เราอายุ 16 ค่ะ นี่คือกระทู้แรกของเรา ปกติเราก็คอยอ่านบทความในนี้อยู่เรื่อยๆ แต่ตอนนี้คงมีโอกาสได้เล่าเรื่องของตัวเองบ้าง เราอยากระบายเรื่องที่เกิดขึ้น และอยากให้ใครก็ได้ช่วยแนะนำเราที ที่แท็กทั้งศาสนาและวิทยาศาสตร์ ก็คืออยากได้มุมมองของคนหลายๆฝ่ายค่ะ
เราเคยมีปัญหาด้านจิตใจอย่างรุนแรงเมื่อปีที่แล้ว อาจเพราะความเครียด ความกดดันจากทั้งที่โรงเรียน ที่บ้าน แล้วก็ตัวเราเองด้วย ในวันหนึ่งของการปิดเทอมเล็ก เราตัดสินใจฆ่าตัวตายค่ะ เป็นการฆ่าตัวตายที่วางแผนล่วงหน้า อาจจะเกือบเดือนหรือหลายเดือนเราไม่แน่ใจ แต่ในตอนนั้นไม่รู้ทำไมเราถึงรู้สึกว่า ฉันควรตายไปซะ ตายๆไปให้มันจบๆซะที
ในช่วงต้นเดือนตุลาคม เราปิดเทอมแล้ว อยู่บ้าน ไม่มีอะไรที่เราควรกังวลใจนอกจากผลสอบ ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติของเด็กมัธยม(ซึ่งเราไม่ห่วงมากเพราะเกรดเราที่สะสมมามันพอเข้าโควต้าม.4โดยไม่เครียดแท้ๆ) แต่กลับกันเลยค่ะ เราซึม เราอึดอัด รู้สึกเบื่อ นั่งเฉยๆไปได้ทั้งวันโดนไม่ทำอะไร นิยายที่เคยแต่งก็แต่งไม่ออก เพลงที่เคยร้องก็ร้องให้สนุกไม่ได้ เรารู้สึกว่า พอแล้ว เหนื่อยแล้ว ถึงจะไม่รู้ด้วยซํ้าว่าตัวเองเหนื่อยหรือท้อเพราะอะไร
เรายังใช้ชีวิตปกติค่ะ ท่ามกลางการทะเลาะกันอย่างปกติของพ่อแม่ที่เราเห็นมาตั้งแต่จำความได้ เป็นเรื่องที่เราเคยชินจนอยากเลิกสนใจแล้ว พฤติกรรมของพี่ และการทะเลาะกันในกลุ่มเพื่อน เรายังยิ้มและหัวเราะได้อยู่ แต่ในใจเรามันชาหนึบไปหมดเลยค่ะ ทั้งเบื่อ ทั้งเหงา ไม่เข้าใจเลยว่าเกิดมาทำไม ออกไปข้างนอกก็กลัวในสิ่งที่ไม่รู้ว่าคืออะไร
เรื่องมันแย่ขึ้นเมื่อเราไปเรียนพิเศษตามปกติไม่ได้ เป็นเรียนเสริมวิชาคณิตค่ะ(แต่เราไม่ได้มีปัญหาอะไรที่นั่นนะ) เราอ้วกค่ะ ปวดท้องจนอ้วก ปวดหัว มึนไปหมดตอนที่รถกำลังขับเข้าไปที่เรียน ไม่ได้แกล้งป่วย หรือเรียกร้องความสนใจทั้งนั้น แต่ร่างกายทำให้เราทรมานมากค่ะ อ้วกจนร้องไห้ หลายครั้งเข้าเราก็เลยหยุดเรียนไปโดยไม่มีสาเหตุ(สับสนเวลาตรงนี้มาก ไม่แน่ใจว่าเป็นตั้งแต่ตอนไหน คือมันมีอาการปวดท้องเวลาไปเรียนที่นั่นมาหลายรอบแล้ว แต่ครั้งที่แรงสุดก็คงข่วงตุลา)
เรื่อยมาถึงกลางเดือนค่ะ นี่คือกำหนดการฆ่าตัวตายของเรา(แต่ตอนนั้นก็แค่คิดไปเรื่อย ไม่ได้คิดว่าจะตายจริงจังขนาดนั้น คือเหม่อเมื่อไรก็แบบ เออ เดี๋ยวก็ตายแล้ว แบบนั้นน่ะ) พ่อแม่พาเรากับพี่ไปฉลองวันเกิดที่สมุทรสาครค่ะ(พี่เกิด13 เราก็เกิด15 ฉลองพร้อมกัน14ต.ค. และใช่ค่ะ เราตั้งใจจะตายวันเกิดตัวเอง)
