สามารถรับฟังและชมภาพประกอบได้ตามคลิปเลยนะครับ
สวัสดีครับ มีเรื่องไรเล่า ในตอนนี้จะเป็นเรื่องราว ชีวประวัติ ของคุณหมอท่านหนึ่ง ซึ่งท่านได้วางรากฐานระบบสาธารณสุข
ของประเทศญี่ปุ่นและครั้งหนึ่งใครจะไปคิดละครับว่าคุณหมอท่านนี้ จะใช้ เจ้าแมวเหมียว เป็นผู้ป้องกันละปราบปรามไม่ให้เกิดโรคระบาดในประเทศญี่ปุ่นได้
ตอน คิตะซาโตะ ชิบะซาบุโร ผู้ใช้กองทัพแมวเหมียว ปราบโรคระบาด
คุณ คิตะซาโตะ ชิบะซาบุโร เขาเกิดในวันที่ 29 ม.ค 1853ที่หมู่บ้านเล็กๆ ในจังหวัดคุมาโมโตะ หลังจากที่เขาเกิดได้
1ปีก็เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในประเทศญี่ปุ่น ทางประเทศสหรัฐอเมริกาได้ส่ง กัปตันเรือ แมทิว เพอรี่
มาทำสนธิสัญญา คะนะงะวะ ในปี 1854 เพื่อบังคับให้ญี่ปุ่นเปิดประเทศ
ตรงนี้ผมขออธิบาย บริบทในช่วงเวลานั้นสักนิดนะครับเพราะมันจะมีผลต่อ การดำเนินชีวิตของคุณ คิตะซาโตะ
ในช่วงเวลาก่อนปี1854นั้นประเทศญี่ปุ่นได้ทำการปิดประเทศตัวเองมา กว่า 200ปี คือเขาไม่ทำมาค้าขายกับใครเลยไม่ให้
กองเรือของชาติใดมาขึ้นฝั่ง แต่ที่ญี่ปุ่นต้องยอมให้กับกองเรือของสหรัฐอเมริกา ในช่วงเวลานั้นก็เป็นเพราะว่า
เทคโนโลยี แสนยานุภาพทางทหารของอเมริกานั้นเหนือกว่าญี่ปุ่นมาก
ให้เห็นภาพง่ายๆ เลยนะครับ สมัยนั้น อเมริกาใช้เรือรบเป็นเครื่องจักรไอน้ำแล้วนะครับ แต่ญี่ปุ่นยังไม่มีกองเรือรบที่
ทันสมัยจะป้องกันประเทศตัวเองได้เลย
ทางรัฐบาลของญี่ปุ่นในสมัยนั้น จึงประเมินสถานการณ์แล้วว่าสู้ไม่ได้ จึงจำเป็นต้องเปิดประเทศ แต่ไม่เพียงเท่านั้นในการเปิด
ประเทศในครั้งนี่ ญี่ปุ่นก็ยังหวังที่จะได้เรียนรู้วิทยาการ เทคโนโลยีทางทหารจาก อเมริกา และชาติตะวันตกอื่นๆ อีกด้วย
เพื่อจะได้นำมาพัฒนาประเทศต่อไปในภายภาคหน้า
.......มาต่อกันที่เรื่องราวของคุณ คิตะซาโตะกันต่อ ครับ ในช่วงวัยเด็กจนโต ก็จะออกเป็นเด็กเกเรไม่ค่อยสนใจในการเรียน
หนังสือ จนทำให้พ่อของเขาที่เป็นถึงผู้ใหญ่บ้านในสมัยนั้น ถึงกับเอือมระอากับลูกชายคนนี้
แต่แล้วในปี 1871 คุณ คิตะซาโตะ ก็สามารถสอบติดและได้เข้าไปเรียนในโรงเรียนแพทย์ของจังหวัดคุมาโมโตะได้ งง???
