สวัสดีครับนี้เป็นกระทู้ครั้งที่2ของผม ผมขอบอกเลยนะครับว่าผมเป็นเกย์กระทู้นี้อาจจะยาวหน่อยนะครับขอบอกก่อนนะครับว่าตัวผมอยู่ที่ประเทศเบลเยี่ยมนะครับตอนนี้ผมยัง18อยู่เรื่องราวมันอาจจะซับซ้อนหน่อยเพราะเคยตั้งกระทู้แรกไปแล้วแต่ดูเหมือว่ามันอาจจะงงๆหน่อยเพราะเหมือนผมเขียนทุกอย่างมารวมกัน นี้ครับกระทู้แรก
https://pantip.com/topic/40250372
ศุกร์ที่8ผมก็จะได้ออกโรงพยาบาลแล้วซึ่งสาเหตุที่ผมเข้าโรงพยาบาลอยู่ในกระทู้แรกนะครับ
เรื่องของเรื่องก็มีอยู่ว่าผมมาอยู่เบลเยียมตอนอายุ10ขวบซึ่งดูเหมือนไม่ค่อยมีปัญหาอะไรมากตอนที่อยู่ประถมแต่ผมมักโดนแกล้งบ่อยมากซึ่งตอนนั้นผมอยู่ในโรงเรียนที่มีแต่พวกแขกใช่ครับพวกแขกแต่ก็ไม่ใช้ทุกคนจะนิสัยเสียนะครับแต่ส่วนมากที่ผมเจอมักจะไปทางแง่ลบมากกว่าเวลาผมโดนแกล้งผมมักจะไปหลบในห้องน้ำเป็นประจำแล้วไม่ค่อยบอกครูนอกจากเพื่อนคนอื่นจะมาเห็นถึงจะไปบอกครูแต่เขาจะไม่ค่อยเห็นกันนอกจากผมจะบอกครูเองแต่ตอนนั้นยังไม่ค่อยกล้าเท่าไหร่พอขึ้นป.4ก็ได้ย้ายโรงเรียนไปแถวหน้าบ้านซึ่งดูเหมือนในโรงเรียนไม่ค่อยมีปัญหาเท่าไหร่แต่มีปัญหาที่บ้านแทนพ่อเลี้ยงกับแม่มักทะเลาะกันทุกวันแต่แม่ก็ไม่เคยโต้ตอบเลยเอาแต่เงียบอย่างเดียวบังทีก็แอบร้องไห้อันนี้ผมเดานะแต่ผมเคยเห็นแม่ร้องให้ครั้งนึงจนทุกท้ายพวกเขาสองคนก็เลิกซึ่งตอนนั้นผมไม่รู้ว่าเพราะอะไรจนสุดท้ายพวกเขาเลิกกันเพราะผมเขาพูดแบบนั้นนะ ซึ่งตอนนั้นเป็นตอนที่จบป.4พอดีพอผมขึ้นป.5แม่ผมก็กลับป่วยแล้วสรุปก็เป็นมะเร็งซึ่งตอนอยู่ประถมไม่ค่อยมีเรื่องให้เกิดขึ้นมากมายชักเท่าไหร่คิดว่านะครับเพราะมันก็นานพอสมควร.
พอจบป.5ก็ขึ้นม.1พอดีเหมือคะแนนผมผ่านสามารถข้ามป.6ไปได้พอตอนขึ้นม.1ก็ตื่นเต้นแต่ก็ผ่านไปได้ด้วยดีพอขึ้นม.2คะแนนก็ดีมั้งแย่มั้งแต่ก็สามารถผ่านไปได้พอขึ้นม.3เท่านั้นแหละปัญหาก็เริ่มเข้ามาซึ่งตอนอยู่ม.3ผมแทบไม่มีเพื่อนในห้องเลยมีอยู่แค่2คนแต่2คนนั้นก็อยู่ไม่ได้นานเพราะคนนึงก็ขึ้นม.4อีกคนก็ไม่ค่อยมาโรงเรียนจนสุดท้ายก็ออกไปแล้วเป็นตอนที่ผมรู้ตัวเองว่าเป็นเกย์ซึ่งผมก็ยังไม่เปิดเผยสักเท่าไหร่ส่วยทางที่บ้านดูเหมือนทางที่บ้านก็ไม่ค่อยมีปัญหาอะไรเพราะเขาก็รับได้แต่ผมกลับมีปัญหาที่บ้านแทนเวลาผมมักโมโหแม่ผมมักจะทำลายข้าวของก็ไม่เข้าใจว่าทำไมจนกระทั่งทำร้ายตัวเองส่วนมากเรามักจะเป็นเวลาโมโหแม่มากกว่าส่วนเรื่องเรียนก็โมโหอยู่มั้งเพราะด้วยความที่มันยากแล้วเราไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่เราถามครูอะไรก็แล้วจนสุดท้ายคะแนนก็ผ่านไปได้ก็งงอยู่เหมือนกันว่าผ่านได้ยังไงแต่ก็ดีใจที่ผ่านนะแต่ก็แอบก็รู้สึกแปลกๆเหมือนกัน(พอดีที่เบลเยียมมีสอบใหญ่อยู่สามครั้งนะครับ)พอครึ่งเทอมทุกๆคนในโรงเรียนส่วยมากก็รู้ว่าผมเป็นเกย์ไม่ได้มาจากปากผมเองแต่พอดีคนนั้นเขารู้ว่าผมเป็นก็เลยไปบอกคนอื่นกันปากต่อปากผมก็เลยกลายเป็นจุดสนใจของคนอื่นทั้งที่ผมก็ไม่อยากให้คนอื่นรู้ว่าผมเป็นเกย์เพราะตอนนั้นผมยังไม่กล้ายอมรับแต่เรื่องที่ผมเป็นเกย์ก็ไม่ใช้ปัญหาใหญ่สำรับผมเพราะตอนอยู่ม.3ผมมักจะเครียดเรื่องการเรียนมากกว่าจนสุดท้ายก็ขึ้นม.4มาได้แบบงงๆทั้งที่ผมรู้อยู่ในใจว่าคะแนนแย่แน่แต่ก็ผ่านมาได้ละนะ