เราฝันร้ายติดกันมาหลายคืนทำให้ไม่ค่อยมีสติด้วยค่ะ นอนก็ไม่ค่อยหลับ ตอนอยู่บนรถก็สลึมสะลือ รู้แค่พ่อแม่ทะเลาะกันดังมาก แล้วลากเรากะพี่ไปเอี่ยวด้วย ตอนนั้นในใจเราแบบ ทำไมต้องทะเลาะกันวันนี้ ถ้าเกลียดกันนักก็หย่าๆไปเถอะ ไม่ไหวแล้ว! แต่เราไม่ได้พูดอะไรมากค่ะ เราแค่อือ แล้วก็มองนิ่งๆ จากนั้นพอเค้าจอดรถพัก เราก็แกล้งหลับค่ะ
พอแม่และพี่ลงจากรถ เรานํ้าตาไหลค่ะ เดิมทีเราร้องไห้ง่ายอยู่ก็จริง แต่ครั้งนี้มันแปลกที่เราแค่นํ้าตาไหลค่ะ ไหลเงียบๆ ไม่สะอื้น ไม่พูดอะไรเลย ในหัวมีแต่ ตาย ตายเถอะ อยู่ไปทำไม เกิดมาทำไม อะไรทำนองนั้นเลยค่ะ อยากหาที่ตายเงียบๆ อยากหายสาบสูญไปให้มันพ้นๆ แต่ก็เป็นความคิดเดิมๆค่ะ ไม่มีอะไรพิเศษ
เราไปเที่ยวอนุสาวรีย์ซักที่แถวทะเลค่ะ แล้วเราก็ยืนมองคลื่น พ่อแม่ที่เหมือนจะดีกันแล้วก็ยืนอยู่ด้วย ตรงนั้นมันไม่มีรั้วค่ะ แล้วอยู่สูงกว่าทะเลประมาณห้าสิบเซน ตอนนั้นในหัวเรามันเริ่มแล่นค่ะ คิดไปว่า
ถ้ากระโดดลงไป จะมีใครไปช่วยชั้นมั้ยนะ ถ้าตายตรงนี้ จะทรมานมากไหม
(เราเคยอ่านวิธีการตายมาเยอะค่ะ การจมนํ้าก็เป็นวิธีที่ทรมาน เพราะเราเองก็เคยจมนํ้าตอนเด็กๆ) เรามองไปเรื่อยๆค่ะ มองฟ้า มองคลื่น จนสุดท้ายมันมีความคิดว่า ถ้ากระโดดลงไปตรงนี้ ยังไงก็ไม่ตายสงบๆแน่ ไม่อยากให้เดือดร้อนนักท่องเที่ยวคนอื่น ไม่อยากให้ทุกคนแตกตื่น เราก็คิดแบบนั้น แล้วก็แบบ เออ ไม่เห็นต้องตายเลย ก็ยังคิดว่าพ่อแม่ก็คงเสียใจมาก เลยไม่ทำค่ะ
วันต่อมาคือวันเกิดเราค่ะ
วันนี้คือชี้ชะตา แบบชัดๆ แย่สุดอะไรสุด คือคิดฟุ้งซ่านมากๆ คือบ้านเราเองเราก็จะรู้จักที่ทางต่างๆ แล้วเราก็รู้ว่าดาดฟ้ามันล็อก ก็เลยคิดจะเขียนจดหมายลาตาย แล้วตอนดึกๆก็ค่อยแอบไปเอากุญแจมาเปิดประตู
ละคือคืนวันที่14เราฝันไง ว่าประตูไม่ล็อก เราเดินไปที่ดาดฟ้า นั่งแกว่งขาที่ขอบดาดฟ้าแล้วโดด มันเหมือนดูหนังเลย จนกระทั่งเห็นตัวเองตกไปอยู่ที่พื้นนั่นแหละ ทรมานค่ะ เป็นฝันที่เหมือนจริงมาก เจ็บแบบที่ไม่เคยเจ็บ
เคยได้ยินคำว่าหายใจแล้วรู้สึกเหมือนมีเศษแก้วในปอดไหมคะ หรือมีเม็ดทรายอยู่ข้างใน มันหายใจไม่ออก ขัด ทรมาน แต่แปลกดีที่เราไม่กลัวแฮะ ทั้งที่เห็นตัวเองตายทรมานขนาดนั้น
วันที่ 15 ผิดคาดค่ะ เราไม่ได้เขียนจดหมายลาตายเพราะมัวแต่นอนซึมๆ เรากอดพ่อกับแม่ กอดนานกว่าปกติ แต่ก็พยายามทำตัวสบายๆ จนตอนเย็นครอบครัวทะเลาะกัน แล้วเหมือนอะไรในใจเรามันขาดผึงตรงนั้น
เราอาศัยช่วงพ่อแม่ไปอยู่ส่วนอื่นของบ้านเดินจํ้าขึ้นบันไดไปค่ะ ไม่สนด้วยว่าดาดฟ้าล็อกรึเปล่า จนเราไปนั่งกอดเข่าอยู่หน้าประตูดาดฟ้าค่ะ แล้วก็นั่งเหม่อพักใหญ่ ในหัวเราได้ยินเสียงวี้ดยาวๆ ปวดหัว ปวดท้อง มึนไปหมด สติก็ไม่อยู่กับตัว เรามองประตู แล้วก็คิดว่า อือ มันคงล็อกแหละ แต่ไม่ค่ะ
ประตูดาดฟ้าไม่ล็อก...