กันไหมครับ เด็กที่ไม่ค่อยตั้งใจเรียนแต่กลับ สอบติดโรงเรียนแพทย์ได้ วิชาทางการแพทย์นั้นไม่ใช่ว่าจะเรียนกันได้ง่ายๆ
ในทุกยุคทุกสมัย แต่คุณ คิตะซาโตะกลับสอบติด
ผมก็ไม่รู้ว่านี้เป็นพรสวรรค์หรือเป็นพรแสวงของเขากันแน่
เพราะจริงๆ แล้วคุณ คิตะซาโตะนั้นไม่ได้มีความคิดที่อยากจะเป็นหมอเลยแม้แต่น้อย แต่เขาให้ความสนใจในเรื่อง
วิชาการ วัฒนธรรม ภาษา เทคโนโลยี ต่างๆ ของชาติตะวันตกเป็นอย่างมาก
แล้วในสมัยนั้น ถ้าหากใครสนที่อยากจะเรียนรู้ วิชาการต่างๆ เกี่ยวกับชาติตะวันตกนั้น จะต้องเข้าเรียนทางด้าน
การแพทย์เท่านั้นถึงจะมีการเรียนการสอน
และด้วยนิสัยส่วนตัวของคุณ คิตะซโตะนั้น จริงๆ แล้วเขาเป็นคนที่เมื่อสนใจอะไรแล้ว
เขาก็มักจะไปให้สุดในเรื่องที่เขาสนใจ และนี้เองคงเป็นแรงผลักดันให้เขาเลือกเรียนต่อในโรงเรียนแพทย์
ในช่วงปีแรกที่เข้าเรียนในโรงเรียนแพทย์ คุณ คิตะซาโตะ ก็คงเป็นเหมือนเดิม คือเขาไม่ค่อยสนใจเรียน
ในวิชาการทางการแพทย์เท่าไหร่นัก แต่ก็สามารถทำข้อสอบหรือเรียนพอผ่านๆ เอาตัวรอดไปได้ แต่แล้ว คิตะซาโตะ
ก็ได้ไปพบกับ อาจารย์ชาวดัตช์ ที่ได้ให้ข้อคิดและจะทำให้เขาเปลี่ยนแปลงทัศนคติเกี่ยวกับวิชาการทางการแพทย์
อาจารย์ชาวดัตช์ ท่านนี้สังเกตเห็นมาโดยตลอดว่า ตัวของคุณ คิตะซาโตะนั้น ไม่ค่อยตั้งใจเรียนในวิชาแพทย์
แต่ก็กลับมองเห็นถึงพรสวรรค์อะไรบางอย่าง ด้วยเช่นกัน
วันหนึ่งอาจารย์ชาวดัตช์ ท่านนี้จึงได้ถามกับคุณ คิตะซาโตะ ว่า
“นี้เธอตั้งใจจะมาเรียนเพื่อไปเป็นหมอ จริงๆ หรอ???”
คุณคิตะซาโตะ จึงได้ตอบ ถึงความตั้งใจที่แท้จริงของเขาไปกับอาจารย์ชาวดัตช์ว่า
“จริงๆ แล้วตั้งแต่เด็กจนโต ผมไม่เคยอยากที่จะเป็นหมอเลย ผมมีความฝันที่อยากจะเป็นทหารเพื่อรับใช้ชาติ แต่ที่เข้ามาเรียน
ในวิชาแพทย์นั้น เป็นเพราะผมสนใจสิ่งที่เกี่ยวกับ อารยธรรม ตะวันตกเสียมากกว่า”
ก็อย่างที่ผมบอกไปในตอนต้นนะครับพอญี่ปุ่นพอเปิดประเทศแล้ว วัฒนธรรม ทางตะวันตกก็หลั่งไหลเข้ามาในประเทศญี่ปุ่นเป็น
อย่างมากในช่วงเวลานั้น
แม้อาจารย์ชาวดัตช์จะได้ยินคำตอบกลับ มาเช่นนั้น เขาก็ได้ตอบกลับไปด้วยข้อคิดดีๆ ที่ทำให้คุณคิตะซาโตะได้ตระหนักถึงความ
สำคัญของวิชาแพทย์ไปว่า
“การที่ลูกผู้ชายคนหนึ่ง จะไปเป็นทหารรับใช้ชาติ สมดังที่ตั้งใจเอาไว้นั้นก็เป็นเรื่องที่ดี แต่วิชาแพทย์จำเป็นต้องค้นคว้า
วิจัยอย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยชีวิตมนุษย์
ย่อมไม่ใช่วิชาที่ไร้ค่าอย่างแน่นอน เมื่อเธอได้มีโอกาสเข้ามาเรียนวิชาแพทย์แล้ว ก็ขอให้นำวิชาการที่ได้เล่าเรียนมาเหล่านี้
นำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ได้บ้าง”
ถึงแม้คำพูดของอาจารย์ ชาวดัตช์ในวันนั้น คุณคิตะซาโตะ จะไม่ได้สนใจและใส่ใจมากนัก แต่มันก็เป็นคำพูดที่เขาไม่เคยลืม
และยึดถือ นำมาปรับในใช้ชีวิตและการทำงานทางการแพทย์ในเวลาต่อมา
ต่อมาคุณ คิตะซาโตะ ก็ได้ร่ำเรียน วิชาทางการแพทย์ ต่อเรื่อยมาอีกสักระยะ จนกระทั่งเขาก็ได้มาพบกับจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ
ในชีวิต เมื่อเขาได้เรียนรู้เกี่ยวกับการใช้กล้องจุลทรรศน์ มันเป็นเหมือนกับการเปิดโลกใบใหม่ ทุกครั้งที่เขาได้ส่องกล้องจุลทรรศน์
มันทำให้เขารู้สึกตื่นเต้น เมื่อได้มองเห็นถึงโลกแห่งความลึกลับ
ของเจ้าแบคทีเรีย เขาเริ่มรู้สึกทึ่ง มากว่าวิชาการทางการแพทย์นั้น มันช่างน่าอัศจรรย์จริงๆ และยังมีหลายสิ่งหลายอย่าง
ที่ยังรอให้เขาได้เรียนรู้อยู่อีกมากมาย
ก็อย่าที่ผมบอกไปแล้วนะครับว่าคุณ คิตะซาโตะนี้พอเขาได้สนใจอะไรแล้วเขาก็มักจะต้องไปมันให้สุด ในทุกๆ เรื่องที่เขาสนใจ
จากคนที่ไม่ค่อยตั้งใจเรียนในวิชาทางการแพทย์ ในตอนนี้กลับกลายเป็นว่าคุณ คิตะซาโตะ กลับให้ความสนใจเรียนทาง
ด้านการแพทย์ อย่างหนัก
จนเขาสามารถสอบเข้าเรียนต่อ มหาวิทยาลัยแพทย์ที่ดีที่สุดของประเทศในช่วงเวลานั้น อย่าง
มหาวิทยาลัยทางการแพทย์โตเกียวได้
คุณคิตะซาโตะ ในขณะที่เรียนวิชาแพทย์ อยู่ตอนนั้นเขาก็มักจะให้ความสนใจในเรื่องวิชาการทางการแพทย์สมัยใหม่
เสียเป็นส่วนมากวิชาการทางการแพทย์สมัยใหม่ในยุคนั้นก็จะเน้นการป้องกันไม่ให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บกับผู้คน
เมื่อไม่เกิดโรคก็จะได้ไม่ต้องมารักษาโรคกันที่หลัง
ในยุคนั้นผู้นำวิชาการทางการแพทย์สมัยใหม่ นั้นต้องยกให้กับประเทศเยอรมัน คุณคิตะซาโตะในช่วงเวลานั้นเขาจึงต้อง
คร่ำเคร่งกับการเรียนภาษาเยอรมันมากเป็นพิเศษ โดยที่เขามีเป้าหมายว่าสักวันเขาจะต้องไปเรียนต่อวิชาทางการแพทย์
ที่ประเทศเยอรมันให้ได้
หลังจากที่เรียนจบจากมหาวิทยาลัยทางการแพทย์ที่โตเกียวแล้ว คุณหมอ คิตะซาโตะก็ได้มีโอกาสเข้าทำงานในตำแหน่งผู้อำนวย
การโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง พอได้ทำงานไปได้สักระยะ คุณหมอก็ได้หันหลังให้กับตำแหน่งงาน ดังกล่าวแล้วเข้าไปทำงานที่
กรมอนามัยซึ่งเป็นหน่วยงานของภาครัฐ ที่มีเงินเดือนน้อยกว่าในตำแหน่งผู้อำนวยการโรงพยาบาลเป็นอย่างมาก
แต่ที่นี่เขาได้นำความรู้และความสามารถมาใช้ให้เกิดประโยชน์กับประเทศได้มากกว่า
