คำชมตรงๆจากใจบริสุทธิ์ของน้องนาถยา กระกิดความสนใจของชายที่เพิ่งจับกีตาร์มาถือในมือ ร้อยทั้งร้อยของผู้ชายเมื่อได้ยินคำว่าสาวสวยก็อดเผลอมองไม่ได้ แม้จะไม่ใช่คนเจ้าชู้ไก่แจ้ก็ตาม
นรามองไปยังแขกที่คุณพิมพามาแนะนำตัว ใจเขาไม่ได้คิดอะไรมากไปกว่าอยากเห็นหน้าให้ชัดๆเท่านั้นเอง ก็พอดีกันกับที่คุณพิมก้าวห่างออกมาจากหญิงสาว ราวกับม่านที่บังตาไว้ได้ถูกเปิดออก
แม้สมองจะสั่งงานช้าสักหน่อยเพราะความเหนื่อยอ่อนจากการตรากตรำงานสวนที่ยังไม่ชิน แต่ใจไม่เคยหยุดพัก ไม่เคยหยุดคะนึงหาแม้เสี้ยววินาที ภาพของเธอถูกสลักไว้ในดวงจิต เรือนร่างสัดส่วน วงหน้า และกรอบตาคู่นั้นจะเปลี่ยนสีไปอย่างไรก็ไม่มีผลต่อการจำ
โครม เสียงวัตถุตกลงกระทบพื้น ทุกคนหันไปมอง นรานั่นเองปล่อยกีต้าร์โปร่งในมือร่วงขณะที่เขาผลุนผลันลุกขึ้น สายตามองมายังหญิงสาวผู้มาใหม่อย่างพลุ่งพล่าน
แม้แต่หญิงสาวทั้งสองที่ด้อยประสบการณ์ ความคิดไม่เท่าทันผู้ใหญ่ พอมาเห็นกริยาที่ปุบปับเกิดขึ้นของนรา แม้จะงงด้วยปัจจุบันทันด่วน แต่ก็รู้ว่าไม่ใข่เรื่องที่อยู่ดีๆก็เกิด ต้องมีอะไรมากกว่าที่เห็นเป็นแน่
วินาทีที่สายตาทุกคู่หันมารวมกันที่นรา หญิงสาวมาลัยหาได้แม้แต่ชำเลืองไม่ หากใครเผอิญสังเกตในตอนนั้น อาจจะได้เห็นอาการกลั้นหัวเราะน้อยๆของเธอ
ต่างคนต่างนิ่งเงียบไปชั่วขณะ ในหัวของใครก็คิดกันไปคนละเรื่อง หรืออาจจะเป็นเรื่องเดียวกัน
เหมือนกับจะจู่โจมไม่ให้ตั้งตัว มาลัยก้าวไปข้างหน้า ใกล้กับโต๊ะที่เจ้าจ๋านและเจ้าหยกนั่งอยู่ดวงตางามสีนิลมองไปทางสองสหาย ซึ่งตอนนี้แลดูน่าขบขันยิ่งนัก เพราะเก้าอี้ที่ทั้งสองนั่งในตอนแรกห่างกันพอไขว่ห้างได้สบายๆ แต่ในตอนนี้กลับเขยิบเข้ามาเบียดชิดกันตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้
“สวัสดีค่ะ คุณจ๋านคุณหยก เมื่อกี้ยังเห็นนั่งคุยกันอยู่ดีๆเลย พอเห็นฉันเท่านั้นนิ่งอุบไปเลย ฉันมาขัดจังหวะหรือเปล่าค่ะ”
ไวน์ที่อยู่ในแก้วทั้งสองคนกระเพื่อมเล็กน้อย ตามแรงสั่นของมือ มืออีกข้างคว้ากุมกันหมับอย่างยึดเหนี่ยวเป็นที่พึ่ง สมมติมีใครไม่ได้รู้จักมักจี่มาเห็น มองอย่างผิวเผิน คงจะเข้าใจเป็นอื่นไปไม่ได้ นอกจากเป็นคู่รักกัน
อย่างไรก็ดี เจ้าจ๋านนั้นพลิกมาดได้อย่างน่าเหลือเชื่อ สลัดมือออกจากเจ้าหยกราวกับคนรักตัดเยื่อใยกัน โคลงแก้วในมืออย่างนุ่มนวลเพื่อกวนไวน์ให้หายใจ ก่อนยกขึ้นจิบอย่างปลอดโปร่ง พลางตอบด้วยมารยาทผู้เหย้า หากแต่น้ำเสียงพยายามข่มไว้ไม่ให้ผิดปรกติ
