สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 7
2. เหตุให้งดสวด พระปาฏิโมกข์
และ เหตุฉุกเฉิน ที่ต้องหยุดสวด(ในขณะที่สวดอยู่) แล้วสวดแบบย่อแทน
**********
https://84000.org/tipitaka/read/r.php?B=07&A=5572
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๗ พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๗
จุลวรรค ภาค ๒
การงดปาติโมกข์ไม่เป็นธรรมและเป็นธรรม
[๔๖๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย การงดปาติโมกข์ ไม่เป็นธรรมมีมูล ๑ เป็น
ธรรม มีมูล ๑
การงดปาติโมกข์ไม่เป็นธรรมมีมูล ๒ เป็นธรรมมีมูล ๒
การงดปาติโมกข์ไม่เป็นธรรมมีมูล ๓ เป็นธรรมมีมูล ๓
การงดปาติโมกข์ไม่เป็นธรรมมีมูล ๔ เป็นธรรมมีมูล ๔
การงดปาติโมกข์ไม่เป็นธรรมมีมูล ๕ เป็นธรรมมีมูล ๕
การงดปาติโมกข์ไม่เป็นธรรมมีมูล ๖ เป็นธรรมมีมูล ๖
การงดปาติโมกข์ไม่เป็นธรรมมีมูล ๗ เป็นธรรมมีมูล ๗
การงดปาติโมกข์ไม่เป็นธรรมมีมูล ๘ เป็นธรรมมีมูล ๘
การงดปาติโมกข์ไม่เป็นธรรมมีมูล ๙ เป็นธรรมมีมูล ๙
การงดปาติโมกข์ไม่เป็นธรรมมีมูล ๑๐ เป็นธรรมมีมูล ๑๐
[๔๖๙] การงดปาติโมกข์ไม่เป็นธรรม มีมูล ๑ เป็นไฉน ภิกษุงดเว้น
ปาติโมกข์ เพราะศีลวิบัติอันไม่มีมูล
นี้การงดปาติโมกข์ ไม่เป็นธรรม มีมูล ๑ ฯ
[๔๗๐] การงดปาติโมกข์เป็นธรรม มีมูล ๑ เป็นไฉน ภิกษุงดปาติโมกข์
เพราะศีลวิบัติมีมูล
นี้การงดปาติโมกข์ เป็นธรรม มีมูล ๑ ฯ
[๔๗๑] การงดปาติโมกข์ไม่เป็นธรรม มีมูล ๒ เป็นไฉน ภิกษุงด
ปาติโมกข์
๑. เพราะศีลวิบัติไม่มีมูล
๒. เพราะอาจารวิบัติไม่มีมูล
นี้การงดปาติโมกข์ไม่เป็นธรรม มีมูล ๒ ฯ
[๔๗๒] การงดปาติโมกข์เป็นธรรม มีมูล ๒ เป็นไฉน ภิกษุงดปาติโมกข์
๑. เพราะศีลวิบัติมีมูล
๒. เพราะอาจารวิบัติมีมูล
นี้การงดปาติโมกข์เป็นธรรม มีมูล ๒ ฯ
...
...