พอขึ้นม.4เป็นช่วงที่เจอปัญหาหนักสุดทั้งเรื่องการเรียนเรื่องที่บ้านอย่างที่บอกครับเวลาโมโหมักจะทำลายข้าวของแล้วทำร้ายตัวเองอย่างเช่นตบหน้าตัวเองเอาหัวโขกกำแพงจนสุดท้ายเราก็มักชอบไปอยู่ใต้เตียงแล้วมักจินตนาการผู้หญิงคนนึงที่มากอดเราแล้วพูดกับเราทั้งตัวผมรู้อยู่แล้วว่าเขาไม่มีตัวตนอยู่จริงแล้วสิ่งที่ผมเจ็บที่สุดแล้วผมไม่เคยลืมเลยก็คือเวลาแม่โมโหผมทีไรมักจะเทอาหารผมทิ้งในถังขยะหรือไม่ทำกับข้าวให้ผมกินเลยตอนผมเดินออกมาเอาของผมเห็นแม่กับน้องกินอาหารมีความสุขแต่กลับเมินผมไม่มองผมหรือไม่บังทีก็ไม่คุยกับผมหลายวันมากสุดก็เกือบอาทิตย์นึงผมพยายามคุยกับแม่แต่แม่ก็เมินผมจนบางทีเราไปโรงเรียนแล้วไม่สามารถลืมเรื่องที่แม่เคยทำกับเราจนบังทีเราก็เหม่อลอยไม่ทำงานในโรงเรียนหรือว่าอะไรเลยจนสุดท้ายเราก็ได้คุยกับห้องที่ปรึกษาแต่เราก็ไม่สามารถบอกได้ทุกอย่างหมดจนสุดท้ายเรื่องที่เราเป็นเกย์กลับเป็นที่รู้จักมากที่สุดในโรงเรียนคิดว่านะแต่เรื่องที่เปิดเผยว่าเป็นเพราะเราไม่อยากโกหกอีกต่อไปเพราะยังไงเราก็ไม่ค่อยรู้จักใครมากส่วนใหญ่แต่กลับเป็นผมที่เจ็บอีกครั้งเพราะผู้ชายที่ผมแอบชอบตั้งแต่ตอนอยู่ม.2เขาเป็นผู้ชายคนแรกที่ลูบผมแล้วคนแรกที่กอดผมเป็นคนแรกทำให้ผมหวั่นไหวมากเลยแหละทั้งที่เขาก็ไม่หล่ออะไรมากแต่พอเขารู้ว่าเราเป็นเกย์เขากับรังเกียจผมเอาผมไปนินทาในทางแง่ลบคือตอนนั้นเราแบบเรารู้สึกโง่มาตลอดว่าชอบคนแบบนั้นได้ยังไงหนักสุดเรากลับเครียดเรื่องการเรียนมากแถมครูที่เขาสองกลับมองผมว่าขี้เกียจเรียนไม่ตั้งใจเรียนคิดว่าผมไม่สนใจทั้งที่เราพยายามทำเต็มที่เราพยายามทำครูสนใจทั้งไม่เขียนบนแผ่นกระดาษทั้งทำเป็นเอาหัวไว้บนโต้ะแต่ไม่นอนนะครับแต่เขากลับไม่สนใจแต่กลับเด็กคนอื่นเขากลับสนใจเขากลับเดินเข้าไปหาเด็กทุกคนในห้องทั้งทำเป็นดูคุยถามเกือบทุกคนในห้องแต่กลับผมเขากลับเมินเขาแค่มองแล้วก็เดินผ่านทั้งที่ตอนนั้นผมหวังว่าเขาจะถามแบบโอเคไหมทำไม่ได้เหรอไม่เข้าใช่ไหมแต่กลับไม่เป็นยังงั้นซึ่งตอนนั้นเราทั้งโกรธทั้งโมโหเราอยากจะโยนแฟ้มทิ้งแต่เราทำได้แค่ขูดหนังตัวเองโดนการใช้เล็บนะครับแต่ก็ไม่ถึงขั้นเลือกออกนะครับเพราะเล็บผมไม่ได้แหลมอะไรขนาดนั้นถ้าถามผมว่าผมรู้ได้ยังว่าครูเขาคิดแบบนั้นนี้ครับจะเริ่มเล่าให้ฟังนะครับ 2เดือนก่อนสอบใหญ่สอบปิดเทอมนะครับผมกลัยได้รู้จักครูคนนึงเขาเป็นครูextra (นามสมมุติ A)นะครับเขาช่วยผมเรื่องการเรียนจนปมสามารถบอกปัญหาเรื่องที่บ้านที่โรงเรียนได้เป็นคนที่คุยแล้วโล่งใจ แล้วนั้นทำให้ผมรู้ว่าครูที่เขาสอนวิชานั้นคิดแบบนั้นกับผม จนสุดท้ายครู A กับผมก็สามารถติวทำความเข้าใจแต่ละข้อได้จนสุดท้ายก็ผ่านขึ้นม.5แบบฉิวเฉียด