“ต้องขอโทษด้วยครับ ไม่ได้นึกว่าคุณ เอ่อ มาลัยจะมาเยี่ยมเยียนถึงที่บ้าน พอดีคุยกับเพื่อนเพลินไปหน่อย เห็นคุณมาโจ่งแจ้งแบบนี้ก็เลยตกใจไม่รู้เนื้อรู้ตัว เอ้ย ไม่ใช่ ผะ ผมไม่นึกว่าจะมาได้ทั้งที่ยังไม่มืด เอ้ย เปล่า ผมไม่ได้กลัวอะไรเลย จริงๆ ยินดีต้อนรับครับ แม้ว่า อุ๊บ”
เสียงที่ขาดหายไปทันควันของเจ้าตัวนั้นเกิดขึ้นจากมือของศรีภรรยา ที่รีบปราดเข้ามาอุดปากสามี เพราะขืนปล่อยให้พูดต่อเห็นท่าจะไม่ดี หลังจากส่งสายตาปรามเจ้าจ๋านแล้ว คุณพิมจึงหันมาทางสตรีร่างสะโอดสะอง
“พี่จ๋านเมาแล้วพูดจาไม่รู้เรื่อง อย่าถือสาเลยนะค่ะ เชิญคุณมาลัยนั่งก่อน”
แล้วเธอก็ลากเก้าอี้ตัวหนึ่งมาให้แขกนั่ง สาวงามกล่าวขอบคุณแล้วนั่งลงด้วยกริยาอ่อนช้อยน่ามอง สีหน้าเธอไม่มีแววขุ่นข้องใดๆจากคำพูดเจ้าจ๋านทั้งสิ้น ไม่แม้แต่จะแยแสเสียงเรียกจากใครคนหนึ่งที่เฝ้ามองอยู่และโพล่งออกมา
“วิมาลา”
คนที่รู้จักชื่อนี้มาก่อนต่างสะดุ้งไปตามๆกัน ไม่เว้นแม้คุณพิมที่รักษาความเยือกเย็นได้ดีกว่าใคร มีแต่ขวัญใจคนเดียวที่ไม่ได้พลอยตื่นเต้นไปด้วย หากแต่หญิงสาวแปลกใจในอากัปกิริยาของทุกคน เหตุด้วยไม่รู้เรื่องอะไร
ชื่อนั้นไม่ได้สั่นกระดิ่งในโสตของหญิงงามที่ชื่อมาลัยเลย หรืออีกอย่างเธออาจเอาหูทวนลมก็เป็นได้ หันไปพูดกับคุณพิมราวกับไม่ได้ยินอะไร
“บ้านคุณพิมน่าอยู่จังเลยนะค่ะ กลิ่นดอกไม้หอมรวยมาจากสวนข้างล่างเลย”
คุณพิมยิ้มเจื่อนๆ ยังไม่ทันได้ตอบอะไร นราซึ่งคงขัดอกขัดใจที่หญิงสาวทำเป็นแชเชือน จึงกล่าวขอโทษกับนาถยาและขวัญใจที่นั่งอยู่ข้างหน้า ทั้งคู่หลีกทางให้อย่างงงๆ ชายหนุ่มรีบเดินตรงมา แต่ด้วยความซุ่มซ่ามจึงสะดุดยกพื้นเข้าให้ หัวทิ่มคะม่ำไปข้างหน้า ท่าราวกับจะตะครุบอะไรบนพื้น
เจ้าจ๋านและเจ้าหยกเห็นเข้าก็ลืมกลัว ร้องลั่นเป็นเสียงเดียว ขยับตัวพร้อมกัน
“เฮ้ย ระวัง”
ส่วนสองสาวนั้นร้องวิ้ดด้วยความตกใจ ด้วยความที่อยู่ใกล้ จึงพากันยกมือคว้าโดยสัญชาตญาณ แต่ไม่ทัน ร่างของชายหนุ่มได้ล้มฟาดกับพื้นเรือนอย่างไม่เป็นท่าเข้าเสียก่อน
เสียงดังปัง ท่ามกลางความใจหายของทุกคน คุณพิมรีบเข้ามาดูทันที แต่ก็ยังช้าไป เพราะมีร่างบางๆชิงถลันตัดหน้าไปเสียก่อน ถึงตัวของชายหนุ่มก่อนใคร