ในปี 1885 เขาก็ได้รับทุนให้ไปเรียนต่อที่สถาบัน ทางการแพทย์ประเทศเยอรมนี สมดังใจที่เขาได้หวังเอาไว้
ที่สถาบันทางการแพทย์ของประเทศเยอรมนีในขณะนั้น ก็ได้มีนักวิทยาแบคทีเรียที่มีชื่อเสียงโดงดังในสมัยนั้น
อย่าง ดร.โรแบร์ท ค็อค ทำงานอยู่ด้วย
หลังจากที่เรียนไปได้อยู่สองปี คุณหมอคุณคิตะซาโตะก็ได้ถูก ดร.โรแบร์ท ค็อค ดึงเข้าไปร่วมทำวิจัยเกี่ยวกับเชื้อบาดทะยัก
คุณ หมอคิตะซาโตะ เป็นคนเอเชียเพียงคนเดียวที่ได้ร่วมทีมวิจัยในครั้งนี้ ในสมัยนั้นนะครับ ตัวเชื้อบาดทะยักนี้มันยังไม่มีทางรักษา
ให้หายได้ไม่มีวัคซีนป้องกันอะไรได้เลยอีกด้วย เรียกว่าเป็นเชื้อที่อันตรายมากๆ ในยุคนั้น
คุณหมอเคิตะซาโตะ เมื่อได้รับโอกาสในการทำงานวิจัยเกี่ยวกับเจ้าเชื้อบาดทะยักนี้ มันเป็นสิ่งที่ท้าทายในความสามารถของ
เขาเป็นอย่างมากในการที่จะเอาชนะเชื้อโรคร้ายนี้ ตัวเขาได้ทุ่มเททำงานอย่างหามรุ่งหามค่ำ ในการทำงานวิจัยการรักษาและ
ป้องกันเชื้อบาดทะยัก จนเป็นที่ร่ำลือ กันในสถาบันวิจัยแห่งนี้ว่า ชายชาวญี่ปุ่นคนนี้ เขาทำงานอย่างหนัก จนไม่ได้ไปไหนเลย
นอกจากบ้านพัก กับสถาบันวิจัย
แต่ว่าเจ้าเชื้อบาดทะยัก ณ เวลานั้น มันยังคงเป็นเชื้อโรคที่เต็มไปด้วยปริศนา ยากที่เพาะเชื้อในห้องทดลอง
เพื่อหาทางฆ่าเชื้อบาดทะยักได้
จนถึงขนาดที่ว่า นักแบคทีเรียหลายๆ คนที่ร่วมงานกับเขาได้ถอดใจ และคิดว่าในตอนนั้นคงไม่สามารถที่จะเพาะเจ้าเชื้อโรคนี้ได้
แต่ด้วยความที่ ดื้อรั้นและเมื่อคุณหมอคิตะซาโตะ ถ้าได้สนใจหรือทำอะไรแล้ว ก็จะต้องทำให้สุด
เขาก็ยังคงทำงานวิจัยเพาะเชื้อ บาดทะยักนี้ต่อไป ถึงแม้ว่าผู้คนรอบข้างตัวเขาในสถาบันวิจัย จะมองว่า เขาทำไปก็เสียเวลาโดย
เปล่าประโยชน์ เขายังคงสู้ไม่ถอยเพื่อจะเอาชนะกับเจ้าเชื้อร้ายนี้
ในปี 1889
คุณหมอคิตะซาโตะ ก็สามารถเพาะเชื้อบาดทะยักในห้องทดลองได้สำเร็จเป็นคนแรก ของโลก อีกด้วย เมื่อเพาะเชื้อ
ในห้องทดลองได้สำเร็จ ก็สามารถหาวิธีการกำจัดเชื้อบาดทะยักได้ในที่สุด และในการค้นพบในครั้งนี้ ยังทำให้คุณหมอคิตะซาโตะ
ยังได้ค้นพบวิธีการทำวัคซีน แบบที่ฉีดเชื้อโรคเข้าไปในตัวของสัตว์
แล้วให้สัตว์สร้างภูมิคุ้มกัน แล้วจากนั้นก็นำ เอาภูมิคุ้มกันจากสัตว์ มาฉีดใส่คนอีกที่
จากผลงานนี้คุณหมอ คิตะซาโตะจึงมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก และในปี 1890 เขาก็ได้ถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลโนเบล
แต่ก็พลาดรางวัลไปอย่างน่าเสียดายในช่วงเวลานั้น คุณหมอ คิตะซาโตะ เรียกได้ว่าเป็นหมอนักวิจัยแถวหน้าระดับโลกที่หลายๆ
สถาบันวิจัยหรือมหาวิทยาลัยทางการแพทย์ต่างๆ ทั่วโลก ต้องการตัวไปทำงานด้วย ชื่อเสียงและเงินทองต่างหลั่งไหล
เข้ามาหาเขามากมายแต่ทว่าเขากลับทิ้งสิ่งเหล่านั้นและเลือกที่จะกลับไปทำงานที่ประเทศญี่ปุ่น
ซึ่งเป็นบ้านเกิดของเขาในปี 1891
คุณหมอ คิตะซาโตะ ผู้ใช้กองทัพแมวเหมียวปราบโรคระบาด
สวัสดีครับ มีเรื่องไรเล่า ในตอนนี้จะเป็นเรื่องราว ชีวประวัติ ของคุณหมอท่านหนึ่ง ซึ่งท่านได้วางรากฐานระบบสาธารณสุข
ของประเทศญี่ปุ่นและครั้งหนึ่งใครจะไปคิดละครับว่าคุณหมอท่านนี้ จะใช้ เจ้าแมวเหมียว เป็นผู้ป้องกันละปราบปรามไม่ให้เกิดโรคระบาดในประเทศญี่ปุ่นได้
ตอน คิตะซาโตะ ชิบะซาบุโร ผู้ใช้กองทัพแมวเหมียว ปราบโรคระบาด
คุณ คิตะซาโตะ ชิบะซาบุโร เขาเกิดในวันที่ 29 ม.ค 1853ที่หมู่บ้านเล็กๆ ในจังหวัดคุมาโมโตะ หลังจากที่เขาเกิดได้
1ปีก็เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในประเทศญี่ปุ่น ทางประเทศสหรัฐอเมริกาได้ส่ง กัปตันเรือ แมทิว เพอรี่
มาทำสนธิสัญญา คะนะงะวะ ในปี 1854 เพื่อบังคับให้ญี่ปุ่นเปิดประเทศ
ตรงนี้ผมขออธิบาย บริบทในช่วงเวลานั้นสักนิดนะครับเพราะมันจะมีผลต่อ การดำเนินชีวิตของคุณ คิตะซาโตะ
ในช่วงเวลาก่อนปี1854นั้นประเทศญี่ปุ่นได้ทำการปิดประเทศตัวเองมา กว่า 200ปี คือเขาไม่ทำมาค้าขายกับใครเลยไม่ให้
กองเรือของชาติใดมาขึ้นฝั่ง แต่ที่ญี่ปุ่นต้องยอมให้กับกองเรือของสหรัฐอเมริกา ในช่วงเวลานั้นก็เป็นเพราะว่า
เทคโนโลยี แสนยานุภาพทางทหารของอเมริกานั้นเหนือกว่าญี่ปุ่นมาก
ให้เห็นภาพง่ายๆ เลยนะครับ สมัยนั้น อเมริกาใช้เรือรบเป็นเครื่องจักรไอน้ำแล้วนะครับ แต่ญี่ปุ่นยังไม่มีกองเรือรบที่
ทันสมัยจะป้องกันประเทศตัวเองได้เลย
ทางรัฐบาลของญี่ปุ่นในสมัยนั้น จึงประเมินสถานการณ์แล้วว่าสู้ไม่ได้ จึงจำเป็นต้องเปิดประเทศ แต่ไม่เพียงเท่านั้นในการเปิด
ประเทศในครั้งนี่ ญี่ปุ่นก็ยังหวังที่จะได้เรียนรู้วิทยาการ เทคโนโลยีทางทหารจาก อเมริกา และชาติตะวันตกอื่นๆ อีกด้วย
เพื่อจะได้นำมาพัฒนาประเทศต่อไปในภายภาคหน้า
.......มาต่อกันที่เรื่องราวของคุณ คิตะซาโตะกันต่อ ครับ ในช่วงวัยเด็กจนโต ก็จะออกเป็นเด็กเกเรไม่ค่อยสนใจในการเรียน
หนังสือ จนทำให้พ่อของเขาที่เป็นถึงผู้ใหญ่บ้านในสมัยนั้น ถึงกับเอือมระอากับลูกชายคนนี้
แต่แล้วในปี 1871 คุณ คิตะซาโตะ ก็สามารถสอบติดและได้เข้าไปเรียนในโรงเรียนแพทย์ของจังหวัดคุมาโมโตะได้ งง???
