JJNY : 4in1 หอค้าเผยเชื่อมั่นฯลด/เลขาฯ ครป.ชี้รัฐหย่อนยานทำโควิดระบาด/พท.งง รมต.สายศก.หายตัว!/ก้าวไกลโวยรัฐไร้ยุทธศาสตร์

ม.หอการค้า เผย โควิดระลอกใหม่ ฉุดดัชนีเชื่อมั่นฯ ลดลงในรอบ 3 เดือน
https://www.matichon.co.th/economy/news_2517614

 
ม.หอการค้า เผย โควิดระลอกใหม่ ฉุดดัชนีเชื่อมั่นผู้บริโภค ลดลงในรอบ 3 เดือน
 
เมื่อวันที่ 7 มกราคม นายธนวรรธน์​ พลวิชัย อธิการบดี มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ เปิดเผยว่า จากการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคประจำเดือนธันวาคม 2563 จากการสำรวจประชาชนทั่วประเทศ จำนวน 2,249 ตัวอย่าง พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคอยู่ที่ 50.1 ลดลงจากเดือนพฤศจิกา​ยน ​อยู่ที่ 52.4 ถือเป็นการปรับลดลงครั้งแรกในรอบ 3 เดือน ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นในปัจจุบันอยู่ที่ 34.5 ลดลงจากเดือนพฤศจิกา​ยนที่ 36.3 ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นในอนาคต อยู่ที่ 57.4 ลดลงจากเดือนพฤศจิกายน​ ที่อยู่ที่ 60.1
 
นายธนวรรธน์ กล่าวว่า สำหรับปัจจัยลบ อาทิ ความวิตกกังวลต่อการแพรระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ ที่ระบาดเป็นวงกว้างและรวดเร็ว ส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีตของประชาชน การทำธุรกิจ และภาวะเศรษฐกิจของประเทศในอนาคตโดยเฉพาะในภาคการท่องเที่ยว และบริการต่างๆ, คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจไทย (จีดีพี)​ ปี 2564 จะขยายตัวอยู่ที่ 3.2% จากประมาณการเดิมที่คาดไว้ 3.6% จากสถานการณ์โควิด-19 ในต่างประเทศที่ยืดเยื้อและรุนแรงกว่าที่คาด และเงินบาทปรับตัวแข็งค่าขึ้นเล็กน้อยจากระดับ 30.47 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ณ สิ้นเดือน พฤศจิกายน 2563 เป็น 30.09 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2563 ทำให้มีความกังวลว่าจะส่งกระทบในแง่ลบต่อความสามารถในการแข่งขันของสินค้าไทยในตลาดโลก
 
นายธนวรรธน์ กล่าวต่อว่า ส่วนปัจจัยบวก อาทิ ภาครัฐดำเนินมาตรการเพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในช่วงปลายปี 2563 ประกอบด้วย โครงการคนละครึ่ง เราเที่ยวด้วยกัน โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และมาตรการช้อปดีมีคืน ซึ่งมีส่วนช่วยกระตุ้นกำลังซื้อให้ปรับตัวดีขึ้น และราคาพืชผลทางการเกษตรหลายรายการปรับตัวดีขึ้นหรือทรงตัวในระดับที่ดีโดยเฉพาะข้าว ยางพารา ปล์มน้ำมัน และปศุสัตว์ ส่งผลให้เกษตรกรเริ่มมีรายได้และส่งผลให้กำลังซื้อในต่างจังหวัดเริ่มปรับตัวดีขึ้น
 
ส่วนหนึ่งเกิดจากสถานการณ์​ทางการเมืองเมื่อเดือนกันยายน 2563 แต่ที่ดัชนีฯ ยังอยู่ในเกณฑ์​ดีเนื่องจากรัฐบาลมีการผ่อนคลายมาตรการ​ต่างๆ มากขึ้น
 
นาย​ธนวรรธน์​ กล่าวว่า ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเกี่ยวกับเศรษฐกิจ โอกาสการหางานทำ และรายได้ในอนาคต ปรับตัวลดลงทุกรายการ โดย ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวม อยู่ที่ 43.5 ลดลงจากเดือนพฤศจิกา​ยน อยู่ที่ 45.6 ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับโอกาสในการหางาน อยู่ที่ 47.5 ลดลงจากเดือนพฤศจิกา​ยน อยู่ที่ 50 และดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับรายได้ในอนาคต อยู่ที่ 59.2 ลดลงจากเดือนพฤศจิกา​ยน อยู่ที่ 61.6
 
ขณะที่ ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคโดยรวมแทบทุกรายการ อยู่ที่ 42.6 ปรับตัวดีขึ้นจากเดือนมิถุนา​ยน ที่ 41.4 หรือปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 เชื่อมั่นโอกาสในการหางานทำอยู่ที่ 48.4 ปรับตัวดีขึ้นจากเดือนมิถุนายน อยู่ที่ 47.6 ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับรายได้ในอนาคต อยู่ที่ 59.3 ปรับตัวดีขึ้นจากเดือนมิถุนายน อยู่ที่ 58.6 และดัชนีความคิดเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์ทางการเมืองปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 17 ดัชนีปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ 28.3 เมื่อเทียบกับเดือนมิถุนายนที่อยู่ระดับ 29.8
 