คุณพิมชะงัก เช่นเดียวกับทุกคน ภาพที่เห็นหลักจากนั้นแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง และทำให้หัวใจเต้นถี่แรง
ชายหนุ่มยักแย่ยักยันลุกขึ้นนั่งได้ด้วยสองแขนที่โอบประคองของมาลัย แล้วเธอก็สวมกอดเขา
ความเงียบในตอนนั้น เรียกว่าแม้ใบไม้สักใบปลิดร่วงจากกิ่งก็ได้ยินถนัด ดังนั้นเสียงสะอึกสะอื้นจากหญิงงามที่บ่งบอกถึงความรักลุ่มลึกต่อชายหนุ่ม จึงเข้าหูกันถ้วนหน้า
“นรา เธอไม่เป็นไรนะ ฉันขอโทษ ฉันแค่ตั้งใจจะแกล้ง เลยทำเป็นไม่รู้จักเธอแต่แรก ฉันอยากลองใจเธอว่าจะจำฉันได้หรือไม่ ใจจริงฉันแทบขาด อยากถลาไปหาเธอตั้งแต่ขึ้นรถมาจากข้างทางแล้ว”
นราพูดอะไรบางอย่างออกมา แต่ด้วยสุ้มเสียงที่พร่าสั่นเครือของเขา คนรอบข้างจึงจับคำพูดนั้นไม่ได้ คงมีก็แต่ใบหน้าเนียนที่คลอเคลียแนบริมฝีปากนั้นกระมัง ที่ได้ยินชัดเจนครบถ้วนแต่เพียงผู้เดียว แล้วทั้งคู่ก็ร้องไห้โฮออกมา โอบกอดกันแนบแน่นเหมือนเป็นร่างเดียว ไม่ห่วงพะวงกับสายตาคนรอบข้าง
ราวกับโลกได้หยุดหมุนเพื่อทั้งสอง ทำให้จมอยู่ในห้วงภวังค์อย่างลืมตัว คุณพิมมองด้วยน้ำตาคลอรื้นในดวงตา ความคลางแคลงอะไรที่เคยมีสูญมลายไปสิ้น ในที่สุดสวรรค์ก็ส่งเสริมคู่รักต่างภพคู่นี้ให้สมหวัง
ไม่มีใครรู้ว่าต้องตกอยู่ในบรรยากาศเงียบกริบอย่างนี้ไปอีกนานเท่าไหร่ ถ้าเผอิญไม่มีเสียงรถมอเตอรไซค์วิ่งมาจอดและดับเครื่องลงที่หน้าบ้าน
สักพักก็มีเสียงบีบแตรเรียก ทำให้ทุกคนตื่นตัว แต่ก็ยังหันหน้ามองกันไปมา ไม่มีใครปริปากพูดอะไร
ชายหนุ่มและหญิงสาวเหมือนเพิ่งรู้ตัว ค่อยๆผละออกจากอ้อมกอดของกันและกัน ส่งรอยยิ้มที่เก้อเขินให้กับคนรอบข้าง
ทุกคนยิ้มตอบรับในรูปแบบแตกต่างกันออกไป แม้แต่ขวัญใจที่หน้าเสียแต่ก็ส่งรอยยิ้มเหือดๆให้ หลังจากนั้นมาลัยได้พูดขึ้นอย่างเอียงอายแต่ก็เต็มไปด้วยความเด็ดเดี่ยวว่า
“ต้องขอโทษด้วยค่ะ ที่ทำอะไรประเจิดประเจ้อ ไม่งามในบ้านต่อหน้า แต่เชื่อว่าพวกคุณคงต้องรู้บ้างแล้ว ว่าฉันกับนรารู้สึกอย่างไรต่อกัน”
คุณพิมได้ใช้โอกาสนั้นเดินมาจับแขนของทั้งสอง ถึงตอนนี้แล้วเธอตั้งใจพูดแทนคนในครอบครัว ทำลายความประดักประเดิดที่ผ่านมาให้หมดไป เพื่อความสบายใจของทุกฝ่าย
“โธ่ ฉันเป็นผู้หญิงเหมือนกันทำไมจะไม่เข้าใจค่ะ คุณมาลัยไม่ได้ทำอะไรเกินเลยสักนิด แหม “คนเรา”ก็มีหัวจิตหัวใจนี่ค่ะ ได้เจอคนรักทั้งทีทำตัวเฉยเมยได้ก็แปลกไปแล้ว”