พอมา ม.5 การทำร้ายตัวเองกับความเครียดก็หนักอยู่เหมือนเดิมเพราะด้วยความที่มันเรียนยากขึ้นอะไรด้วยจนสุดท้ายทางโรงเรียนก็ส่งผมไปสถานที่นึงซึ่งเป็นที่สำหรับที่มีปัญหาซึ่งตอนที่อยู่ที่นั้นแถบไม่ได้คุยกับใครเลยนอกจากผู้ดูแลแต่ส่วนมากก็คุยด้วยเรื่องทั่วไปจนมามีวันนึงเป็นวันนึงตอนนั้นเราเครียดมากกับเรื่องเรียนมันเป็นอะไรที่อยากมากแล้วเราก็ทำไม่ได้ขนาดฝรั่งก็ยังทำไม่นับพาษาอะไรกับจนตอนนั้นเราหลุดแล้วเราก็ต่อยตู้ล็อกเกอร์ซึ่งเป็นครั้งแรกที่เราทำแบบนั้นต่อหน้าทุกคนแล้วมันเป็นอะไรที่เรารู้สึกผิดมากกับจนครูต้องส่งไปห้องที่ปรึกษาซึ่งตอนนั้นเราพูดอะไรไม่ออกเลยได้เอาแต่ร้องจนสุดท้ายสถานที่ที่ผมอยู่ก็มมารับกลับพอมาวันพุธผมก็ได้กลับมาโรงเรียนเหมือนเดิมแต่นอกโรงเรียนเพราะมันเป็นวิชาพละซึ่งตอนนั้นเรารู้สึกเฉยๆแต่พอเห็นหน้าเพื่อนในห้องตอนนั้นในหัวของเรากลับคิดเรื่องราวของเมื่อวันจันทร์แล้วก็เรื่องเก่าจนสุดท้ายเราก็เหม่อลอยยืนอยู่เฉยๆตากฝนจนครูต้องมาสกิดเราเพื่อให้เข้าไปข้างในแล้วตอนที่เราที่เข้าไปครูบอกให้เรานั่งอยู่เฉยไม่ต้องทำไรแต่เรากลับแอบไปห้องน้ำแล้วถือคัตเตอร์เพื่อจะขูดแขนตัวเองแต่สุดท้ายเราก็ทำไม่ได้ทำได้แค่หั่นผมตัวเองจนครูเขาตามหาแล้วเราก็แออคัตเตอร์ไว้จนครูบอกเราว่าอย่าไปไหนนั่งอยู่ตรงนี้แต่เราก็หามุมแอบเพื่อเอาคัตเตอร์มาหั่นผมเหมือนเดิมแล้วสุดท้ายครูเขาก็เห็นแล้วตอนนั้นเราทั้งตกใจมากแล้วแบบเราร้องไห้ไม่อยุดเลยกว่าเราให้คัตเตอร์ครูก็ใช้เวลาพอสมควรพอเสร็จสิ้นทางด้านสถาที่ก็มารับเราไปเหมือนเดิมแล้วญาติเราก็โทรมาเป็นน้องสาวของแม่เราพยายามอถิบายแต่ดูเหมือนน้าเราพูดถึงแม่มากกว่าเกือบทุกคนที่เป็นญาติแล้วคุยกับผมทุกคนกลับพูดว่าเป็นห่วงแม่มั้งไหม อยากให้แม่เครียดตายเหรอ ถ้ายังทำตัวอย่างนี้ฆ่าแม่ตัวเิงตายทางอ้อมหรอกคือตอนนั้นเราพูดอะไรไม่ออกเลยเราก็ไม่อยากให้เรื่องพวกนี้เกิดขึ้นเราก็ไม่อยากให้เป็นแบบนี้แล้วเราก็ไม่ได้อยากให้แม่ตายตอนนั้นเราได้แต่เงียบแล้วก็ฟังจนสุดท้ายเราก็ออกจากสถาที่นั้นเพราะเราใกล้18แล้วเขาก็เลยต้องเชิญเราออกแต่เขาหาวิธีแก้ปัญหาอยู่จนสุดท้ายเขาคิดว่าเราควรเข้าโรงพยาบาลหรือปรึกษาจิตแพทย์แต่แม่เราไม่ยอมเท่าไหร่เพราะแม่เราคิดว่าเรายังปกติอยู่ดี. ส่วนด้านเรียนสรุปออกมาว่าผมไม่ผ่านก็คือยังไงก็ไม่ผ่านเพราะผมไม่ได้เรียนวิชาหลักซึ่งมันเป็นวิชาที่เขาใช้สอบกันแต่ผมกลับไม่ได้เรียนเพราะสั่งไว้เอาจริงๆก็อยากเรียนอยู่หรอกแต่ตอนนั้นเกิดโควิดพอดีก็เลยต้องอยู่บ้านแล้วมันก็เลยยากขึ้นไปอีกเราก็เลยไมาสามารถข้ามไปม.6ได้แต่ทางโรงเรียนไม่อยากให้ผมซ้ำชั้นเพราะนั้นมันไม่ใช้ทางแก้ปัญหาจนสุดท้ายเขาก็ผมเรื่องชั้นโดยใช้สิทธิของ iac ซึ่งมันเป็นสิทธิในแบบที่ว่าสามารถเลือกได้ว่าจะเรียนอันไหนมั้งหรือไม่นั้นแหละ ทางโรงเรียนเขาแก้ปัญหาแบบนั้นแต่ข้อเสียก็คือไม่สามารถได้ใบปริญญามมาได้แค่ใบเรียนจบแค่นั้น แล้วดูเหมือนว่าทางผ.อดูเหมือนจะไม่ค่อยอยากช่วยผมเท่าไหร่เพราะเขาไม่อยากรับผิดชอบใช้ครับเขาไม่อยากรับผิดชอบเพราะตอนที่ฟันครูAพูดมานะเรารู้เลยว่าผ.อไม่ค่อยอยากช่วยเราสักเท่าไหร่มีแค่ครูAคนเดียวกับครูผู้ดูแลเด็กที่เขาเป็นส่วนนึงที่ต้องดูแลผมจนสุดท้ายก็สรุปตามนั้น