[๔๘๙] อย่างไร ภิกษุผู้ต้องอาบัติปาราชิกชื่อว่านั่งอยู่ในบริษัทนั้น ดูกร
ภิกษุทั้งหลาย ในธรรมวินัยนี้ การต้องอาบัติปาราชิกย่อมมี ด้วยอาการ
ด้วยเพศ ด้วยนิมิตเหล่าใด ภิกษุเห็นภิกษุต้องอาบัติปาราชิก ด้วยอาการ ด้วยเพศ
ด้วยนิมิตเหล่านั้น ก็ภิกษุไม่เคยเห็นภิกษุผู้ต้องอาบัติปาราชิกเลย แต่ภิกษุอื่นบอก
แก่ภิกษุว่า ท่าน ภิกษุมีชื่อนี้ต้องอาบัติปาราชิก ก็ภิกษุไม่เคยเห็นภิกษุผู้ต้องอาบัติ
ปาราชิกเลย แม้ภิกษุอื่นก็มิได้บอกแก่ภิกษุว่า ท่าน ภิกษุมีชื่อนี้ต้องอาบัติปาราชิก
แต่ภิกษุนั้นแหละบอกแก่ภิกษุว่า ท่าน ผมต้องอาบัติปาราชิก ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุหวังอยู่ ครั้งถึงวันอุโบสถ ๑๔ ค่ำ หรือ ๑๕ ค่ำ เมื่อบุคคลนั้นอยู่พร้อม
หน้าสงฆ์ พึงประกาศในท่ามกลางสงฆ์ ด้วยได้เห็น ด้วยได้ยิน ด้วยรังเกียจนั้นว่า
ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า บุคคลมีชื่อนี้ต้องอาบัติปาราชิก ข้าพเจ้า
งดปาติโมกข์แก่เธอ เมื่อเธอยังอยู่พร้อมหน้าสงฆ์ไม่พึงสวดปาติโมกข์ ดังนี้ การ
งดปาติโมกข์เป็นธรรม ฯ
[๔๙๐] เมื่องดปาติโมกข์แก่ภิกษุแล้ว บริษัทเลิกประชุมเพราะอันตราย
๑๐ อย่างใดอย่างหนึ่ง คือ:-
๑. อันตรายแต่พระราชา
๒. อันตรายแต่โจร
๓. อันตรายแต่ไฟ
๔. อันตรายแต่น้ำ
๕. อันตรายแต่มนุษย์
๖. อันตรายแต่อมนุษย์
๗. อันตรายแต่สัตว์ร้าย
๘. อันตรายแต่สัตว์เลื้อยคลาน
๙. อันตรายต่อชีวิต
๑๐. อันตรายต่อพรหมจรรย์
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุหวังอยู่ เมื่อบุคคลนั้นอยู่พร้อมหน้าสงฆ์ใน
อาวาสนั้นหรือในอาวาสอื่น พึงประกาศในท่ามกลางสงฆ์ว่า
ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า กถาปรารภอาบัติปาราชิกของบุคคลมีชื่อ
นี้ยังค้างอยู่ เรื่องนั้นยังมิได้วินิจฉัย ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว สงฆ์พึง
วินิจฉัยเรื่องนั้น
ถ้าได้การวินิจฉัยนั้นอย่างนี้ นั่นเป็นการดี ถ้าไม่ได้ ครั้นถึงวันอุโบสถ
๑๔ ค่ำ หรือ ๑๕ ค่ำ เมื่อบุคคลนั้นอยู่พร้อมหน้าสงฆ์ พึงประกาศในท่ามกลางสงฆ์ว่า
ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า กถาปรารภอาบัติปาราชิกของบุคคลมี
ชื่อนี้ยังค้างอยู่ เรื่องนั้นยังมิได้วินิจฉัย ข้าพเจ้างดปาติโมกข์แก่เธอ เมื่อเธอยัง
อยู่พร้อมหน้าสงฆ์ ไม่พึงสวดปาติโมกข์ ดังนี้ การงดปาติโมกข์เป็นธรรม
[๔๙๑] อย่างไร ภิกษุผู้บอกลาสิกขา ชื่อว่านั่งอยู่ในบริษัทนั้น ดูกร
ภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุในธรรมวินัยนี้ บอกลาสิกขาด้วยอาการ ด้วยเพศ ด้วย
นิมิตเหล่าใด ภิกษุเห็นภิกษุบอกลาสิกขาด้วยอาการ ด้วยเพศ ด้วยนิมิตเหล่านั้น