เธอตั้งใจเน้นคำ”คนเรา” เป็นพิเศษ เพื่อจงใจให้สามีเธอได้ยินถนัดถนี่ เพราะรู้สึกขัดหูขัดตาเหลือเกินกับท่าทางหวาดกลัวของเขา
เจ้าจ๋านไม่ใช่คนสมองทึบอีกทั้งรู้ใจภรรยาเป็นอย่างดี อึ้งไปตามคำพูดคุณพิมสักพักก็ตีความหมายได้บางส่วน มันวางแก้วลงบนโต๊ะ ผุดลุกขึ้นมองไปทางหน้าบ้าน พลางกล่าวขึ้นอย่างให้ได้ยินกันทุกคน ไม่ได้ตั้งใจพูดกับใครคนใดคนหนึ่งโดยเฉพาะ
“ไม่รู้ใครมา ขอลงไปดูก่อนแล้วกัน แล้วมีอะไรค่อยพูด เอ้ใครมานะเวลาเย็นขนาดนี้แล้ว”
ช่วงท้ายเสียงของมันบ่งบอกถึงความแปลกใจจริงๆ พอขยับจะเดินลงเรือนไปดู เจ้าหยกที่นั่งอยู่ด้วยรีบใช้เวลาเสี้ยววินาที สาดของเหลวในแก้วที่ถือมานานจนเมื่อยเข้าคออย่างฉับพลัน ท่าทีพะอืดพะอมเล็กน้อย แต่ก็ลุกขึ้นตามไปด้วยอย่างปราดเปรียว
“ให้กันไปเป็นเพื่อนด้วยดีกว่า ตอนนี้ใกล้มืดค่ำแล้ว ระวังไว้ก่อนก็ดี”
ทั้งคู่มองหน้าอีกฝ่าย ซึ่งจะสื่อความหมายอะไรต่อกันก็ไม่รู้ เพราะเห็นจะเข้าใจอยู่แค่เพียงสองคน แล้วสหายทั้งสองก็เดินลงเรือนไปด้วยกัน ทุกคนมองตาม
สักครู่ทั้งคู่ก็เดินกลับคืนขึ้นบนบ้าน แถมยังพาใครอีกคนหนึ่งติดตามมาด้วย แว่วได้ยินเสียงสนทนามาตลอดทาง แต่ยังไม่เห็นตัว คนพูดในตอนนั้นคือเจ้าจ๋านนั่นเอง กำลังพูดกับใครอีกคนที่อยู่ใกล้ๆ
“แหม ไม่ได้เห็นชาญมานาน รูปร่างสูงใหญ่ขึ้นเป็นกอง สาวๆแถวนี้คงติดเกรียวล่ะสิ อ้าวนี่เอาแกงมาให้ญาติแล้วจะเลยรับน้องสาวกลับบ้านด้วย รีบทำไม อยู่กินข้าวด้วยกันก่อนสิ โอโห แล้วนี่ไปสักมาตั้งแต่เมื่อไหร่ รูปยักษ์ใช่ไหม เต็มอกไปหมดเลย”
ทุกคนเงียบรอดูจนแขกปรากฎตัว เมื่อเห็นหน้ากันอย่างถนัดชัดแจ้ง ก็มีหญิงสาวสองคนที่เบือนหน้าหนีอย่างเอือมระอา
คนแรกคือน้องขวัญใจที่มองหน้าพี่ชายร่วมสายเลือดแบบหน่ายๆ ท่าทีราวกับเด็กที่กำลังเล่นนอกบ้านอย่างสนุกสนาน แล้วมีญาติมาตามกลับบ้าน ยิ่งในขณะนั้นดวงตาเธอเศร้าสร้อยเหมือนเพิ่งผิดหวังอะไรมาหมาดๆ
อีกคนคือ หญิงสาว”มาลัย” ซึ่งตอนนี้เธอกางแขนราวกับงูจงอางแผ่พังพานขึ้นปกป้องคนรักของเธอ และเลยเผื่อแผ่ไปยังคุณพิมด้วย เธอรีบกระซิบบอกคุณพิมทันที เพราะเห็นเป็นคนปฏิกิริยาว่องไวต่อปัญหาเฉพาะหน้าได้ดีที่สุด
“รอยสักทศกัณฐ์ แต่นี่แอบไปทำมาแบบผิดกรรมพิธี พวกรากษสถึงเข้ามาสิงหาอยู่แทน คุณพิมสวดภาณยักษ์เป็นไหมค่ะ ถ้าไม่ได้รีบท่องตามฉัน ได้เห็นตัวตนแท้คราวนี้แหละค่ะ”