พอขึ้นม.6 เป็นตอนที่ผมเข้าโรงพยาบาลพอดีเรียนได้แค่เดือนนึงก็ได้เข้าโรงพยาบาลซึ่งสาเหตุก็อยู่ในกระทู้แรกที่ผมตั้งแต่ให้บอกคร่าวๆแค่ตอนนั้นผมไปยืนอยู่ที่จอดเรือแล้วครูคิดว่าผมจะโดดลงไปแต่ตอนนั้นผมไป
ยืนอยู่ตรงนั้นซึ่งเราไม่เข้าใจตัวเองว่าไปยืนทำไมแต่ไม่ได้คิดจะฆ่าตัวตายซึ่งผ.อไม่อยากให้ผมกลับบ้านก็เลยโทรเรียกรถพยาบาลเพื่อมารับผมจนซึ่งตอนนั้นเรากดดันมากจนสุดท้ายน้องเราก็โทรมาแล้วด่าสารพัดแบบอยากให้แม่ตายรึไงทำไมชอบสร้างแต่ปัญหาอยู่นิ่งๆไม่เป็นหรึอยังเราก็พยายามอถิบายแต่น้องเราก็ไม่ค่อยฟังเราบอกให้น้องเราฟังแต่ก็บอกว่ากูฟังอยู่กูฟังอยู่พอเราพูดน้องเราก็พูดแทรกเราแทบพูดอะไรไม่ได้จนแม่เราก็โทรมาแม่เราถามว่าเครียดขนาดเลยเหรอทำตัวปกติไม่เป็นรึไงเราบอกแม่ว่าเราก็ไม่อยากมีปัญหามีใครเกิดมาอยากมีปัญหามั้งแล้วแม่เราก็ตอบว่า ไม่อยากมีปัญหาแต่ก็สร้างปัญหา สงสารแม่มั้งไหม พอแม่ถามเราคำถามเรา ก็ตอบว่า หนูก็ไม่อยากให้แม่จ่ายประมาร 150ยูโรหรือ400ยูโร (ท้าตีเป็นเงินไทยอยู่ประมาร4000หรือ10000นึงเดานะ)หรอกน่ะ แม่เราก็ตอบว่า พูดแบบนี้คงไม่ได้ส่งสารกูหรอกนะ พอตอบแบบนั้นเราแบบอึ้ง จนในที่สุดเราพตอบแบบนั้นกลับแม่ไปว่า ถ้าแม่คิดแบบนั้นก็เรื่องของแม่เถอะ ซึ่งมันเป็นครั้งแรกของชีวิตที่เราพูดกลับแม่แบบนั้นเราทั้งรู้สึกผิดรู้สึกไม่ค่อยดีด้วย ตอนเราอยู่ในโรงพยาบาลนั้น หมอเขาให้เลือกว่าจะอยู่ที่นี้หรือกลับถ้ากลับไปบ้านก็เท่ากลับว่าผมทิ้งโอกาสของการช่วยเหลือที่มาถึงเพราะตอนนั้นเราก็อยากรู้เหมือนกันว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับเราแต่ทางฝ่ายครอบครัวของผมไม่อยากให้ผมอยู่แตกต่างที่ครูกับหมออยากให้ผมอยู่มากจนสุดท้ายผมก็เลือกที่จะอยู่ ซึ่งตอนอยู่โรงพยาบาลนะก็รู้สึกดีผ่อนคลายรู้สึกโล่งใจแต่ผมก็ยังไม่ค่อยคุยกับคนเท่าไหร่ไม่รู้ว่าเพราะอายหรืออะไรจนศุกร์ที่8ผมต้องกลับบ้านแต่ผมกลับรู้สึกกลัว กลัวว่ามันจะเกิดขึ้นอีกครั้งเหมือคราวที่แล้วเอาเป็นว่าตอนนี้ยังไม่รู้อนาคตว่าจะเป็นยังไงได้แค่หวังว่าผมอาจจะไม่มีอาการซึมเศร้าหรือเครียดกลับมาอีกเพราะเกิดแบบนี้ทีผมมักจะร้องไห้แล้วหัวเราะแล้วพูดกับคนในจินตนาการพูดเหมือนว่าเขามีตัวตนอยู่จริงหนักสุดถึงขนาดคนๆนั้นเข้ามาจูบทั้งที่คนๆนั้นเป็นผู้หญิงหรือไม่ก็หัวเราะคนเดียวแบบร่างกายอารมณ์มันพาไปหมดจนบังทีเราควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ ซึ่งได้แต่ภาวนาว่าจะไม่เกิดขึ้นแบบนั้นอีก
ขอขอบคุณนะครับคนที่มาอ่านนะครับผมอาจจะตอบช้าหน่อยเพราะแล็ปท็อปของผมมันไม่ใช้ของไทยที่ผมเขียนภาษาไทยได้ก็เพราะใช้แป้นพิมพ์ในโทรศัพท์เอา
เรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นเป็นเพราะตัวเรารึเปล่า?