เราเปิดประตูออก เดินเท้าเปล่าไปที่จุดที่เราเห็นในฝัน เรานั่งลง ก่อนจะมองไปข้างล่าง ตอนนั้นเป็นเวลาประมาณหกโมงกว่าๆ ฟ้ายังมีแสงอยู่ เราเห็นรถขับไปมา แล้วก็เหม่อต่อไป จนเราได้ยินเสียงโวยวายจากข้างล่างค่ะ พ่อแม่คงรู้แล้วแหละว่าเราหาย แล้วก็มีเสียงปึงปังขึ้นมา) ตอนนั้นเรามีความคิดสองอย่างค่ะ
กระโดดตอนนี้ หรือหยุด
สุดท้ายเราเดินกลับไปนั่งรอค่ะ นั่งพิงราวบันได แล้วก็มองข้างล่าง ได้ยินพ่อบอกว่า ถ้าเราไปจริงๆ ก็ต้องปล่อย เหมือนแม่จะเป็นบ้าไปตรงนั้นแล้ว ตอนนั้นเราก็นิ่ง แล้วก็คิดไปว่า งั้นหรอ แล้วเราก็เดินลงไปข้างล่างค่ะ ทิ้งดาดฟ้าตรงนั้นไว้ เดินผ่านพ่อแม่ที่ถามว่าเราคิดจะทำอะไร เรายิ้มค่ะ แล้วบอกว่าแค่อยากขึ้นมาเฉยๆ แล้วเดินสวนลงไปเลยค่ะ
พอถึงชั้นหนึ่ง เราสั่นมาก ตัวสั่น ใจสั่น อาจจะเป็นสัญชาตญาณของมนุษย์ที่ต่อต้านความคิดที่จะตาย เราเดินเข้าไปหาพี่ กอดพี่แน่นโคตรๆ มั้งที่เราเกลียดพี่คนนี้มาตลอด พี่ชายที่ไม่เคยทำตัวเป็นพี่ พี่ที่

ไม่เคยช่วยอะไรน้องได้ซักอย่าง
แต่เค้าเหมือนที่พึ่งสุดท้ายของเราค่ะ เรากอดพี่ เราบ่นอะไรไม่รู้ที่จำไม่ได้ ประมาณว่า ขอโทษนะ ขอโทษ ซํ้าๆอยู่แบบนั้นค่ะ ร้องไห้ฟูมฟายจนหอบ แบบหยุดสะอื้นไม่ได้เลยค่ะ จากนั้นพ่อแม่ก็มาปลอบเรา จนทุกอย่างมันจบไปแบบเงียบๆ
หลังจากนั้นพ่อแม่พาเราไปหาหมอค่ะ ได้รับยากดประสาทและยาคลายกล้ามเนื้อมาทานค่ะ เทคแคร์เราดีมาก แต่อาการเราไม่ได้ดีค่ะ ถ้าเราไม่หลับเพราะยา เราก็ยังคิดฟุ้งซ่านอยู่ ยังคิดจะตาย ยังอยากตาย ยังเกลีดยตัวเอง ยังคิดว่าถ้าย้อนเวลาไปได้จะทำอย่างนี้ ยังคิดว่าฉันทำแต่เรื่องผิดพลาดมาตลอด ทำนองนั้น และเรามีอาการปวดท้องเป็นพักๆ ปวดจนนอนไม่ได้ แล้วก็ปวดหัวข้างเดียวร่วมไปด้วยเหมือนมาเป็นแพ็คเสริม
ในวันรับเกรดค่ะ เกรดเราตกจริงอย่างที่คาดไว้ แต่ไม่รู้สิ มีเรื่องนิดหน่อยในวันนั้นที่ทำให้เราอาการกำเริบขึ้น เราไปที่เรียนพิเศษ(คนละที่กับของต้นบทความ) แล้วปวดท้องจนไม่ไหว พ่อก็กลับบ้านไปแล้ว เราก็เลยเดินไปจะซื้อยากินค่ะ
ตอนข้ามถนน เป็นสี่แยกไฟแดง เราดันเหม่อค่ะ เรื่องนี้ไม่ได้เล่าให้ทีาบ้านฟัง เราเหม่อตอนข้ามถนนจนเกือบโดนรถเฉี่ยว พี่วินมอไซแถวนั้นเค้าเลยรีบจูงเราข้ามถนน แล้วเราก็เดินมึนๆไปซื้อยากลับมากินโดยที่ไม่ได้เข้าไปเรียน (เรียนกะคอมน่ะ)
สองสามวันต่อมาหลังเปิดเทอม เรายังปวดท้องอยู่เรื่อยๆ จนกระทั่งในเช้าวันนั้นที่เราปวดมากกว่าปกติ ปวดจนต้องขอไปโรงพยาบาลเลยค่ะ พ่อเราก็เครียด แม่เราก็เครียด เพราะตอนนั้นมันเช้ามากๆเพิ่งจะตีสี่ตีห้า เราก็ทน ส่งข้อความไปบอกเพื่อนให้ฝากเก็บงานให้หน่อย แต่ก็คิดว่าหาหมอเสร็จคงไม่มีอะไรมาก น่าจะกลับมาเรียนทัน
พอไปโรงพยาบาล ในที่สุดเราก็รู้ค่ะว่าเราปวดท้องเพราะอะไร เราโดนเจาะเลือด โดนส่องกล้องเข้าไปทางปาก ยาสลบที่กว่าเราจะสลบก็ส่องกล้องจะเสร็จอยู่แล้ว พอตื่นมาก็มึนไปหมด แสบคอด้วย;-;