ลุงข้างทางตอน8(ใกล้จบเรื่อยๆเข้าไปอีก)
นรามองไปยังแขกที่คุณพิมพามาแนะนำตัว ใจเขาไม่ได้คิดอะไรมากไปกว่าอยากเห็นหน้าให้ชัดๆเท่านั้นเอง ก็พอดีกันกับที่คุณพิมก้าวห่างออกมาจากหญิงสาว ราวกับม่านที่บังตาไว้ได้ถูกเปิดออก
แม้สมองจะสั่งงานช้าสักหน่อยเพราะความเหนื่อยอ่อนจากการตรากตรำงานสวนที่ยังไม่ชิน แต่ใจไม่เคยหยุดพัก ไม่เคยหยุดคะนึงหาแม้เสี้ยววินาที ภาพของเธอถูกสลักไว้ในดวงจิต เรือนร่างสัดส่วน วงหน้า และกรอบตาคู่นั้นจะเปลี่ยนสีไปอย่างไรก็ไม่มีผลต่อการจำ
โครม เสียงวัตถุตกลงกระทบพื้น ทุกคนหันไปมอง นรานั่นเองปล่อยกีต้าร์โปร่งในมือร่วงขณะที่เขาผลุนผลันลุกขึ้น สายตามองมายังหญิงสาวผู้มาใหม่อย่างพลุ่งพล่าน
แม้แต่หญิงสาวทั้งสองที่ด้อยประสบการณ์ ความคิดไม่เท่าทันผู้ใหญ่ พอมาเห็นกริยาที่ปุบปับเกิดขึ้นของนรา แม้จะงงด้วยปัจจุบันทันด่วน แต่ก็รู้ว่าไม่ใข่เรื่องที่อยู่ดีๆก็เกิด ต้องมีอะไรมากกว่าที่เห็นเป็นแน่
วินาทีที่สายตาทุกคู่หันมารวมกันที่นรา หญิงสาวมาลัยหาได้แม้แต่ชำเลืองไม่ หากใครเผอิญสังเกตในตอนนั้น อาจจะได้เห็นอาการกลั้นหัวเราะน้อยๆของเธอ
ต่างคนต่างนิ่งเงียบไปชั่วขณะ ในหัวของใครก็คิดกันไปคนละเรื่อง หรืออาจจะเป็นเรื่องเดียวกัน
เหมือนกับจะจู่โจมไม่ให้ตั้งตัว มาลัยก้าวไปข้างหน้า ใกล้กับโต๊ะที่เจ้าจ๋านและเจ้าหยกนั่งอยู่ดวงตางามสีนิลมองไปทางสองสหาย ซึ่งตอนนี้แลดูน่าขบขันยิ่งนัก เพราะเก้าอี้ที่ทั้งสองนั่งในตอนแรกห่างกันพอไขว่ห้างได้สบายๆ แต่ในตอนนี้กลับเขยิบเข้ามาเบียดชิดกันตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้
“สวัสดีค่ะ คุณจ๋านคุณหยก เมื่อกี้ยังเห็นนั่งคุยกันอยู่ดีๆเลย พอเห็นฉันเท่านั้นนิ่งอุบไปเลย ฉันมาขัดจังหวะหรือเปล่าค่ะ”
ไวน์ที่อยู่ในแก้วทั้งสองคนกระเพื่อมเล็กน้อย ตามแรงสั่นของมือ มืออีกข้างคว้ากุมกันหมับอย่างยึดเหนี่ยวเป็นที่พึ่ง สมมติมีใครไม่ได้รู้จักมักจี่มาเห็น มองอย่างผิวเผิน คงจะเข้าใจเป็นอื่นไปไม่ได้ นอกจากเป็นคู่รักกัน
อย่างไรก็ดี เจ้าจ๋านนั้นพลิกมาดได้อย่างน่าเหลือเชื่อ สลัดมือออกจากเจ้าหยกราวกับคนรักตัดเยื่อใยกัน โคลงแก้วในมืออย่างนุ่มนวลเพื่อกวนไวน์ให้หายใจ ก่อนยกขึ้นจิบอย่างปลอดโปร่ง พลางตอบด้วยมารยาทผู้เหย้า หากแต่น้ำเสียงพยายามข่มไว้ไม่ให้ผิดปรกติ