ศุกร์ที่8ผมก็จะได้ออกโรงพยาบาลแล้วซึ่งสาเหตุที่ผมเข้าโรงพยาบาลอยู่ในกระทู้แรกนะครับ
เรื่องของเรื่องก็มีอยู่ว่าผมมาอยู่เบลเยียมตอนอายุ10ขวบซึ่งดูเหมือนไม่ค่อยมีปัญหาอะไรมากตอนที่อยู่ประถมแต่ผมมักโดนแกล้งบ่อยมากซึ่งตอนนั้นผมอยู่ในโรงเรียนที่มีแต่พวกแขกใช่ครับพวกแขกแต่ก็ไม่ใช้ทุกคนจะนิสัยเสียนะครับแต่ส่วนมากที่ผมเจอมักจะไปทางแง่ลบมากกว่าเวลาผมโดนแกล้งผมมักจะไปหลบในห้องน้ำเป็นประจำแล้วไม่ค่อยบอกครูนอกจากเพื่อนคนอื่นจะมาเห็นถึงจะไปบอกครูแต่เขาจะไม่ค่อยเห็นกันนอกจากผมจะบอกครูเองแต่ตอนนั้นยังไม่ค่อยกล้าเท่าไหร่พอขึ้นป.4ก็ได้ย้ายโรงเรียนไปแถวหน้าบ้านซึ่งดูเหมือนในโรงเรียนไม่ค่อยมีปัญหาเท่าไหร่แต่มีปัญหาที่บ้านแทนพ่อเลี้ยงกับแม่มักทะเลาะกันทุกวันแต่แม่ก็ไม่เคยโต้ตอบเลยเอาแต่เงียบอย่างเดียวบังทีก็แอบร้องไห้อันนี้ผมเดานะแต่ผมเคยเห็นแม่ร้องให้ครั้งนึงจนทุกท้ายพวกเขาสองคนก็เลิกซึ่งตอนนั้นผมไม่รู้ว่าเพราะอะไรจนสุดท้ายพวกเขาเลิกกันเพราะผมเขาพูดแบบนั้นนะ ซึ่งตอนนั้นเป็นตอนที่จบป.4พอดีพอผมขึ้นป.5แม่ผมก็กลับป่วยแล้วสรุปก็เป็นมะเร็งซึ่งตอนอยู่ประถมไม่ค่อยมีเรื่องให้เกิดขึ้นมากมายชักเท่าไหร่คิดว่านะครับเพราะมันก็นานพอสมควร.
พอจบป.5ก็ขึ้นม.1พอดีเหมือคะแนนผมผ่านสามารถข้ามป.6ไปได้พอตอนขึ้นม.1ก็ตื่นเต้นแต่ก็ผ่านไปได้ด้วยดีพอขึ้นม.2คะแนนก็ดีมั้งแย่มั้งแต่ก็สามารถผ่านไปได้พอขึ้นม.3เท่านั้นแหละปัญหาก็เริ่มเข้ามาซึ่งตอนอยู่ม.3ผมแทบไม่มีเพื่อนในห้องเลยมีอยู่แค่2คนแต่2คนนั้นก็อยู่ไม่ได้นานเพราะคนนึงก็ขึ้นม.4อีกคนก็ไม่ค่อยมาโรงเรียนจนสุดท้ายก็ออกไปแล้วเป็นตอนที่ผมรู้ตัวเองว่าเป็นเกย์ซึ่งผมก็ยังไม่เปิดเผยสักเท่าไหร่ส่วยทางที่บ้านดูเหมือนทางที่บ้านก็ไม่ค่อยมีปัญหาอะไรเพราะเขาก็รับได้แต่ผมกลับมีปัญหาที่บ้านแทนเวลาผมมักโมโหแม่ผมมักจะทำลายข้าวของก็ไม่เข้าใจว่าทำไมจนกระทั่งทำร้ายตัวเองส่วนมากเรามักจะเป็นเวลาโมโหแม่มากกว่าส่วนเรื่องเรียนก็โมโหอยู่มั้งเพราะด้วยความที่มันยากแล้วเราไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่เราถามครูอะไรก็แล้วจนสุดท้ายคะแนนก็ผ่านไปได้ก็งงอยู่เหมือนกันว่าผ่านได้ยังไงแต่ก็ดีใจที่ผ่านนะแต่ก็แอบก็รู้สึกแปลกๆเหมือนกัน(พอดีที่เบลเยียมมีสอบใหญ่อยู่สามครั้งนะครับ)พอครึ่งเทอมทุกๆคนในโรงเรียนส่วยมากก็รู้ว่าผมเป็นเกย์ไม่ได้มาจากปากผมเองแต่พอดีคนนั้นเขารู้ว่าผมเป็นก็เลยไปบอกคนอื่นกันปากต่อปากผมก็เลยกลายเป็นจุดสนใจของคนอื่นทั้งที่ผมก็ไม่อยากให้คนอื่นรู้ว่าผมเป็นเกย์เพราะตอนนั้นผมยังไม่กล้ายอมรับแต่เรื่องที่ผมเป็นเกย์ก็ไม่ใช้ปัญหาใหญ่สำรับผมเพราะตอนอยู่ม.3ผมมักจะเครียดเรื่องการเรียนมากกว่าจนสุดท้ายก็ขึ้นม.4มาได้แบบงงๆทั้งที่ผมรู้อยู่ในใจว่าคะแนนแย่แน่แต่ก็ผ่านมาได้ละนะ