หมอบอกว่า เรากระเพาะอาหารอักเสบค่ะ แต่แผลเล็กมาก แต่เค้าพูดว่าเราน่ะ มีความเครียดที่สูง ต้องฉีดยาสลบซํ้าเพราะเราไม่หลับเลยตอนที่ทำ หัตถการ แล้วเราก็แบบ อือ จริง โคตรเจ็บ แล้วผลเลือดก็บอกว่าเราเม็ดเลือดเล็ก เกล็ดเลือดตํ่าอะไรทำนองนั้น ซึ่งหมอก็ให้คำปรึกษาในเรื่องการจัดการความเครียด แล้วก็จัดยาให้เยอะมาก(จะเครียดขึ้นเพราะต้องกินยานี่แหละ)
ในช่วงปีใหม่ เราไปเที่ยวน่านค่ะ ครูที่เรียนพิเศษที่เราหยุดไปเค้าโทรมา โทรมาตอนที่กำลังนั่งรถตู้เลย แล้วเราที่ยังป่วยๆอยู่ก็มีอาการปวดท้อง (ยัดอีโนเข้าไปสองสามซองเพราะไม่อยากอ้วกให้ใครเห็น)
เราก็อยากบอกเค้านะว่าหนูขอโทษ หนูไม่ได้เกลียดครู หนูผิดเองที่เป็นบ้าอะไรไม่รู้ แต่สุดท้ายเราก็ยังไม่มีโอกาสค่ะ(จนตอนนี้เค้าก็คงยังงงอยู่ว่าเราเป็นอะไร เพราะเราเรียนกะเค้ามาค่อนข้างนาน สนิทกันแบบคุยเล่นกันได้)
แล้วการเที่ยวของเราก็สนุกไม่เต็มที่ค่ะ มันยังมีอาการบ้าของเราที่จะเดินไปให้รถชน หนีพ่อแม่หายไปในตลาด คิดว่าจะกระโดดนํ้า คิดมากจนปวดท้องอย่างหนัก เกือบจะต้องเข้าโรงพยาบาลที่น่านอยู่แล้ว จนเราไปสงบตอนขากลับที่แถวๆสุโขทัยค่ะ
จากนั้นก็อาการทรงๆทรุดๆ จนปิดเทอมขึ้นม.4 และมีโควิดระบาดหนัก ตอนนั้นเราดีขี้นเยอะมากๆ เพราะการใส่ใจของครองครัว แต่พอมาเปิดเรียนอีกครั้ง เราก็กลับมาเป็นอีก จนเป็นที่มาของกระทู้นี้แหละค่ะ
อยากนอนทั้งวัน ไม่อยากทำอะไร ซึม เบื่อ ปวดหัวปวดท้องสลับกันเวลามีเรื่องตึงเครียด แพนิคง่ายกะเรื่องเล็กน้อย แต่ที่เราได้มาคือความนิ่งขึ้น ไม่ร้องไห้เวลาเศร้าแล้ว แต่แค่ถอนหายใจเบื่อๆแทน อาการอยากตายก็มาเรื่อยๆ แต่เหมือนเป็นความคิดที่ชินแล้ว ไม่ตายก็ไม่ตาย หรือจะตายก็ดี ไม่คิดจะฆ่าหรือทำร้ายตัวเอง แต่ก็หวังลึกๆให้เกิดอุบัติเหตุกับตัวเอง
เรามีที่ประจำคือดาดฟ้า และมุมห้อง จนตอนนี้ได้ห้องของตัวเองมาเลยได้เซฟโซนแห่งใหม่ เรามีเพื่อนใหม่ที่น่ารัก และมีเพื่อนสนิทที่มาจากกลุ่มม.3 เราเรียนแย่ลง แต่เราก็เริ่มชิน เราเขียนนิยายในแนวที่เป็นโศกนาฏกรรมมากกว่าความรักสดใสที่เคยเขียน
เราเปลี่ยนไปเยอะจริงๆ กับเรื่องที่ผ่านมา
เรายังรักตัวเอง เรายังรักครอบครัว แต่เราเห็นแก่ตัวพอที่จะทิ้งพวกเค้า
เราเป็นพวกรักสงบค่ะ มีความทะเยอทะยาน แต่ขี้เกียจเกินกว่าจะทำ
เราใช้ชีวิตแบบนี้แหละค่ะ อยากหาทางจบมันลงไปแบบวินๆ
นี่ยังคิดว่าจะเรียนจบ ทำงานซักปีให้เป็นประโยชน์กับสังคมก่อนจะหาที่เงียบๆตาย
กำหนดความตายที่แน่นอนเอาไว้เพื่อให้ตัวเองมีเป้าหมายในการใช้ชีวิตไปก่อน
นี่คือความคิดของเด็กม.4คนนึงค่ะ ได้โปรดบอกเราที ว่าเราควรจะทำยังไงให้หลุดพ้นจากความคิดบ้าๆพรรค์นี้สักที
ขอบคุณทุกคนที่อ่านมาถึงตรงนี้นะคะ จะมองว่าเป็นนิยายชีวิตซักเรื่องก็ได้ เราเองก็จมกับเรื่องราวพวกนี้มาตลอด คิดว่าถ้าได้ระบายออกมา มันคงจะดีขึ้น
เราระบายกับที่บ้านไม่ได้ค่ะ พวกเค้าห่วงเรามากพอแล้ว เรารู้สึกผิดที่ทำแบบนั้น แต่ถ้าย้อนเวลากลับไป เราก็ยังคิดว่าจะขึ้นไปที่ดาดฟ้าอยู่ดี...