ก็ภิกษุไม่เคยเห็นภิกษุผู้บอกลาสิกขาเลย แต่ภิกษุบอกแก่ภิกษุว่า ท่าน ภิกษุ
มีชื่อนี้บอกลาสิกขา ก็ภิกษุไม่เคยเห็นภิกษุผู้บอกลาสิกขาเลย แม้ภิกษุอื่นก็ไม่เคย
บอกแก่ภิกษุว่า ท่าน ภิกษุรูปนี้บอกลาสิกขา แต่ภิกษุนั้นแหละบอกแก่ภิกษุว่า
ท่าน ผมบอกลาสิกขาแล้ว ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุหวังอยู่ ครั้นถึงวันอุโบสถ
๑๔ ค่ำ หรือ ๑๕ ค่ำ เมื่อบุคคลนั้นอยู่พร้อมหน้าสงฆ์ พึงประกาศในท่ามกลาง
สงฆ์ ด้วยได้เห็น ด้วยได้ยิน ด้วยรังเกียจนั้นว่า
ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า บุคคลมีชื่อนี้ บอกลาสิกขาแล้ว
ข้าพเจ้างดปาติโมกข์แก่เธอ เมื่อเธอยังอยู่พร้อมหน้าสงฆ์ ไม่พึงสวดปาติโมกข์
ดังนี้ การงดปาติโมกข์เป็นธรรม ฯ
[๔๙๒] เมื่องดปาติโมกข์แก่ภิกษุแล้ว บริษัทเลิกประชุมเพราะอันตราย
๑๐ อย่างใดอย่างหนึ่ง คือ อันตรายแต่พระราชา ... อันตรายต่อพรหม-
*จรรย์ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุหวังอยู่ เมื่อบุคคลนั้นอยู่พร้อมหน้าสงฆ์ ใน
อาวาสนั้น หรือในอาวาสอื่น พึงประกาศในท่ามกลางสงฆ์ว่า
ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า กถาปรารภการบอกลาสิกขา ของบุคคล
มีชื่อนี้ยังค้างอยู่ เรื่องนั้นยังไม่ได้วินิจฉัย ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว
สงฆ์พึงวินิจฉัยเรื่องนั้น
ถ้าได้การวินิจฉัยนั้นอย่างนี้ นั่นเป็นการดี ถ้าไม่ได้ ครั้นถึงวันอุโบสถ
๑๔ ค่ำ หรือ ๑๕ ค่ำ เมื่อบุคคลนั้นอยู่พร้อมหน้าสงฆ์ พึงประกาศในท่ามกลาง
สงฆ์ว่า
ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า กถาปรารภการบอกลาสิกขา ของบุคคล
มีชื่อนี้ยังค้างอยู่ เรื่องนั้นยังมิได้วินิจฉัย ข้าพเจ้างดปาติโมกข์แก่เธอ เมื่อเธอ
ยังอยู่พร้อมหน้าสงฆ์ ไม่พึงสวดปาติโมกข์ ดังนี้ การงดปาติโมกข์เป็นธรรม ฯ
[๔๙๓] อย่างไร ภิกษุชื่อว่าไม่ร่วมสามัคคีที่เป็นธรรม ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ก็ในธรรมวินัยนี้ การไม่ร่วมสามัคคีที่เป็นธรรม ย่อมมีด้วยอาการ ด้วยเพศ ด้วย
นิมิตเหล่าใด ภิกษุเห็นภิกษุไม่ร่วมสามัคคีที่เป็นธรรม ด้วยอาการ ด้วยเพศ
ด้วยนิมิตเหล่านั้น ก็ภิกษุไม่เคยเห็นภิกษุผู้ไม่ร่วมสามัคคีที่เป็นธรรมเลย แต่ภิกษุ
อื่นบอกแก่ภิกษุว่า ท่าน ภิกษุมีชื่อนี้ไม่ร่วมสามัคคีที่เป็นธรรม ก็ภิกษุไม่เคย
เห็นภิกษุผู้ไม่ร่วมสามัคคีที่เป็นธรรมเลย แม้ภิกษุอื่นก็มิได้บอกแก่ภิกษุว่า ท่าน
ภิกษุมีชื่อนี้ไม่ร่วมสามัคคีที่เป็นธรรม แต่ภิกษุนั่นแหละบอกแก่ภิกษุว่า ท่าน
ผมไม่ร่วมสามัคคีที่เป็นธรรม ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุหวังอยู่ ครั้นถึงวันอุโบสถ
๑๔ ค่ำ หรือ ๑๕ ค่ำ เมื่อบุคคลนั้นอยู่พร้อมหน้าสงฆ์ พึงประกาศในท่ามกลาง