พอขึ้นม.4เป็นช่วงที่เจอปัญหาหนักสุดทั้งเรื่องการเรียนเรื่องที่บ้านอย่างที่บอกครับเวลาโมโหมักจะทำลายข้าวของแล้วทำร้ายตัวเองอย่างเช่นตบหน้าตัวเองเอาหัวโขกกำแพงจนสุดท้ายเราก็มักชอบไปอยู่ใต้เตียงแล้วมักจินตนาการผู้หญิงคนนึงที่มากอดเราแล้วพูดกับเราทั้งตัวผมรู้อยู่แล้วว่าเขาไม่มีตัวตนอยู่จริงแล้วสิ่งที่ผมเจ็บที่สุดแล้วผมไม่เคยลืมเลยก็คือเวลาแม่โมโหผมทีไรมักจะเทอาหารผมทิ้งในถังขยะหรือไม่ทำกับข้าวให้ผมกินเลยตอนผมเดินออกมาเอาของผมเห็นแม่กับน้องกินอาหารมีความสุขแต่กลับเมินผมไม่มองผมหรือไม่บังทีก็ไม่คุยกับผมหลายวันมากสุดก็เกือบอาทิตย์นึงผมพยายามคุยกับแม่แต่แม่ก็เมินผมจนบางทีเราไปโรงเรียนแล้วไม่สามารถลืมเรื่องที่แม่เคยทำกับเราจนบังทีเราก็เหม่อลอยไม่ทำงานในโรงเรียนหรือว่าอะไรเลยจนสุดท้ายเราก็ได้คุยกับห้องที่ปรึกษาแต่เราก็ไม่สามารถบอกได้ทุกอย่างหมดจนสุดท้ายเรื่องที่เราเป็นเกย์กลับเป็นที่รู้จักมากที่สุดในโรงเรียนคิดว่านะแต่เรื่องที่เปิดเผยว่าเป็นเพราะเราไม่อยากโกหกอีกต่อไปเพราะยังไงเราก็ไม่ค่อยรู้จักใครมากส่วนใหญ่แต่กลับเป็นผมที่เจ็บอีกครั้งเพราะผู้ชายที่ผมแอบชอบตั้งแต่ตอนอยู่ม.2เขาเป็นผู้ชายคนแรกที่ลูบผมแล้วคนแรกที่กอดผมเป็นคนแรกทำให้ผมหวั่นไหวมากเลยแหละทั้งที่เขาก็ไม่หล่ออะไรมากแต่พอเขารู้ว่าเราเป็นเกย์เขากับรังเกียจผมเอาผมไปนินทาในทางแง่ลบคือตอนนั้นเราแบบเรารู้สึกโง่มาตลอดว่าชอบคนแบบนั้นได้ยังไงหนักสุดเรากลับเครียดเรื่องการเรียนมากแถมครูที่เขาสองกลับมองผมว่าขี้เกียจเรียนไม่ตั้งใจเรียนคิดว่าผมไม่สนใจทั้งที่เราพยายามทำเต็มที่เราพยายามทำครูสนใจทั้งไม่เขียนบนแผ่นกระดาษทั้งทำเป็นเอาหัวไว้บนโต้ะแต่ไม่นอนนะครับแต่เขากลับไม่สนใจแต่กลับเด็กคนอื่นเขากลับสนใจเขากลับเดินเข้าไปหาเด็กทุกคนในห้องทั้งทำเป็นดูคุยถามเกือบทุกคนในห้องแต่กลับผมเขากลับเมินเขาแค่มองแล้วก็เดินผ่านทั้งที่ตอนนั้นผมหวังว่าเขาจะถามแบบโอเคไหมทำไม่ได้เหรอไม่เข้าใช่ไหมแต่กลับไม่เป็นยังงั้นซึ่งตอนนั้นเราทั้งโกรธทั้งโมโหเราอยากจะโยนแฟ้มทิ้งแต่เราทำได้แค่ขูดหนังตัวเองโดนการใช้เล็บนะครับแต่ก็ไม่ถึงขั้นเลือกออกนะครับเพราะเล็บผมไม่ได้แหลมอะไรขนาดนั้นถ้าถามผมว่าผมรู้ได้ยังว่าครูเขาคิดแบบนั้นนี้ครับจะเริ่มเล่าให้ฟังนะครับ 2เดือนก่อนสอบใหญ่สอบปิดเทอมนะครับผมกลัยได้รู้จักครูคนนึงเขาเป็นครูextra (นามสมมุติ A)นะครับเขาช่วยผมเรื่องการเรียนจนปมสามารถบอกปัญหาเรื่องที่บ้านที่โรงเรียนได้เป็นคนที่คุยแล้วโล่งใจ แล้วนั้นทำให้ผมรู้ว่าครูที่เขาสอนวิชานั้นคิดแบบนั้นกับผม จนสุดท้ายครู A กับผมก็สามารถติวทำความเข้าใจแต่ละข้อได้จนสุดท้ายก็ผ่านขึ้นม.5แบบฉิวเฉียด