“ต้องขอโทษด้วยครับ ไม่ได้นึกว่าคุณ เอ่อ มาลัยจะมาเยี่ยมเยียนถึงที่บ้าน พอดีคุยกับเพื่อนเพลินไปหน่อย เห็นคุณมาโจ่งแจ้งแบบนี้ก็เลยตกใจไม่รู้เนื้อรู้ตัว เอ้ย ไม่ใช่ ผะ ผมไม่นึกว่าจะมาได้ทั้งที่ยังไม่มืด เอ้ย เปล่า ผมไม่ได้กลัวอะไรเลย จริงๆ ยินดีต้อนรับครับ แม้ว่า อุ๊บ”
เสียงที่ขาดหายไปทันควันของเจ้าตัวนั้นเกิดขึ้นจากมือของศรีภรรยา ที่รีบปราดเข้ามาอุดปากสามี เพราะขืนปล่อยให้พูดต่อเห็นท่าจะไม่ดี หลังจากส่งสายตาปรามเจ้าจ๋านแล้ว คุณพิมจึงหันมาทางสตรีร่างสะโอดสะอง
“พี่จ๋านเมาแล้วพูดจาไม่รู้เรื่อง อย่าถือสาเลยนะค่ะ เชิญคุณมาลัยนั่งก่อน”
แล้วเธอก็ลากเก้าอี้ตัวหนึ่งมาให้แขกนั่ง สาวงามกล่าวขอบคุณแล้วนั่งลงด้วยกริยาอ่อนช้อยน่ามอง สีหน้าเธอไม่มีแววขุ่นข้องใดๆจากคำพูดเจ้าจ๋านทั้งสิ้น ไม่แม้แต่จะแยแสเสียงเรียกจากใครคนหนึ่งที่เฝ้ามองอยู่และโพล่งออกมา
“วิมาลา”
คนที่รู้จักชื่อนี้มาก่อนต่างสะดุ้งไปตามๆกัน ไม่เว้นแม้คุณพิมที่รักษาความเยือกเย็นได้ดีกว่าใคร มีแต่ขวัญใจคนเดียวที่ไม่ได้พลอยตื่นเต้นไปด้วย หากแต่หญิงสาวแปลกใจในอากัปกิริยาของทุกคน เหตุด้วยไม่รู้เรื่องอะไร
ชื่อนั้นไม่ได้สั่นกระดิ่งในโสตของหญิงงามที่ชื่อมาลัยเลย หรืออีกอย่างเธออาจเอาหูทวนลมก็เป็นได้ หันไปพูดกับคุณพิมราวกับไม่ได้ยินอะไร
“บ้านคุณพิมน่าอยู่จังเลยนะค่ะ กลิ่นดอกไม้หอมรวยมาจากสวนข้างล่างเลย”
คุณพิมยิ้มเจื่อนๆ ยังไม่ทันได้ตอบอะไร นราซึ่งคงขัดอกขัดใจที่หญิงสาวทำเป็นแชเชือน จึงกล่าวขอโทษกับนาถยาและขวัญใจที่นั่งอยู่ข้างหน้า ทั้งคู่หลีกทางให้อย่างงงๆ ชายหนุ่มรีบเดินตรงมา แต่ด้วยความซุ่มซ่ามจึงสะดุดยกพื้นเข้าให้ หัวทิ่มคะม่ำไปข้างหน้า ท่าราวกับจะตะครุบอะไรบนพื้น
เจ้าจ๋านและเจ้าหยกเห็นเข้าก็ลืมกลัว ร้องลั่นเป็นเสียงเดียว ขยับตัวพร้อมกัน
“เฮ้ย ระวัง”
ส่วนสองสาวนั้นร้องวิ้ดด้วยความตกใจ ด้วยความที่อยู่ใกล้ จึงพากันยกมือคว้าโดยสัญชาตญาณ แต่ไม่ทัน ร่างของชายหนุ่มได้ล้มฟาดกับพื้นเรือนอย่างไม่เป็นท่าเข้าเสียก่อน
เสียงดังปัง ท่ามกลางความใจหายของทุกคน คุณพิมรีบเข้ามาดูทันที แต่ก็ยังช้าไป เพราะมีร่างบางๆชิงถลันตัดหน้าไปเสียก่อน ถึงตัวของชายหนุ่มก่อนใคร