สงฆ์ ด้วยได้เห็น ด้วยได้ยิน ด้วยรังเกียจนั้นว่า
ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า บุคคลมีชื่อนี้ไม่ร่วมสามัคคีที่เป็นธรรม
ข้าพเจ้างดปาติโมกข์แก่เธอ เมื่อเธออยู่พร้อมหน้าสงฆ์ ไม่พึงสวดปาติโมกข์
ดังนี้ การงดปาติโมกข์ เป็นธรรม ฯ
[๔๙๔] อย่างไร ภิกษุชื่อว่าค้านสามัคคีที่เป็นธรรม ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ในธรรมวินัยนี้ การค้านสามัคคีที่เป็นธรรม ย่อมมีด้วยอาการ ด้วยเพศ ด้วย
นิมิตเหล่าใด ภิกษุเห็นภิกษุผู้ค้านสามัคคีที่เป็นธรรม ด้วยอาการ ด้วยเพศ
ด้วยนิมิตเหล่านั้น ก็ภิกษุไม่เคยเห็นภิกษุผู้ค้านสามัคคีที่เป็นธรรมเลย แต่ภิกษุ
อื่นบอกแก่ภิกษุว่า ท่าน ภิกษุมีชื่อนี้ค้านสามัคคีที่เป็นธรรม ภิกษุมิได้เห็นภิกษุ
ผู้ค้านสามัคคีที่เป็นธรรมเลย แม้ภิกษุอื่นก็มิได้บอกแก่ภิกษุว่า ท่าน ภิกษุมีชื่อนี้
ค้านสามัคคีที่เป็นธรรม แต่ภิกษุนั้นแหละบอกแก่ภิกษุว่า ท่าน ผมค้านสามัคคี
ที่เป็นธรรม ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุหวังอยู่ ครั้นถึงวันอุโบสถ ๑๔ ค่ำ หรือ
๑๕ ค่ำ เมื่อบุคคลนั้นอยู่พร้อมหน้าสงฆ์ พึงประกาศในท่ามกลางสงฆ์ ด้วยได้
เห็น ด้วยได้ยิน ด้วยรังเกียจนั้นว่า
ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า บุคคลมีชื่อนี้ค้านสามัคคีที่เป็นธรรม
ข้าพเจ้างดปาติโมกข์แก่เธอ เมื่อเธอยู่พร้อมหน้าสงฆ์ ไม่พึงสวดปาติโมกข์ ดังนี้
การงดปาติโมกข์เป็นธรรม ฯ
[๔๙๕] เมื่องดปาติโมกข์แล้ว บริษัทเลิกประชุม เพราะอันตราย ๑๐
อย่างใดอย่างหนึ่ง คือ อันตรายแต่พระราชา ... อันตรายต่อพรหมจรรย์ ดูกร
ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุหวังอยู่ เมื่อบุคคลนั้นอยู่พร้อมหน้าสงฆ์ ในอาวาสนั้น หรือ
ในอาวาสอื่น พึงประกาศในท่ามกลางสงฆ์ว่า
ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า กถาปรารภการค้านสามัคคีที่เป็นธรรม
ของบุคคลมีชื่อนี้ยังค้างอยู่ เรื่องนั้นยังมิได้วินิจฉัย ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์
ถึงที่แล้ว สงฆ์พึงวินิจฉัยเรื่องนั้น
ถ้าได้การวินิจฉัยนั้นอย่างนี้ นั่นเป็นการดี ถ้าไม่ได้ ครั้นถึงวันอุโบสถ
๑๔ ค่ำ หรือ ๑๕ ค่ำ เมื่อบุคคลนั้นอยู่พร้อมหน้าสงฆ์ พึงประกาศในท่ามกลาง
สงฆ์ว่า
ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า กถาปรารภการค้านสามัคคีที่เป็นธรรม
ของบุคคลมีชื่อนี้ยังค้างอยู่ เรื่องนั้นยังไม่ได้วินิจฉัย ข้าพเจ้างดปาติโมกข์แก่เธอ
เมื่อเธออยู่พร้อมหน้าสงฆ์ ไม่พึงสวดปาติโมกข์ ดังนี้ การงดปาติโมกข์
เป็นธรรม ฯ
[๔๙๖] อย่างไร ภิกษุชื่อว่ามีผู้ได้เห็น ได้ยิน และรังเกียจ ด้วย
ศีลวิบัติ...
...