กันไหมครับ เด็กที่ไม่ค่อยตั้งใจเรียนแต่กลับ สอบติดโรงเรียนแพทย์ได้ วิชาทางการแพทย์นั้นไม่ใช่ว่าจะเรียนกันได้ง่ายๆ
ในทุกยุคทุกสมัย แต่คุณ คิตะซาโตะกลับสอบติด
ผมก็ไม่รู้ว่านี้เป็นพรสวรรค์หรือเป็นพรแสวงของเขากันแน่
เพราะจริงๆ แล้วคุณ คิตะซาโตะนั้นไม่ได้มีความคิดที่อยากจะเป็นหมอเลยแม้แต่น้อย แต่เขาให้ความสนใจในเรื่อง
วิชาการ วัฒนธรรม ภาษา เทคโนโลยี ต่างๆ ของชาติตะวันตกเป็นอย่างมาก
แล้วในสมัยนั้น ถ้าหากใครสนที่อยากจะเรียนรู้ วิชาการต่างๆ เกี่ยวกับชาติตะวันตกนั้น จะต้องเข้าเรียนทางด้าน
การแพทย์เท่านั้นถึงจะมีการเรียนการสอน
และด้วยนิสัยส่วนตัวของคุณ คิตะซโตะนั้น จริงๆ แล้วเขาเป็นคนที่เมื่อสนใจอะไรแล้ว
เขาก็มักจะไปให้สุดในเรื่องที่เขาสนใจ และนี้เองคงเป็นแรงผลักดันให้เขาเลือกเรียนต่อในโรงเรียนแพทย์
ในช่วงปีแรกที่เข้าเรียนในโรงเรียนแพทย์ คุณ คิตะซาโตะ ก็คงเป็นเหมือนเดิม คือเขาไม่ค่อยสนใจเรียน
ในวิชาการทางการแพทย์เท่าไหร่นัก แต่ก็สามารถทำข้อสอบหรือเรียนพอผ่านๆ เอาตัวรอดไปได้ แต่แล้ว คิตะซาโตะ
ก็ได้ไปพบกับ อาจารย์ชาวดัตช์ ที่ได้ให้ข้อคิดและจะทำให้เขาเปลี่ยนแปลงทัศนคติเกี่ยวกับวิชาการทางการแพทย์
อาจารย์ชาวดัตช์ ท่านนี้สังเกตเห็นมาโดยตลอดว่า ตัวของคุณ คิตะซาโตะนั้น ไม่ค่อยตั้งใจเรียนในวิชาแพทย์
แต่ก็กลับมองเห็นถึงพรสวรรค์อะไรบางอย่าง ด้วยเช่นกัน
วันหนึ่งอาจารย์ชาวดัตช์ ท่านนี้จึงได้ถามกับคุณ คิตะซาโตะ ว่า
“นี้เธอตั้งใจจะมาเรียนเพื่อไปเป็นหมอ จริงๆ หรอ???”
คุณคิตะซาโตะ จึงได้ตอบ ถึงความตั้งใจที่แท้จริงของเขาไปกับอาจารย์ชาวดัตช์ว่า
“จริงๆ แล้วตั้งแต่เด็กจนโต ผมไม่เคยอยากที่จะเป็นหมอเลย ผมมีความฝันที่อยากจะเป็นทหารเพื่อรับใช้ชาติ แต่ที่เข้ามาเรียน
ในวิชาแพทย์นั้น เป็นเพราะผมสนใจสิ่งที่เกี่ยวกับ อารยธรรม ตะวันตกเสียมากกว่า”
ก็อย่างที่ผมบอกไปในตอนต้นนะครับพอญี่ปุ่นพอเปิดประเทศแล้ว วัฒนธรรม ทางตะวันตกก็หลั่งไหลเข้ามาในประเทศญี่ปุ่นเป็น
อย่างมากในช่วงเวลานั้น
แม้อาจารย์ชาวดัตช์จะได้ยินคำตอบกลับ มาเช่นนั้น เขาก็ได้ตอบกลับไปด้วยข้อคิดดีๆ ที่ทำให้คุณคิตะซาโตะได้ตระหนักถึงความ
สำคัญของวิชาแพทย์ไปว่า
“การที่ลูกผู้ชายคนหนึ่ง จะไปเป็นทหารรับใช้ชาติ สมดังที่ตั้งใจเอาไว้นั้นก็เป็นเรื่องที่ดี แต่วิชาแพทย์จำเป็นต้องค้นคว้า
วิจัยอย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยชีวิตมนุษย์
ย่อมไม่ใช่วิชาที่ไร้ค่าอย่างแน่นอน เมื่อเธอได้มีโอกาสเข้ามาเรียนวิชาแพทย์แล้ว ก็ขอให้นำวิชาการที่ได้เล่าเรียนมาเหล่านี้
นำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ได้บ้าง”