คุณพิมชะงัก เช่นเดียวกับทุกคน ภาพที่เห็นหลักจากนั้นแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง และทำให้หัวใจเต้นถี่แรง
ชายหนุ่มยักแย่ยักยันลุกขึ้นนั่งได้ด้วยสองแขนที่โอบประคองของมาลัย แล้วเธอก็สวมกอดเขา
ความเงียบในตอนนั้น เรียกว่าแม้ใบไม้สักใบปลิดร่วงจากกิ่งก็ได้ยินถนัด ดังนั้นเสียงสะอึกสะอื้นจากหญิงงามที่บ่งบอกถึงความรักลุ่มลึกต่อชายหนุ่ม จึงเข้าหูกันถ้วนหน้า
“นรา เธอไม่เป็นไรนะ ฉันขอโทษ ฉันแค่ตั้งใจจะแกล้ง เลยทำเป็นไม่รู้จักเธอแต่แรก ฉันอยากลองใจเธอว่าจะจำฉันได้หรือไม่ ใจจริงฉันแทบขาด อยากถลาไปหาเธอตั้งแต่ขึ้นรถมาจากข้างทางแล้ว”
นราพูดอะไรบางอย่างออกมา แต่ด้วยสุ้มเสียงที่พร่าสั่นเครือของเขา คนรอบข้างจึงจับคำพูดนั้นไม่ได้ คงมีก็แต่ใบหน้าเนียนที่คลอเคลียแนบริมฝีปากนั้นกระมัง ที่ได้ยินชัดเจนครบถ้วนแต่เพียงผู้เดียว แล้วทั้งคู่ก็ร้องไห้โฮออกมา โอบกอดกันแนบแน่นเหมือนเป็นร่างเดียว ไม่ห่วงพะวงกับสายตาคนรอบข้าง
ราวกับโลกได้หยุดหมุนเพื่อทั้งสอง ทำให้จมอยู่ในห้วงภวังค์อย่างลืมตัว คุณพิมมองด้วยน้ำตาคลอรื้นในดวงตา ความคลางแคลงอะไรที่เคยมีสูญมลายไปสิ้น ในที่สุดสวรรค์ก็ส่งเสริมคู่รักต่างภพคู่นี้ให้สมหวัง
ไม่มีใครรู้ว่าต้องตกอยู่ในบรรยากาศเงียบกริบอย่างนี้ไปอีกนานเท่าไหร่ ถ้าเผอิญไม่มีเสียงรถมอเตอรไซค์วิ่งมาจอดและดับเครื่องลงที่หน้าบ้าน
สักพักก็มีเสียงบีบแตรเรียก ทำให้ทุกคนตื่นตัว แต่ก็ยังหันหน้ามองกันไปมา ไม่มีใครปริปากพูดอะไร
ชายหนุ่มและหญิงสาวเหมือนเพิ่งรู้ตัว ค่อยๆผละออกจากอ้อมกอดของกันและกัน ส่งรอยยิ้มที่เก้อเขินให้กับคนรอบข้าง
ทุกคนยิ้มตอบรับในรูปแบบแตกต่างกันออกไป แม้แต่ขวัญใจที่หน้าเสียแต่ก็ส่งรอยยิ้มเหือดๆให้ หลังจากนั้นมาลัยได้พูดขึ้นอย่างเอียงอายแต่ก็เต็มไปด้วยความเด็ดเดี่ยวว่า
“ต้องขอโทษด้วยค่ะ ที่ทำอะไรประเจิดประเจ้อ ไม่งามในบ้านต่อหน้า แต่เชื่อว่าพวกคุณคงต้องรู้บ้างแล้ว ว่าฉันกับนรารู้สึกอย่างไรต่อกัน”
คุณพิมได้ใช้โอกาสนั้นเดินมาจับแขนของทั้งสอง ถึงตอนนี้แล้วเธอตั้งใจพูดแทนคนในครอบครัว ทำลายความประดักประเดิดที่ผ่านมาให้หมดไป เพื่อความสบายใจของทุกฝ่าย
“โธ่ ฉันเป็นผู้หญิงเหมือนกันทำไมจะไม่เข้าใจค่ะ คุณมาลัยไม่ได้ทำอะไรเกินเลยสักนิด แหม “คนเรา”ก็มีหัวจิตหัวใจนี่ค่ะ ได้เจอคนรักทั้งทีทำตัวเฉยเมยได้ก็แปลกไปแล้ว”