พอมา ม.5 การทำร้ายตัวเองกับความเครียดก็หนักอยู่เหมือนเดิมเพราะด้วยความที่มันเรียนยากขึ้นอะไรด้วยจนสุดท้ายทางโรงเรียนก็ส่งผมไปสถานที่นึงซึ่งเป็นที่สำหรับที่มีปัญหาซึ่งตอนที่อยู่ที่นั้นแถบไม่ได้คุยกับใครเลยนอกจากผู้ดูแลแต่ส่วนมากก็คุยด้วยเรื่องทั่วไปจนมามีวันนึงเป็นวันนึงตอนนั้นเราเครียดมากกับเรื่องเรียนมันเป็นอะไรที่อยากมากแล้วเราก็ทำไม่ได้ขนาดฝรั่งก็ยังทำไม่นับพาษาอะไรกับจนตอนนั้นเราหลุดแล้วเราก็ต่อยตู้ล็อกเกอร์ซึ่งเป็นครั้งแรกที่เราทำแบบนั้นต่อหน้าทุกคนแล้วมันเป็นอะไรที่เรารู้สึกผิดมากกับจนครูต้องส่งไปห้องที่ปรึกษาซึ่งตอนนั้นเราพูดอะไรไม่ออกเลยได้เอาแต่ร้องจนสุดท้ายสถานที่ที่ผมอยู่ก็มมารับกลับพอมาวันพุธผมก็ได้กลับมาโรงเรียนเหมือนเดิมแต่นอกโรงเรียนเพราะมันเป็นวิชาพละซึ่งตอนนั้นเรารู้สึกเฉยๆแต่พอเห็นหน้าเพื่อนในห้องตอนนั้นในหัวของเรากลับคิดเรื่องราวของเมื่อวันจันทร์แล้วก็เรื่องเก่าจนสุดท้ายเราก็เหม่อลอยยืนอยู่เฉยๆตากฝนจนครูต้องมาสกิดเราเพื่อให้เข้าไปข้างในแล้วตอนที่เราที่เข้าไปครูบอกให้เรานั่งอยู่เฉยไม่ต้องทำไรแต่เรากลับแอบไปห้องน้ำแล้วถือคัตเตอร์เพื่อจะขูดแขนตัวเองแต่สุดท้ายเราก็ทำไม่ได้ทำได้แค่หั่นผมตัวเองจนครูเขาตามหาแล้วเราก็แออคัตเตอร์ไว้จนครูบอกเราว่าอย่าไปไหนนั่งอยู่ตรงนี้แต่เราก็หามุมแอบเพื่อเอาคัตเตอร์มาหั่นผมเหมือนเดิมแล้วสุดท้ายครูเขาก็เห็นแล้วตอนนั้นเราทั้งตกใจมากแล้วแบบเราร้องไห้ไม่อยุดเลยกว่าเราให้คัตเตอร์ครูก็ใช้เวลาพอสมควรพอเสร็จสิ้นทางด้านสถาที่ก็มารับเราไปเหมือนเดิมแล้วญาติเราก็โทรมาเป็นน้องสาวของแม่เราพยายามอถิบายแต่ดูเหมือนน้าเราพูดถึงแม่มากกว่าเกือบทุกคนที่เป็นญาติแล้วคุยกับผมทุกคนกลับพูดว่าเป็นห่วงแม่มั้งไหม อยากให้แม่เครียดตายเหรอ ถ้ายังทำตัวอย่างนี้ฆ่าแม่ตัวเิงตายทางอ้อมหรอกคือตอนนั้นเราพูดอะไรไม่ออกเลยเราก็ไม่อยากให้เรื่องพวกนี้เกิดขึ้นเราก็ไม่อยากให้เป็นแบบนี้แล้วเราก็ไม่ได้อยากให้แม่ตายตอนนั้นเราได้แต่เงียบแล้วก็ฟังจนสุดท้ายเราก็ออกจากสถาที่นั้นเพราะเราใกล้18แล้วเขาก็เลยต้องเชิญเราออกแต่เขาหาวิธีแก้ปัญหาอยู่จนสุดท้ายเขาคิดว่าเราควรเข้าโรงพยาบาลหรือปรึกษาจิตแพทย์แต่แม่เราไม่ยอมเท่าไหร่เพราะแม่เราคิดว่าเรายังปกติอยู่ดี. ส่วนด้านเรียนสรุปออกมาว่าผมไม่ผ่านก็คือยังไงก็ไม่ผ่านเพราะผมไม่ได้เรียนวิชาหลักซึ่งมันเป็นวิชาที่เขาใช้สอบกันแต่ผมกลับไม่ได้เรียนเพราะสั่งไว้เอาจริงๆก็อยากเรียนอยู่หรอกแต่ตอนนั้นเกิดโควิดพอดีก็เลยต้องอยู่บ้านแล้วมันก็เลยยากขึ้นไปอีกเราก็เลยไมาสามารถข้ามไปม.6ได้แต่ทางโรงเรียนไม่อยากให้ผมซ้ำชั้นเพราะนั้นมันไม่ใช้ทางแก้ปัญหาจนสุดท้ายเขาก็ผมเรื่องชั้นโดยใช้สิทธิของ iac ซึ่งมันเป็นสิทธิในแบบที่ว่าสามารถเลือกได้ว่าจะเรียนอันไหนมั้งหรือไม่นั้นแหละ ทางโรงเรียนเขาแก้ปัญหาแบบนั้นแต่ข้อเสียก็คือไม่สามารถได้ใบปริญญามมาได้แค่ใบเรียนจบแค่นั้น แล้วดูเหมือนว่าทางผ.อดูเหมือนจะไม่ค่อยอยากช่วยผมเท่าไหร่เพราะเขาไม่อยากรับผิดชอบใช้ครับเขาไม่อยากรับผิดชอบเพราะตอนที่ฟันครูAพูดมานะเรารู้เลยว่าผ.อไม่ค่อยอยากช่วยเราสักเท่าไหร่มีแค่ครูAคนเดียวกับครูผู้ดูแลเด็กที่เขาเป็นส่วนนึงที่ต้องดูแลผมจนสุดท้ายก็สรุปตามนั้น