ถึงแม้คำพูดของอาจารย์ ชาวดัตช์ในวันนั้น คุณคิตะซาโตะ จะไม่ได้สนใจและใส่ใจมากนัก แต่มันก็เป็นคำพูดที่เขาไม่เคยลืม
และยึดถือ นำมาปรับในใช้ชีวิตและการทำงานทางการแพทย์ในเวลาต่อมา
ต่อมาคุณ คิตะซาโตะ ก็ได้ร่ำเรียน วิชาทางการแพทย์ ต่อเรื่อยมาอีกสักระยะ จนกระทั่งเขาก็ได้มาพบกับจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ
ในชีวิต เมื่อเขาได้เรียนรู้เกี่ยวกับการใช้กล้องจุลทรรศน์ มันเป็นเหมือนกับการเปิดโลกใบใหม่ ทุกครั้งที่เขาได้ส่องกล้องจุลทรรศน์
มันทำให้เขารู้สึกตื่นเต้น เมื่อได้มองเห็นถึงโลกแห่งความลึกลับ
ของเจ้าแบคทีเรีย เขาเริ่มรู้สึกทึ่ง มากว่าวิชาการทางการแพทย์นั้น มันช่างน่าอัศจรรย์จริงๆ และยังมีหลายสิ่งหลายอย่าง
ที่ยังรอให้เขาได้เรียนรู้อยู่อีกมากมาย
ก็อย่าที่ผมบอกไปแล้วนะครับว่าคุณ คิตะซาโตะนี้พอเขาได้สนใจอะไรแล้วเขาก็มักจะต้องไปมันให้สุด ในทุกๆ เรื่องที่เขาสนใจ
จากคนที่ไม่ค่อยตั้งใจเรียนในวิชาทางการแพทย์ ในตอนนี้กลับกลายเป็นว่าคุณ คิตะซาโตะ กลับให้ความสนใจเรียนทาง
ด้านการแพทย์ อย่างหนัก
จนเขาสามารถสอบเข้าเรียนต่อ มหาวิทยาลัยแพทย์ที่ดีที่สุดของประเทศในช่วงเวลานั้น อย่าง
มหาวิทยาลัยทางการแพทย์โตเกียวได้
คุณคิตะซาโตะ ในขณะที่เรียนวิชาแพทย์ อยู่ตอนนั้นเขาก็มักจะให้ความสนใจในเรื่องวิชาการทางการแพทย์สมัยใหม่
เสียเป็นส่วนมากวิชาการทางการแพทย์สมัยใหม่ในยุคนั้นก็จะเน้นการป้องกันไม่ให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บกับผู้คน
เมื่อไม่เกิดโรคก็จะได้ไม่ต้องมารักษาโรคกันที่หลัง
ในยุคนั้นผู้นำวิชาการทางการแพทย์สมัยใหม่ นั้นต้องยกให้กับประเทศเยอรมัน คุณคิตะซาโตะในช่วงเวลานั้นเขาจึงต้อง
คร่ำเคร่งกับการเรียนภาษาเยอรมันมากเป็นพิเศษ โดยที่เขามีเป้าหมายว่าสักวันเขาจะต้องไปเรียนต่อวิชาทางการแพทย์
ที่ประเทศเยอรมันให้ได้
หลังจากที่เรียนจบจากมหาวิทยาลัยทางการแพทย์ที่โตเกียวแล้ว คุณหมอ คิตะซาโตะก็ได้มีโอกาสเข้าทำงานในตำแหน่งผู้อำนวย
การโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง พอได้ทำงานไปได้สักระยะ คุณหมอก็ได้หันหลังให้กับตำแหน่งงาน ดังกล่าวแล้วเข้าไปทำงานที่
กรมอนามัยซึ่งเป็นหน่วยงานของภาครัฐ ที่มีเงินเดือนน้อยกว่าในตำแหน่งผู้อำนวยการโรงพยาบาลเป็นอย่างมาก
แต่ที่นี่เขาได้นำความรู้และความสามารถมาใช้ให้เกิดประโยชน์กับประเทศได้มากกว่า
ในปี 1885 เขาก็ได้รับทุนให้ไปเรียนต่อที่สถาบัน ทางการแพทย์ประเทศเยอรมนี สมดังใจที่เขาได้หวังเอาไว้
ที่สถาบันทางการแพทย์ของประเทศเยอรมนีในขณะนั้น ก็ได้มีนักวิทยาแบคทีเรียที่มีชื่อเสียงโดงดังในสมัยนั้น