คิดว่าเราควรทำยังไงต่อไปกับชีวิตดีคะ? (ความเศร้า,ความไม่เข้าใจตัวเอง,อยากตาย)
เราเคยมีปัญหาด้านจิตใจอย่างรุนแรงเมื่อปีที่แล้ว อาจเพราะความเครียด ความกดดันจากทั้งที่โรงเรียน ที่บ้าน แล้วก็ตัวเราเองด้วย ในวันหนึ่งของการปิดเทอมเล็ก เราตัดสินใจฆ่าตัวตายค่ะ เป็นการฆ่าตัวตายที่วางแผนล่วงหน้า อาจจะเกือบเดือนหรือหลายเดือนเราไม่แน่ใจ แต่ในตอนนั้นไม่รู้ทำไมเราถึงรู้สึกว่า ฉันควรตายไปซะ ตายๆไปให้มันจบๆซะที
ในช่วงต้นเดือนตุลาคม เราปิดเทอมแล้ว อยู่บ้าน ไม่มีอะไรที่เราควรกังวลใจนอกจากผลสอบ ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติของเด็กมัธยม(ซึ่งเราไม่ห่วงมากเพราะเกรดเราที่สะสมมามันพอเข้าโควต้าม.4โดยไม่เครียดแท้ๆ) แต่กลับกันเลยค่ะ เราซึม เราอึดอัด รู้สึกเบื่อ นั่งเฉยๆไปได้ทั้งวันโดนไม่ทำอะไร นิยายที่เคยแต่งก็แต่งไม่ออก เพลงที่เคยร้องก็ร้องให้สนุกไม่ได้ เรารู้สึกว่า พอแล้ว เหนื่อยแล้ว ถึงจะไม่รู้ด้วยซํ้าว่าตัวเองเหนื่อยหรือท้อเพราะอะไร
เรายังใช้ชีวิตปกติค่ะ ท่ามกลางการทะเลาะกันอย่างปกติของพ่อแม่ที่เราเห็นมาตั้งแต่จำความได้ เป็นเรื่องที่เราเคยชินจนอยากเลิกสนใจแล้ว พฤติกรรมของพี่ และการทะเลาะกันในกลุ่มเพื่อน เรายังยิ้มและหัวเราะได้อยู่ แต่ในใจเรามันชาหนึบไปหมดเลยค่ะ ทั้งเบื่อ ทั้งเหงา ไม่เข้าใจเลยว่าเกิดมาทำไม ออกไปข้างนอกก็กลัวในสิ่งที่ไม่รู้ว่าคืออะไร
เรื่องมันแย่ขึ้นเมื่อเราไปเรียนพิเศษตามปกติไม่ได้ เป็นเรียนเสริมวิชาคณิตค่ะ(แต่เราไม่ได้มีปัญหาอะไรที่นั่นนะ) เราอ้วกค่ะ ปวดท้องจนอ้วก ปวดหัว มึนไปหมดตอนที่รถกำลังขับเข้าไปที่เรียน ไม่ได้แกล้งป่วย หรือเรียกร้องความสนใจทั้งนั้น แต่ร่างกายทำให้เราทรมานมากค่ะ อ้วกจนร้องไห้ หลายครั้งเข้าเราก็เลยหยุดเรียนไปโดยไม่มีสาเหตุ(สับสนเวลาตรงนี้มาก ไม่แน่ใจว่าเป็นตั้งแต่ตอนไหน คือมันมีอาการปวดท้องเวลาไปเรียนที่นั่นมาหลายรอบแล้ว แต่ครั้งที่แรงสุดก็คงข่วงตุลา)
เรื่อยมาถึงกลางเดือนค่ะ นี่คือกำหนดการฆ่าตัวตายของเรา(แต่ตอนนั้นก็แค่คิดไปเรื่อย ไม่ได้คิดว่าจะตายจริงจังขนาดนั้น คือเหม่อเมื่อไรก็แบบ เออ เดี๋ยวก็ตายแล้ว แบบนั้นน่ะ) พ่อแม่พาเรากับพี่ไปฉลองวันเกิดที่สมุทรสาครค่ะ(พี่เกิด13 เราก็เกิด15 ฉลองพร้อมกัน14ต.ค. และใช่ค่ะ เราตั้งใจจะตายวันเกิดตัวเอง)
เราฝันร้ายติดกันมาหลายคืนทำให้ไม่ค่อยมีสติด้วยค่ะ นอนก็ไม่ค่อยหลับ ตอนอยู่บนรถก็สลึมสะลือ รู้แค่พ่อแม่ทะเลาะกันดังมาก แล้วลากเรากะพี่ไปเอี่ยวด้วย ตอนนั้นในใจเราแบบ ทำไมต้องทะเลาะกันวันนี้ ถ้าเกลียดกันนักก็หย่าๆไปเถอะ ไม่ไหวแล้ว! แต่เราไม่ได้พูดอะไรมากค่ะ เราแค่อือ แล้วก็มองนิ่งๆ จากนั้นพอเค้าจอดรถพัก เราก็แกล้งหลับค่ะ