พอขึ้นม.6 เป็นตอนที่ผมเข้าโรงพยาบาลพอดีเรียนได้แค่เดือนนึงก็ได้เข้าโรงพยาบาลซึ่งสาเหตุก็อยู่ในกระทู้แรกที่ผมตั้งแต่ให้บอกคร่าวๆแค่ตอนนั้นผมไปยืนอยู่ที่จอดเรือแล้วครูคิดว่าผมจะโดดลงไปแต่ตอนนั้นผมไป
ยืนอยู่ตรงนั้นซึ่งเราไม่เข้าใจตัวเองว่าไปยืนทำไมแต่ไม่ได้คิดจะฆ่าตัวตายซึ่งผ.อไม่อยากให้ผมกลับบ้านก็เลยโทรเรียกรถพยาบาลเพื่อมารับผมจนซึ่งตอนนั้นเรากดดันมากจนสุดท้ายน้องเราก็โทรมาแล้วด่าสารพัดแบบอยากให้แม่ตายรึไงทำไมชอบสร้างแต่ปัญหาอยู่นิ่งๆไม่เป็นหรึอยังเราก็พยายามอถิบายแต่น้องเราก็ไม่ค่อยฟังเราบอกให้น้องเราฟังแต่ก็บอกว่ากูฟังอยู่กูฟังอยู่พอเราพูดน้องเราก็พูดแทรกเราแทบพูดอะไรไม่ได้จนแม่เราก็โทรมาแม่เราถามว่าเครียดขนาดเลยเหรอทำตัวปกติไม่เป็นรึไงเราบอกแม่ว่าเราก็ไม่อยากมีปัญหามีใครเกิดมาอยากมีปัญหามั้งแล้วแม่เราก็ตอบว่า ไม่อยากมีปัญหาแต่ก็สร้างปัญหา สงสารแม่มั้งไหม พอแม่ถามเราคำถามเรา ก็ตอบว่า หนูก็ไม่อยากให้แม่จ่ายประมาร 150ยูโรหรือ400ยูโร (ท้าตีเป็นเงินไทยอยู่ประมาร4000หรือ10000นึงเดานะ)หรอกน่ะ แม่เราก็ตอบว่า พูดแบบนี้คงไม่ได้ส่งสารกูหรอกนะ พอตอบแบบนั้นเราแบบอึ้ง จนในที่สุดเราพตอบแบบนั้นกลับแม่ไปว่า ถ้าแม่คิดแบบนั้นก็เรื่องของแม่เถอะ ซึ่งมันเป็นครั้งแรกของชีวิตที่เราพูดกลับแม่แบบนั้นเราทั้งรู้สึกผิดรู้สึกไม่ค่อยดีด้วย ตอนเราอยู่ในโรงพยาบาลนั้น หมอเขาให้เลือกว่าจะอยู่ที่นี้หรือกลับถ้ากลับไปบ้านก็เท่ากลับว่าผมทิ้งโอกาสของการช่วยเหลือที่มาถึงเพราะตอนนั้นเราก็อยากรู้เหมือนกันว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับเราแต่ทางฝ่ายครอบครัวของผมไม่อยากให้ผมอยู่แตกต่างที่ครูกับหมออยากให้ผมอยู่มากจนสุดท้ายผมก็เลือกที่จะอยู่ ซึ่งตอนอยู่โรงพยาบาลนะก็รู้สึกดีผ่อนคลายรู้สึกโล่งใจแต่ผมก็ยังไม่ค่อยคุยกับคนเท่าไหร่ไม่รู้ว่าเพราะอายหรืออะไรจนศุกร์ที่8ผมต้องกลับบ้านแต่ผมกลับรู้สึกกลัว กลัวว่ามันจะเกิดขึ้นอีกครั้งเหมือคราวที่แล้วเอาเป็นว่าตอนนี้ยังไม่รู้อนาคตว่าจะเป็นยังไงได้แค่หวังว่าผมอาจจะไม่มีอาการซึมเศร้าหรือเครียดกลับมาอีกเพราะเกิดแบบนี้ทีผมมักจะร้องไห้แล้วหัวเราะแล้วพูดกับคนในจินตนาการพูดเหมือนว่าเขามีตัวตนอยู่จริงหนักสุดถึงขนาดคนๆนั้นเข้ามาจูบทั้งที่คนๆนั้นเป็นผู้หญิงหรือไม่ก็หัวเราะคนเดียวแบบร่างกายอารมณ์มันพาไปหมดจนบังทีเราควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ ซึ่งได้แต่ภาวนาว่าจะไม่เกิดขึ้นแบบนั้นอีก
ขอขอบคุณนะครับคนที่มาอ่านนะครับผมอาจจะตอบช้าหน่อยเพราะแล็ปท็อปของผมมันไม่ใช้ของไทยที่ผมเขียนภาษาไทยได้ก็เพราะใช้แป้นพิมพ์ในโทรศัพท์เอา