JJNY : โฆษกพท.เตือน'ส.ส.-ส.ว.'อย่าผิดซ้ำซาก/จี้รัฐอย่าดองเงินเอสเอ็มอี/ประเสริฐจวกรบ.ตบตาปชช./โฟกัสประกาศเจอกันบ่าย 3

โฆษกเพื่อไทยเตือน รบ.วางตัวเป็นกลาง-ดูแลผู้ชุมนุมเท่าเทียม 'ส.ส.-ส.ว.' อย่าผิดซ้ำซาก
https://www.matichon.co.th/politics/news_2445526
 

 
โฆษกเพื่อไทยเตือน รบ.วางตัวเป็นกลาง-ดูแลผู้ชุมนุมเท่าเทียม ‘ส.ส.-ส.ว.’ อย่าผิดซ้ำซาก
 
เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน น.ส.อรุณี กาสยานนท์ โฆษกพรรคเพื่อไทย (พท.) เปิดเผยว่า ในการประชุมรัฐสภาเพื่อพิจารณาแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญปี 2560 ในวันที่ 17-18 พฤศจิกายนนี้ หลายภาคส่วนมีความกังวลกรณีที่ผู้ชุมนุมทั้งสองฝ่ายจะจัดการชุมนุมบริเวณรัฐสภา หากมีการกระทบกระทั่งจะยิ่งเป็นผลเสียต่อประเทศ จึงอยากเรียกร้องให้รัฐบาลวางตัวเป็นกลาง ไม่แสดงเข้าข้างอีกฝ่าย ไม่ทำตัวเองเป็นคู่ขัดแย้งกับประชาชน ที่สำคัญคือมาตรฐานการบังคับใช้กฎหมาย การดูแลความสงบเรียบร้อย และการปฏิบัติต่อประชาชนต้องเท่าเทียม โดยขอให้งดใช้ความรุนแรงต่อผู้ชุมนุมกลุ่มหนึ่งกลุ่มใดด้วย
 
“ขอให้สมาชิกวุฒิสภาที่ถูกแต่งตั้งมาด้วยการสืบอำนาจ [เผล่ะจัง] แม้ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง และมีความพยายามในการบิดเบือนเจตนารมณ์ในการแก้รัฐธรรมนูญหลายครั้ง รวมถึง ส.ส.บางพรรค ควรมีสำนึกบ้างว่าวันนี้ประเทศกำลังถอยหลัง เพราะการเอื้อประโยชน์ให้กลุ่มอำนาจนำพาประเทศไปสู่ภาวะที่ตกต่ำ อีกทั้งต้องตระหนักในการทำหน้าที่เพื่อประชาชนด้วยการรับร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 2560 ด้วย” น.ส.อรุณีกล่าว
 
น.ส.อรุณีกล่าวว่า อยากให้รัฐสภาทำหน้าที่เพื่อประชาชน โดยทำให้ความต้องการของประชาชนที่ต้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญเกิดขึ้นจริง จึงขอเตือนว่าการทำให้ร่างใดร่างหนึ่งตกไปตั้งแต่วาระแรกจะไม่ส่งผลดีกับใครทั้งสิ้น เพราะในเวลานี้ประเทศชาติเกิดวิกฤตหลายด้าน รวมถึงวิกฤตศรัทธาต่อระบบรัฐสภา รัฐสภาจึงเป็นที่พึ่งของประชาชน ต้องหาทางออกร่วมกัน ส่วนรัฐบาลต้องแสดงความจริงใจในการแก้ไขปัญหาประเทศผ่านการแก้ไขรัฐธรรรมนูญ หากไม่รับร่างที่ทุกฝ่ายนำเสนอมา จะเป็นการกระทำผิดต่อประชาชนซ้ำแล้วซ้ำอีก
 


ผวาโควิดระบาดรอบ 2 - ปมการเมืองเขย่าศก. จี้รัฐอย่าดองเงินเอสเอ็มอี วอนจ่ายใน 30 วัน
https://www.matichon.co.th/economy/news_2445584
 
ผวาโควิดระบาดรอบ 2 – ปมการเมืองเขย่าศก. จี้รัฐอย่าดองเงินเอสเอ็มอี วอนจ่ายใน 30 วัน