พอแม่และพี่ลงจากรถ เรานํ้าตาไหลค่ะ เดิมทีเราร้องไห้ง่ายอยู่ก็จริง แต่ครั้งนี้มันแปลกที่เราแค่นํ้าตาไหลค่ะ ไหลเงียบๆ ไม่สะอื้น ไม่พูดอะไรเลย ในหัวมีแต่ ตาย ตายเถอะ อยู่ไปทำไม เกิดมาทำไม อะไรทำนองนั้นเลยค่ะ อยากหาที่ตายเงียบๆ อยากหายสาบสูญไปให้มันพ้นๆ แต่ก็เป็นความคิดเดิมๆค่ะ ไม่มีอะไรพิเศษ
เราไปเที่ยวอนุสาวรีย์ซักที่แถวทะเลค่ะ แล้วเราก็ยืนมองคลื่น พ่อแม่ที่เหมือนจะดีกันแล้วก็ยืนอยู่ด้วย ตรงนั้นมันไม่มีรั้วค่ะ แล้วอยู่สูงกว่าทะเลประมาณห้าสิบเซน ตอนนั้นในหัวเรามันเริ่มแล่นค่ะ คิดไปว่า
ถ้ากระโดดลงไป จะมีใครไปช่วยชั้นมั้ยนะ ถ้าตายตรงนี้ จะทรมานมากไหม
(เราเคยอ่านวิธีการตายมาเยอะค่ะ การจมนํ้าก็เป็นวิธีที่ทรมาน เพราะเราเองก็เคยจมนํ้าตอนเด็กๆ) เรามองไปเรื่อยๆค่ะ มองฟ้า มองคลื่น จนสุดท้ายมันมีความคิดว่า ถ้ากระโดดลงไปตรงนี้ ยังไงก็ไม่ตายสงบๆแน่ ไม่อยากให้เดือดร้อนนักท่องเที่ยวคนอื่น ไม่อยากให้ทุกคนแตกตื่น เราก็คิดแบบนั้น แล้วก็แบบ เออ ไม่เห็นต้องตายเลย ก็ยังคิดว่าพ่อแม่ก็คงเสียใจมาก เลยไม่ทำค่ะ
วันต่อมาคือวันเกิดเราค่ะ
วันนี้คือชี้ชะตา แบบชัดๆ แย่สุดอะไรสุด คือคิดฟุ้งซ่านมากๆ คือบ้านเราเองเราก็จะรู้จักที่ทางต่างๆ แล้วเราก็รู้ว่าดาดฟ้ามันล็อก ก็เลยคิดจะเขียนจดหมายลาตาย แล้วตอนดึกๆก็ค่อยแอบไปเอากุญแจมาเปิดประตู
ละคือคืนวันที่14เราฝันไง ว่าประตูไม่ล็อก เราเดินไปที่ดาดฟ้า นั่งแกว่งขาที่ขอบดาดฟ้าแล้วโดด มันเหมือนดูหนังเลย จนกระทั่งเห็นตัวเองตกไปอยู่ที่พื้นนั่นแหละ ทรมานค่ะ เป็นฝันที่เหมือนจริงมาก เจ็บแบบที่ไม่เคยเจ็บ
เคยได้ยินคำว่าหายใจแล้วรู้สึกเหมือนมีเศษแก้วในปอดไหมคะ หรือมีเม็ดทรายอยู่ข้างใน มันหายใจไม่ออก ขัด ทรมาน แต่แปลกดีที่เราไม่กลัวแฮะ ทั้งที่เห็นตัวเองตายทรมานขนาดนั้น
วันที่ 15 ผิดคาดค่ะ เราไม่ได้เขียนจดหมายลาตายเพราะมัวแต่นอนซึมๆ เรากอดพ่อกับแม่ กอดนานกว่าปกติ แต่ก็พยายามทำตัวสบายๆ จนตอนเย็นครอบครัวทะเลาะกัน แล้วเหมือนอะไรในใจเรามันขาดผึงตรงนั้น
เราอาศัยช่วงพ่อแม่ไปอยู่ส่วนอื่นของบ้านเดินจํ้าขึ้นบันไดไปค่ะ ไม่สนด้วยว่าดาดฟ้าล็อกรึเปล่า จนเราไปนั่งกอดเข่าอยู่หน้าประตูดาดฟ้าค่ะ แล้วก็นั่งเหม่อพักใหญ่ ในหัวเราได้ยินเสียงวี้ดยาวๆ ปวดหัว ปวดท้อง มึนไปหมด สติก็ไม่อยู่กับตัว เรามองประตู แล้วก็คิดว่า อือ มันคงล็อกแหละ แต่ไม่ค่ะ
ประตูดาดฟ้าไม่ล็อก...