 
เลขาฯครป.จี้ ‘บิ๊กป้อม’ แก้ปมส่วย บ่อนพนัน ธุรกิจสีเทา ชี้รัฐหย่อนยานทำโควิดระบาด
https://www.matichon.co.th/politics/news_2518526
 
เลขาฯครป.จี้ ‘บิ๊กป้อม’ แก้ปมส่วย บ่อนพนัน ธุรกิจสีเทา ชี้รัฐหย่อนยานทำโควิดระบาด
 
เมื่อวันที่ 7 มกราคม นายเมธา มาสขาว เลขาธิการคณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) กล่าวว่า จากวิกฤตการณ์การแพร่ระบาดโควิดรอบใหม่ ซึ่งมีที่มาจากบ่อนการพนัน เศรษฐกิจสีเทา และความหย่อนยานของรัฐบาลในการแก้ปัญหาขบวนการค้าแรงงานข้ามชาตินั้น ตนขอเรียกร้องไปยัง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ในฐานะรองนายกรัฐมนตรีผู้รับผิดชอบดูแลงานด้านความมั่นคงและรัฐบาล ให้เข้มงวดในการแก้ปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่นทางอำนาจมากขึ้น ไม่ใช่แค่การย้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจในท้องที่ แต่ต้องมีความผิดทางอาญาด้วย หากพบว่ามีการทุจริตรับส่วยสินบนหรือตั้งใจละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ เพราะการโยกย้ายไม่ใช่การแก้ปัญหา
 
รัฐบาลจะปฏิเสธการรับรู้ไม่ได้ เพราะใช้กลไกตำรวจในการรักษาอำนาจไว้อยู่ ถึงเวลากวาดล้างเศรษฐกิจสีเทาอย่างเป็นระบบเพื่อแก้ไขปัญหาโควิดระบาดทั่วประเทศแล้ว โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่รัฐที่ฉ้อฉล หรือคนในรัฐบาลที่เกี่ยวข้อง อย่าให้ประชาชนก่นด่าว่า รัฐบาลเป็นสาเหตุทำให้โควิดระบาดรอบสองเสียเอง เพราะเห็นแก่ผลประโยชน์พวกพ้องมากกว่าความปลอดภัยของสังคม
 
“รัฐบาลสามารถแก้ปัญหาระบบส่วยและบ่อนการพนันได้ โดยการตรวจสอบทรัพย์สินผู้ที่เกี่ยวข้องในทุกระดับ โดยเฉพาะผู้กำกับทุกสถานี และปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่นอย่างเง้มงวด ปฏิรูปตำรวจและทหารที่ไปเกี่ยวข้องกับธุรกิจสีเทาทั้งหมด บ่อน ส่วย หวย ซ่อง ที่ผิดกฎหมาย รัฐบาลแก้ไขได้โดยการปฏิรูปตำรวจและกระบวนการยุติธรรม ตามที่เขียนไว้ในรัฐธรรมนูญเพื่อให้รัฐบาลดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 1 ปี ซึ่งขณะนี้ผ่านมาหลายปีแล้วก็ยังไม่แล้วเสร็จ
 
“นอกจากนี้ โควิดยังระบาดมาพร้อมกับขบวนการค้าแรงงานเถือนและอาชญากรรมข้ามชาติ ที่เกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์ การปลอมแปลงเอกสารการเดินทางปลอม และการฟอกเงิน หนีไม่พ้นระบบส่วย เพราะทำกันอย่างเป็นระบบ มีผู้เกี่ยวข้องทั้งทหารและตำรวจตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทาง และระหว่างทางมีผลประโยชน์มหาศาลเป็นเดิมพัน” นายเมธากล่าว
 
นายเมธากล่าวว่า การที่นายหน้าค้ามนุษย์นำแรงงานนอกระบบข้ามชายแดนมาโดยผิดกฎหมายได้ จะต้องมีเจ้าหน้าที่รัฐรู้เห็นเป็นใจ หรือได้รับส่วยสินบนรายหัวตามริมชายแดน การเดินทางระหว่างทางจะต้องมีการเข้าหาเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องเพื่อขอเปิดทาง โดยเฉพาะตำรวจท้องที่ หรือตำรวจทางหลวงต่างๆ จนกลายเป็นวัฏจักรผลประโยชน์
 
ว่ากันว่าเศรษฐกิจสีเทาในประเทศไทย มีจำนวนสูงถึงเดือนละ 10,000-20,000 ล้านบาท หรือเฉลี่ย 120,000-240,000 ล้านบาท ต่อปีเลยทีเดียว เม็ดเงินจำนวนมหาศาลมากกว่า 30-40% ของรายได้มวลรวมในประเทศ (GDP) ก็มาจากธุรกิจสีเทา ที่เกี่ยวข้องกับการละเลยกฎหมายของเจ้าหน้าที่รัฐและเกี่ยวพันอาชญากรรมข้ามชาติ
 
“ถึงเวลารัฐบาล โดย พล.อ.ประวิตร จะโชว์ฝีมือปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่นทั้งระบบแล้ว และต้อง ขว้างงูให้พ้นคอ” นายเมธากล่าว
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่