วันที่ 17 พฤศจิกายน นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมในเดือนตุลาคม 2563 อยู่ที่ระดับ 86.0 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับ 85.2 ในเดือนกันยายน 2563 โดยค่าดัชนีฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 6 นับตั้งแต่เดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากอุปสงค์ในประเทศที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งสินค้าอุปโภคบริโภคและสินค้าคงทน ส่งผลให้ภาคการผลิตมีการฟื้นตัวตามอุปสงค์ในประเทศ

ขณะที่ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐผ่านการท่องเที่ยวและการบริโภคสนับสนุนให้เกิดการใช้จ่ายในประเทศเพิ่มขึ้น ส่งผลดีต่อยอดขายสินค้าและรายได้ของผู้ประกอบการ นอกจากนี้ การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐอย่างต่อเนื่องส่งผลดีต่อความต้องการใช้สินค้าวัสดุก่อสร้าง
 
อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการยังมีความกังวลต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทั่วโลกที่มีความรุนแรงขึ้น หลายประเทศในยุโรปประกาศล็อกดาวน์รอบ 2 ส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจชะลอตัว คำสั่งซื้อจากต่างประเทศ มีแนวโน้มลดลง รวมทั้งการปิดด่านการค้าชายแดนที่ติดกับประเทศเมียนมาร์ ทำให้การขนส่งสินค้าระหว่างประเทศมีความล่าช้า ขณะเดียวกัน ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี บางรายยังประสบปัญหาขาดสภาพคล่องเนื่องจากยอดขายสินค้าลดลงในช่วงการระบาดของโควิด-19 และยอดขายยังไม่กลับมาเท่ากับช่วงก่อนการระบาด นอกจากนี้ สถานการณ์ชุมนุมทางการเมืองยังส่งผลต่อความเชื่อมั่นด้านการลงทุน
 
จากการสำรวจผู้ประกอบการ 1,333 ราย ครอบคลุม 45 กลุ่มอุตสาหกรรมทั่วประเทศในเดือนตุลาคม 2563 พบว่า ปัจจัยที่ส่งผลให้ผู้ประกอบการมีความกังวลเพิ่มขึ้น ได้แก่ สภาวะเศรษฐกิจโลก ร้อยละ 66.9, สถานการณ์ทางการเมืองในประเทศ ร้อยละ 57.1, อัตราแลกเปลี่ยน (มุมมองผู้ส่งออก) โดยอัตราแลกเปลี่ยนอ้างอิงค่าเงินบาทเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ ร้อยละ 44.2 และอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ ร้อยละ 38.4 ตามลำดับ ส่วนปัจจัยที่ส่งผลให้ผู้ประกอบการมีความกังวลลดลง ได้แก่ ราคาน้ำมัน ร้อยละ 37.7
 
สำหรับดัชนีฯ คาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้าปรับตัวลดลงอยู่ที่ระดับ 91.9 จากระดับ 93.3 ในเดือนกันยายน 2563 จากปัจจัยสภาวะเศรษฐกิจโลกที่มีความไม่แน่นอนสูงเนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ยังคงดำเนินอย่างต่อเนื่องเป็นปัจจัยกดดันต่อการฟื้นตัวของภาคการส่งออกของไทย ขณะที่การแข็งค่าของเงินบาทเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ ส่งผลต่อรายได้ของผู้ประกอบการส่งออกลดลง ตลอดจนความกังวลเกี่ยวกับภาระดอกเบี้ยเงินกู้ที่เพิ่มขึ้น ภายหลังการสิ้นสุดมาตรการพักชำระหนี้ ซึ่งอาจทำให้กิจการประสบปัญหาขาดสภาพคล่องโดยเฉพาะผู้ประกอบการเอสเอ็มอี
สำหรับข้อเสนอแนะต่อภาครัฐ 

1. ขอให้ภาครัฐรักษามาตรฐานการควบคุมโรคโควิด-19 เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน 

2. ขอให้ภาครัฐเร่งรัดการจ่ายเงินการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐทุกโครงการภายใน 30 วัน หลังจากการตรวจรับเรียบร้อยเพื่อช่วยในการเสริมสภาพคล่องทางการเงินภาคเอกชน 

3. เร่งผลักดันโครงการลงทุนและโครงการก่อสร้างของภาครัฐทุกโครงการที่ได้วางแผนไว้เพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่