เราเปิดประตูออก เดินเท้าเปล่าไปที่จุดที่เราเห็นในฝัน เรานั่งลง ก่อนจะมองไปข้างล่าง ตอนนั้นเป็นเวลาประมาณหกโมงกว่าๆ ฟ้ายังมีแสงอยู่ เราเห็นรถขับไปมา แล้วก็เหม่อต่อไป จนเราได้ยินเสียงโวยวายจากข้างล่างค่ะ พ่อแม่คงรู้แล้วแหละว่าเราหาย แล้วก็มีเสียงปึงปังขึ้นมา) ตอนนั้นเรามีความคิดสองอย่างค่ะ
กระโดดตอนนี้ หรือหยุด
สุดท้ายเราเดินกลับไปนั่งรอค่ะ นั่งพิงราวบันได แล้วก็มองข้างล่าง ได้ยินพ่อบอกว่า ถ้าเราไปจริงๆ ก็ต้องปล่อย เหมือนแม่จะเป็นบ้าไปตรงนั้นแล้ว ตอนนั้นเราก็นิ่ง แล้วก็คิดไปว่า งั้นหรอ แล้วเราก็เดินลงไปข้างล่างค่ะ ทิ้งดาดฟ้าตรงนั้นไว้ เดินผ่านพ่อแม่ที่ถามว่าเราคิดจะทำอะไร เรายิ้มค่ะ แล้วบอกว่าแค่อยากขึ้นมาเฉยๆ แล้วเดินสวนลงไปเลยค่ะ
พอถึงชั้นหนึ่ง เราสั่นมาก ตัวสั่น ใจสั่น อาจจะเป็นสัญชาตญาณของมนุษย์ที่ต่อต้านความคิดที่จะตาย เราเดินเข้าไปหาพี่ กอดพี่แน่นโคตรๆ มั้งที่เราเกลียดพี่คนนี้มาตลอด พี่ชายที่ไม่เคยทำตัวเป็นพี่ พี่ที่
แต่เค้าเหมือนที่พึ่งสุดท้ายของเราค่ะ เรากอดพี่ เราบ่นอะไรไม่รู้ที่จำไม่ได้ ประมาณว่า ขอโทษนะ ขอโทษ ซํ้าๆอยู่แบบนั้นค่ะ ร้องไห้ฟูมฟายจนหอบ แบบหยุดสะอื้นไม่ได้เลยค่ะ จากนั้นพ่อแม่ก็มาปลอบเรา จนทุกอย่างมันจบไปแบบเงียบๆ
หลังจากนั้นพ่อแม่พาเราไปหาหมอค่ะ ได้รับยากดประสาทและยาคลายกล้ามเนื้อมาทานค่ะ เทคแคร์เราดีมาก แต่อาการเราไม่ได้ดีค่ะ ถ้าเราไม่หลับเพราะยา เราก็ยังคิดฟุ้งซ่านอยู่ ยังคิดจะตาย ยังอยากตาย ยังเกลีดยตัวเอง ยังคิดว่าถ้าย้อนเวลาไปได้จะทำอย่างนี้ ยังคิดว่าฉันทำแต่เรื่องผิดพลาดมาตลอด ทำนองนั้น และเรามีอาการปวดท้องเป็นพักๆ ปวดจนนอนไม่ได้ แล้วก็ปวดหัวข้างเดียวร่วมไปด้วยเหมือนมาเป็นแพ็คเสริม
ในวันรับเกรดค่ะ เกรดเราตกจริงอย่างที่คาดไว้ แต่ไม่รู้สิ มีเรื่องนิดหน่อยในวันนั้นที่ทำให้เราอาการกำเริบขึ้น เราไปที่เรียนพิเศษ(คนละที่กับของต้นบทความ) แล้วปวดท้องจนไม่ไหว พ่อก็กลับบ้านไปแล้ว เราก็เลยเดินไปจะซื้อยากินค่ะ
ตอนข้ามถนน เป็นสี่แยกไฟแดง เราดันเหม่อค่ะ เรื่องนี้ไม่ได้เล่าให้ทีาบ้านฟัง เราเหม่อตอนข้ามถนนจนเกือบโดนรถเฉี่ยว พี่วินมอไซแถวนั้นเค้าเลยรีบจูงเราข้ามถนน แล้วเราก็เดินมึนๆไปซื้อยากลับมากินโดยที่ไม่ได้เข้าไปเรียน (เรียนกะคอมน่ะ)
สองสามวันต่อมาหลังเปิดเทอม เรายังปวดท้องอยู่เรื่อยๆ จนกระทั่งในเช้าวันนั้นที่เราปวดมากกว่าปกติ ปวดจนต้องขอไปโรงพยาบาลเลยค่ะ พ่อเราก็เครียด แม่เราก็เครียด เพราะตอนนั้นมันเช้ามากๆเพิ่งจะตีสี่ตีห้า เราก็ทน ส่งข้อความไปบอกเพื่อนให้ฝากเก็บงานให้หน่อย แต่ก็คิดว่าหาหมอเสร็จคงไม่มีอะไรมาก น่าจะกลับมาเรียนทัน
พอไปโรงพยาบาล ในที่สุดเราก็รู้ค่ะว่าเราปวดท้องเพราะอะไร เราโดนเจาะเลือด โดนส่องกล้องเข้าไปทางปาก ยาสลบที่กว่าเราจะสลบก็ส่องกล้องจะเสร็จอยู่แล้ว พอตื่นมาก็มึนไปหมด แสบคอด้วย;-;