เธอตั้งใจเน้นคำ”คนเรา” เป็นพิเศษ เพื่อจงใจให้สามีเธอได้ยินถนัดถนี่ เพราะรู้สึกขัดหูขัดตาเหลือเกินกับท่าทางหวาดกลัวของเขา
เจ้าจ๋านไม่ใช่คนสมองทึบอีกทั้งรู้ใจภรรยาเป็นอย่างดี อึ้งไปตามคำพูดคุณพิมสักพักก็ตีความหมายได้บางส่วน มันวางแก้วลงบนโต๊ะ ผุดลุกขึ้นมองไปทางหน้าบ้าน พลางกล่าวขึ้นอย่างให้ได้ยินกันทุกคน ไม่ได้ตั้งใจพูดกับใครคนใดคนหนึ่งโดยเฉพาะ
“ไม่รู้ใครมา ขอลงไปดูก่อนแล้วกัน แล้วมีอะไรค่อยพูด เอ้ใครมานะเวลาเย็นขนาดนี้แล้ว”
ช่วงท้ายเสียงของมันบ่งบอกถึงความแปลกใจจริงๆ พอขยับจะเดินลงเรือนไปดู เจ้าหยกที่นั่งอยู่ด้วยรีบใช้เวลาเสี้ยววินาที สาดของเหลวในแก้วที่ถือมานานจนเมื่อยเข้าคออย่างฉับพลัน ท่าทีพะอืดพะอมเล็กน้อย แต่ก็ลุกขึ้นตามไปด้วยอย่างปราดเปรียว
“ให้กันไปเป็นเพื่อนด้วยดีกว่า ตอนนี้ใกล้มืดค่ำแล้ว ระวังไว้ก่อนก็ดี”
ทั้งคู่มองหน้าอีกฝ่าย ซึ่งจะสื่อความหมายอะไรต่อกันก็ไม่รู้ เพราะเห็นจะเข้าใจอยู่แค่เพียงสองคน แล้วสหายทั้งสองก็เดินลงเรือนไปด้วยกัน ทุกคนมองตาม
สักครู่ทั้งคู่ก็เดินกลับคืนขึ้นบนบ้าน แถมยังพาใครอีกคนหนึ่งติดตามมาด้วย แว่วได้ยินเสียงสนทนามาตลอดทาง แต่ยังไม่เห็นตัว คนพูดในตอนนั้นคือเจ้าจ๋านนั่นเอง กำลังพูดกับใครอีกคนที่อยู่ใกล้ๆ
“แหม ไม่ได้เห็นชาญมานาน รูปร่างสูงใหญ่ขึ้นเป็นกอง สาวๆแถวนี้คงติดเกรียวล่ะสิ อ้าวนี่เอาแกงมาให้ญาติแล้วจะเลยรับน้องสาวกลับบ้านด้วย รีบทำไม อยู่กินข้าวด้วยกันก่อนสิ โอโห แล้วนี่ไปสักมาตั้งแต่เมื่อไหร่ รูปยักษ์ใช่ไหม เต็มอกไปหมดเลย”
ทุกคนเงียบรอดูจนแขกปรากฎตัว เมื่อเห็นหน้ากันอย่างถนัดชัดแจ้ง ก็มีหญิงสาวสองคนที่เบือนหน้าหนีอย่างเอือมระอา
คนแรกคือน้องขวัญใจที่มองหน้าพี่ชายร่วมสายเลือดแบบหน่ายๆ ท่าทีราวกับเด็กที่กำลังเล่นนอกบ้านอย่างสนุกสนาน แล้วมีญาติมาตามกลับบ้าน ยิ่งในขณะนั้นดวงตาเธอเศร้าสร้อยเหมือนเพิ่งผิดหวังอะไรมาหมาดๆ
อีกคนคือ หญิงสาว”มาลัย” ซึ่งตอนนี้เธอกางแขนราวกับงูจงอางแผ่พังพานขึ้นปกป้องคนรักของเธอ และเลยเผื่อแผ่ไปยังคุณพิมด้วย เธอรีบกระซิบบอกคุณพิมทันที เพราะเห็นเป็นคนปฏิกิริยาว่องไวต่อปัญหาเฉพาะหน้าได้ดีที่สุด
“รอยสักทศกัณฐ์ แต่นี่แอบไปทำมาแบบผิดกรรมพิธี พวกรากษสถึงเข้ามาสิงหาอยู่แทน คุณพิมสวดภาณยักษ์เป็นไหมค่ะ ถ้าไม่ได้รีบท่องตามฉัน ได้เห็นตัวตนแท้คราวนี้แหละค่ะ”