ทางของฉัน

ฉันลาออกจากหน่วยงานของรัฐที่มั่นคงแห่งหนึ่ง เมื่อ พ.ศ. 2537 ได้รับเงินสะสมจากที่ทำงานเก้าหมื่นกว่าบาท เดินทางกลับบ้านเกิดที่ภูเก็ตด้วยความมั่นใจ ไม่สนใจคำทัดทานจากผู้บังคับบัญชาและเพื่อนร่วมงานบางคน ฉันมีแม่อายุแปดสิบกว่าและพี่สาวที่ป่วยเรื้อรังให้ต้องดูแลในตอนนั้น ที่บ้านมีสวนยางพาราที่แม่แบ่งให้ฉัน 12 ไร่ พอกลับไปถึงบ้านก็ลงมือโค่นต้นยางพาราทั้งหมด ขายไม้ให้ผู้รับซื้อไม้ป้อนโรงงานได้เงินมาอีกสามหมื่นกว่าบาท จ้างรถมาไถปรับปรุงดิน วางระบบท่อน้ำทั่วสวน ไปซื้อพันธุ์มังคุด เงาะ ทุเรียน จากสุราษฎร์ธานี และมะพร้าวน้ำหอมจากบ้านแพ้ว สมุทรสาครมาปลูกเป็นพืชหลัก ส่วนไม้ผลอย่างอื่น เช่น กระท้อน ลองกอง ขนุน จำปาดะ สะตอ ก็ปลูกแซมไว้บ้างอย่างละห้าหกต้น ระหว่างที่รอให้ต้นไม้เหล่านี้เติบโตจนออกผล จะต้องหารายได้จากพืชโตเร็วก่อน จึงปลูกกล้วยน้ำว้า ระหว่างแถวไม้ผลอีก 200 หน่อ สับปะรดภูเก็ต 10000 ต้น  ทุกอย่างบนทางสายใหม่ของฉันดำเนินไปด้วยดี เพียงสองปีก็เก็บเกี่ยวผลจากกล้วยและสับปะรดได้เป็นกอบเป็นกำ ปีที่สามเริ่มมีผลผลิตจากมะพร้าวนำหอมสมทบเข้ามา ช่วงนั้นนักท่องเที่ยวมากเป็นพิเศษ ทุก 20 วัน ตัดมะพร้าวขายได้ประมาณ 5000 ลูก ขายส่ง ลูกละ 5 บาท แม้จะทำงานสวนดูแลต้นไม้เหนื่อยเพียงใด ผลที่ได้รับก็เหมาะสมน่ายินดี ความสุขที่หาจากสังคมในเมืองหลวงไม่ได้คือความสุขใจและอิสระ แต่เป็นที่น่าเสียใจที่แม่ได้เห็นผลงานของฉันเพียงปีเดียวก็จากไปสู่สวรรค์ และต่อจากนั้นอีกสิบปีพี่สาวก็ลาโลกตามไปอีกคน ฉันจึงคิดว่าทางสายใหม่ของฉันที่สร้างมาด้วยหยาดเหงื่อแรงงานในวันนั้นฉันคิดของฉันถูกแล้ว แม้จะมีบางคนเสียดายอนาคตของฉันในที่ทำงานเก่าฉันก็ได้แต่กล่าวคำขอบใจ ชะตาชีวิตคนเรามีทางเดินเป็นของตัวเอง
ปีนี้ต้นไม้มะพร้าวสูงชะลูดตามกาลเวลา ตอนนี้ต้องใช้ไม้เกี่ยวหรือคนปีนขึ้นไปตัดลูก และมีหลายต้นที่ได้ขุดขายไปให้นักจัดสวน ส่วนมังคุดและเงาะเป็นรายได้หลักในแต่ละปี ทุเรียนอ่อนแอกว่าอย่างอื่นหน้าแล้งจัด ๆ ค่อยยืนต้นตายไปทีละต้นสองต้น ฉันคิดว่าถึงแก่เวลาที่จะต้องพักงานหนักแล้ว เหลือแต่ตัดหญ้า รดน้ำใส่ปุ๋ย ทำไปเรื่อย ๆ เหนื่อยก็พัก ขี้เกียจก็หยุด เก็บผลขายเสร็จสรรพประมาณเดือนสิงหา-กันยา ในแต่ละปี ก็ออกเดินทางท่องเที่ยวชดเชยสิ่งที่ใฝ่ฝันไว้ตั้งแต่วัยหนุ่ม
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่