หมอบอกว่า เรากระเพาะอาหารอักเสบค่ะ แต่แผลเล็กมาก แต่เค้าพูดว่าเราน่ะ มีความเครียดที่สูง ต้องฉีดยาสลบซํ้าเพราะเราไม่หลับเลยตอนที่ทำ หัตถการ แล้วเราก็แบบ อือ จริง โคตรเจ็บ แล้วผลเลือดก็บอกว่าเราเม็ดเลือดเล็ก เกล็ดเลือดตํ่าอะไรทำนองนั้น ซึ่งหมอก็ให้คำปรึกษาในเรื่องการจัดการความเครียด แล้วก็จัดยาให้เยอะมาก(จะเครียดขึ้นเพราะต้องกินยานี่แหละ)
ในช่วงปีใหม่ เราไปเที่ยวน่านค่ะ ครูที่เรียนพิเศษที่เราหยุดไปเค้าโทรมา โทรมาตอนที่กำลังนั่งรถตู้เลย แล้วเราที่ยังป่วยๆอยู่ก็มีอาการปวดท้อง (ยัดอีโนเข้าไปสองสามซองเพราะไม่อยากอ้วกให้ใครเห็น)
เราก็อยากบอกเค้านะว่าหนูขอโทษ หนูไม่ได้เกลียดครู หนูผิดเองที่เป็นบ้าอะไรไม่รู้ แต่สุดท้ายเราก็ยังไม่มีโอกาสค่ะ(จนตอนนี้เค้าก็คงยังงงอยู่ว่าเราเป็นอะไร เพราะเราเรียนกะเค้ามาค่อนข้างนาน สนิทกันแบบคุยเล่นกันได้)
แล้วการเที่ยวของเราก็สนุกไม่เต็มที่ค่ะ มันยังมีอาการบ้าของเราที่จะเดินไปให้รถชน หนีพ่อแม่หายไปในตลาด คิดว่าจะกระโดดนํ้า คิดมากจนปวดท้องอย่างหนัก เกือบจะต้องเข้าโรงพยาบาลที่น่านอยู่แล้ว จนเราไปสงบตอนขากลับที่แถวๆสุโขทัยค่ะ
จากนั้นก็อาการทรงๆทรุดๆ จนปิดเทอมขึ้นม.4 และมีโควิดระบาดหนัก ตอนนั้นเราดีขี้นเยอะมากๆ เพราะการใส่ใจของครองครัว แต่พอมาเปิดเรียนอีกครั้ง เราก็กลับมาเป็นอีก จนเป็นที่มาของกระทู้นี้แหละค่ะ
อยากนอนทั้งวัน ไม่อยากทำอะไร ซึม เบื่อ ปวดหัวปวดท้องสลับกันเวลามีเรื่องตึงเครียด แพนิคง่ายกะเรื่องเล็กน้อย แต่ที่เราได้มาคือความนิ่งขึ้น ไม่ร้องไห้เวลาเศร้าแล้ว แต่แค่ถอนหายใจเบื่อๆแทน อาการอยากตายก็มาเรื่อยๆ แต่เหมือนเป็นความคิดที่ชินแล้ว ไม่ตายก็ไม่ตาย หรือจะตายก็ดี ไม่คิดจะฆ่าหรือทำร้ายตัวเอง แต่ก็หวังลึกๆให้เกิดอุบัติเหตุกับตัวเอง
เรามีที่ประจำคือดาดฟ้า และมุมห้อง จนตอนนี้ได้ห้องของตัวเองมาเลยได้เซฟโซนแห่งใหม่ เรามีเพื่อนใหม่ที่น่ารัก และมีเพื่อนสนิทที่มาจากกลุ่มม.3 เราเรียนแย่ลง แต่เราก็เริ่มชิน เราเขียนนิยายในแนวที่เป็นโศกนาฏกรรมมากกว่าความรักสดใสที่เคยเขียน
เราเปลี่ยนไปเยอะจริงๆ กับเรื่องที่ผ่านมา
เรายังรักตัวเอง เรายังรักครอบครัว แต่เราเห็นแก่ตัวพอที่จะทิ้งพวกเค้า
เราเป็นพวกรักสงบค่ะ มีความทะเยอทะยาน แต่ขี้เกียจเกินกว่าจะทำ
เราใช้ชีวิตแบบนี้แหละค่ะ อยากหาทางจบมันลงไปแบบวินๆ
นี่ยังคิดว่าจะเรียนจบ ทำงานซักปีให้เป็นประโยชน์กับสังคมก่อนจะหาที่เงียบๆตาย
กำหนดความตายที่แน่นอนเอาไว้เพื่อให้ตัวเองมีเป้าหมายในการใช้ชีวิตไปก่อน
นี่คือความคิดของเด็กม.4คนนึงค่ะ ได้โปรดบอกเราที ว่าเราควรจะทำยังไงให้หลุดพ้นจากความคิดบ้าๆพรรค์นี้สักที
ขอบคุณทุกคนที่อ่านมาถึงตรงนี้นะคะ จะมองว่าเป็นนิยายชีวิตซักเรื่องก็ได้ เราเองก็จมกับเรื่องราวพวกนี้มาตลอด คิดว่าถ้าได้ระบายออกมา มันคงจะดีขึ้น
เราระบายกับที่บ้านไม่ได้ค่ะ พวกเค้าห่วงเรามากพอแล้ว เรารู้สึกผิดที่ทำแบบนั้น แต่ถ้าย้อนเวลากลับไป เราก็ยังคิดว่าจะขึ้นไปที่ดาดฟ้าอยู่ดี...