อย่าง ดร.โรแบร์ท ค็อค ทำงานอยู่ด้วย
หลังจากที่เรียนไปได้อยู่สองปี คุณหมอคุณคิตะซาโตะก็ได้ถูก ดร.โรแบร์ท ค็อค ดึงเข้าไปร่วมทำวิจัยเกี่ยวกับเชื้อบาดทะยัก
คุณ หมอคิตะซาโตะ เป็นคนเอเชียเพียงคนเดียวที่ได้ร่วมทีมวิจัยในครั้งนี้ ในสมัยนั้นนะครับ ตัวเชื้อบาดทะยักนี้มันยังไม่มีทางรักษา
ให้หายได้ไม่มีวัคซีนป้องกันอะไรได้เลยอีกด้วย เรียกว่าเป็นเชื้อที่อันตรายมากๆ ในยุคนั้น
คุณหมอเคิตะซาโตะ เมื่อได้รับโอกาสในการทำงานวิจัยเกี่ยวกับเจ้าเชื้อบาดทะยักนี้ มันเป็นสิ่งที่ท้าทายในความสามารถของ
เขาเป็นอย่างมากในการที่จะเอาชนะเชื้อโรคร้ายนี้ ตัวเขาได้ทุ่มเททำงานอย่างหามรุ่งหามค่ำ ในการทำงานวิจัยการรักษาและ
ป้องกันเชื้อบาดทะยัก จนเป็นที่ร่ำลือ กันในสถาบันวิจัยแห่งนี้ว่า ชายชาวญี่ปุ่นคนนี้ เขาทำงานอย่างหนัก จนไม่ได้ไปไหนเลย
นอกจากบ้านพัก กับสถาบันวิจัย
แต่ว่าเจ้าเชื้อบาดทะยัก ณ เวลานั้น มันยังคงเป็นเชื้อโรคที่เต็มไปด้วยปริศนา ยากที่เพาะเชื้อในห้องทดลอง
เพื่อหาทางฆ่าเชื้อบาดทะยักได้
จนถึงขนาดที่ว่า นักแบคทีเรียหลายๆ คนที่ร่วมงานกับเขาได้ถอดใจ และคิดว่าในตอนนั้นคงไม่สามารถที่จะเพาะเจ้าเชื้อโรคนี้ได้
แต่ด้วยความที่ ดื้อรั้นและเมื่อคุณหมอคิตะซาโตะ ถ้าได้สนใจหรือทำอะไรแล้ว ก็จะต้องทำให้สุด
เขาก็ยังคงทำงานวิจัยเพาะเชื้อ บาดทะยักนี้ต่อไป ถึงแม้ว่าผู้คนรอบข้างตัวเขาในสถาบันวิจัย จะมองว่า เขาทำไปก็เสียเวลาโดย
เปล่าประโยชน์ เขายังคงสู้ไม่ถอยเพื่อจะเอาชนะกับเจ้าเชื้อร้ายนี้
ในปี 1889
คุณหมอคิตะซาโตะ ก็สามารถเพาะเชื้อบาดทะยักในห้องทดลองได้สำเร็จเป็นคนแรก ของโลก อีกด้วย เมื่อเพาะเชื้อ
ในห้องทดลองได้สำเร็จ ก็สามารถหาวิธีการกำจัดเชื้อบาดทะยักได้ในที่สุด และในการค้นพบในครั้งนี้ ยังทำให้คุณหมอคิตะซาโตะ
ยังได้ค้นพบวิธีการทำวัคซีน แบบที่ฉีดเชื้อโรคเข้าไปในตัวของสัตว์
แล้วให้สัตว์สร้างภูมิคุ้มกัน แล้วจากนั้นก็นำ เอาภูมิคุ้มกันจากสัตว์ มาฉีดใส่คนอีกที่
จากผลงานนี้คุณหมอ คิตะซาโตะจึงมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก และในปี 1890 เขาก็ได้ถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลโนเบล
แต่ก็พลาดรางวัลไปอย่างน่าเสียดายในช่วงเวลานั้น คุณหมอ คิตะซาโตะ เรียกได้ว่าเป็นหมอนักวิจัยแถวหน้าระดับโลกที่หลายๆ
สถาบันวิจัยหรือมหาวิทยาลัยทางการแพทย์ต่างๆ ทั่วโลก ต้องการตัวไปทำงานด้วย ชื่อเสียงและเงินทองต่างหลั่งไหล
เข้ามาหาเขามากมายแต่ทว่าเขากลับทิ้งสิ่งเหล่านั้นและเลือกที่จะกลับไปทำงานที่ประเทศญี่ปุ่น
ซึ่งเป็นบ้านเกิดของเขาในปี 1891