเข้มงวดโดยเฉพาะช่วงเลือกตั้ง ทำให้ประชาชนแทบไม่มีสิทธิมีเสียงหรือรับรู้ข้อมูลอย่างแท้จริง พวกเขาจึงต้องการส่งเสียงถึงรัฐบาล เมื่อ 6 เม.ย. 2521 คืนก่อนหน้าการลงคะแนนเลือกตั้ง ชาวกรุงมะนิลาต่างออกมาตีหม้อเคาะกระทะจนเสียงดังสนั่นหวั่นไหว โดยบันทึกของรัฐบาลฟิลิปปินส์ระบุว่า เสียงเคาะในคืนนั้นเป็นหนึ่งในการประท้วงที่ดังที่สุดของยุค
 
กระทั่งเสียงเคาะของชาวเมียนมาที่ออกมาแสดงถึงจุดยืนไม่ยอมรับการยึดอำนาจของกองทัพ ซึ่งผู้ใช้งานโซเชียลมีเดียต่างระบุว่า เสียงเคาะในคืนวันที่ 1 ก.พ. นั้นไม่ต่างอะไรกับชาวย่างกุ้งที่กำลังเคาะไล่ปีศาจ[เผล่ะจัง]
 

 
เวียดนามเล็งเก็บภาษีน้ำตาลนำเข้าจากไทย 34%
https://www.dailynews.co.th/foreign/824650
 
รัฐบาลเวียดนามประกาศแผน จัดเก็บภาษีต่อต้านการทุ่มตลาด จากน้ำตาลทรายดิบ ที่มีต้นแหล่งอยู่ในประเทศไทย โดยอ้างว่าการนำเข้าพุ่งสูง กำลังทำลายอุตสาหกรรมน้ำตาลในเวียดนาม
 
 สำนักข่าวรอยเตอร์นรายงานจากกรุงฮานอย สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม เมื่อวันที่ 10 ก.พ. ว่า แถลงการณ์ของกระทรงพาณิชย์เวียดนาม เมื่อวันอังคาร ระบุว่า เวียดนามเตรียมจะเก็บภาษี น้ำตาลนำเข้าจากประเทศไทย ในอัตรา 33.88 % แต่การจัดเก็บภาษีจะเริ่มมีผลเมื่อใด กระทรวงฯ ยังไม่ตัดสินใจ ขณะที่นายวิฤทธิ์ วิเศษสินธุ์ รองเลขาธิการ คณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทรายไทย เผยต่อสำนักข่าวรอยเตอร์ เมื่อวันพุธว่า รัฐบาลไทยกำลังอยู่ในระหว่างการเจรจา กับกลุ่มผู้ค้าน้ำตาล ในประเด็นนี้ เพื่อเตรียมชี้แจงทำความเข้าใจกับฝ่ายเวียดนาม
 
เวียดนามยกเลิกเก็บภาษีน้ำตาลนำเข้า จากกลุ่มประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในปี พ.ศ. 2563 เพื่อให้เป็นไปตามพันธกรณี ในความตกลงการค้าสินค้าของอาเซียน หรือ อาติกา (ASEAN Trade in Goods Agreement : ATIGA) แต่ความตกลงมีข้อกำหนด อนุญาตให้กลุ่มชาติสมาชิกอาเซียน สามารถจัดเก็บภาษีสินค้านำเข้าได้ เพื่อปกป้องสิทธิและผลประโยชน์ ของอุตสาหกรรมภายในประเทศ จากพฤติกรรมต่อต้านการแข่งขัน
 
 การตัดสินใจจัดเก็บภาษีของเวียดนาม โดยเฉพาะจากน้ำตาลทรายดิบ มีขึ้นหลังจากกระทรวงพาณิชย์เวียดนาม ดำเนินการสอบสวนการทุ่มตลาด ตั้งแต่เดือน ก.ย.ปีที่แล้ว หลังได้รับการร้องเรียนจากเจ้าหน้าที่ในอุตสาหกรรมน้ำตาลเวียดนาม โดยผลการสอบสวนเบื้องต้นแสดงให้เห็นว่า น้ำตาลที่ได้รับการอุดหนุน และทุ่มตลาดจากประเทศไทย สูงขึ้นถึง 1.3 ล้านตัน ในปี พ.ศ. 2563 คิดเป็นอัตราเพิ่ม 330.4% จากปี 2562
 
แถลงการณ์ของกระทรวงพาณิชย์เวียดนาม ระบุว่า โรงงานน้ำตาลในเวียดนามปิดตัวลงหลายแห่ง ทำให้ลูกจ้างตกงานกว่า 3,300 คน และส่งผลกระทบในทางลบ ต่อเกษตรกรชาวไร่อ้อย 93,225 ครอบครัว รัฐบาลเวียดนามจะเก็บภาษี น้ำตาลทรายดิบนำเข้าจากไทย 33.88% ขณะที่การสอบสวนยังดำเนินอยู่ และคาดว่า จะเสร็จสิ้นได้ข้อสรุป ในช่วงไตรมาส 2 ของปีนี้ และกระทรวงฯ จะทำงานร่วมกับหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อตัดสินใจขั้นสุดท้าย ในการกำหนดเวลา เริ่มจัดเก็บภาษีน้ำตาลจากไทย.
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่