**********
และ เหตุฉุกเฉิน ที่ต้องหยุดสวด(ในขณะที่สวดอยู่) แล้วสวดแบบย่อแทน
**********
https://84000.org/tipitaka/read/r.php?B=07&A=5572
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๗ พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๗
จุลวรรค ภาค ๒
การงดปาติโมกข์ไม่เป็นธรรมและเป็นธรรม
[๔๖๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย การงดปาติโมกข์ ไม่เป็นธรรมมีมูล ๑ เป็น
ธรรม มีมูล ๑
การงดปาติโมกข์ไม่เป็นธรรมมีมูล ๒ เป็นธรรมมีมูล ๒
การงดปาติโมกข์ไม่เป็นธรรมมีมูล ๓ เป็นธรรมมีมูล ๓
การงดปาติโมกข์ไม่เป็นธรรมมีมูล ๔ เป็นธรรมมีมูล ๔
การงดปาติโมกข์ไม่เป็นธรรมมีมูล ๕ เป็นธรรมมีมูล ๕
การงดปาติโมกข์ไม่เป็นธรรมมีมูล ๖ เป็นธรรมมีมูล ๖
การงดปาติโมกข์ไม่เป็นธรรมมีมูล ๗ เป็นธรรมมีมูล ๗
การงดปาติโมกข์ไม่เป็นธรรมมีมูล ๘ เป็นธรรมมีมูล ๘
การงดปาติโมกข์ไม่เป็นธรรมมีมูล ๙ เป็นธรรมมีมูล ๙
การงดปาติโมกข์ไม่เป็นธรรมมีมูล ๑๐ เป็นธรรมมีมูล ๑๐
[๔๖๙] การงดปาติโมกข์ไม่เป็นธรรม มีมูล ๑ เป็นไฉน ภิกษุงดเว้น
ปาติโมกข์ เพราะศีลวิบัติอันไม่มีมูล
นี้การงดปาติโมกข์ ไม่เป็นธรรม มีมูล ๑ ฯ
[๔๗๐] การงดปาติโมกข์เป็นธรรม มีมูล ๑ เป็นไฉน ภิกษุงดปาติโมกข์
เพราะศีลวิบัติมีมูล
นี้การงดปาติโมกข์ เป็นธรรม มีมูล ๑ ฯ
[๔๗๑] การงดปาติโมกข์ไม่เป็นธรรม มีมูล ๒ เป็นไฉน ภิกษุงด
ปาติโมกข์
๑. เพราะศีลวิบัติไม่มีมูล
๒. เพราะอาจารวิบัติไม่มีมูล
นี้การงดปาติโมกข์ไม่เป็นธรรม มีมูล ๒ ฯ
[๔๗๒] การงดปาติโมกข์เป็นธรรม มีมูล ๒ เป็นไฉน ภิกษุงดปาติโมกข์
๑. เพราะศีลวิบัติมีมูล
๒. เพราะอาจารวิบัติมีมูล
นี้การงดปาติโมกข์เป็นธรรม มีมูล ๒ ฯ
...
...
[๔๘๙] อย่างไร ภิกษุผู้ต้องอาบัติปาราชิกชื่อว่านั่งอยู่ในบริษัทนั้น ดูกร
ภิกษุทั้งหลาย ในธรรมวินัยนี้ การต้องอาบัติปาราชิกย่อมมี ด้วยอาการ
ด้วยเพศ ด้วยนิมิตเหล่าใด ภิกษุเห็นภิกษุต้องอาบัติปาราชิก ด้วยอาการ ด้วยเพศ
ด้วยนิมิตเหล่านั้น ก็ภิกษุไม่เคยเห็นภิกษุผู้ต้องอาบัติปาราชิกเลย แต่ภิกษุอื่นบอก
แก่ภิกษุว่า ท่าน ภิกษุมีชื่อนี้ต้องอาบัติปาราชิก ก็ภิกษุไม่เคยเห็นภิกษุผู้ต้องอาบัติ
ปาราชิกเลย แม้ภิกษุอื่นก็มิได้บอกแก่ภิกษุว่า ท่าน ภิกษุมีชื่อนี้ต้องอาบัติปาราชิก
แต่ภิกษุนั้นแหละบอกแก่ภิกษุว่า ท่าน ผมต้องอาบัติปาราชิก ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุหวังอยู่ ครั้งถึงวันอุโบสถ ๑๔ ค่ำ หรือ ๑๕ ค่ำ เมื่อบุคคลนั้นอยู่พร้อม
หน้าสงฆ์ พึงประกาศในท่ามกลางสงฆ์ ด้วยได้เห็น ด้วยได้ยิน ด้วยรังเกียจนั้นว่า
ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า บุคคลมีชื่อนี้ต้องอาบัติปาราชิก ข้าพเจ้า
งดปาติโมกข์แก่เธอ เมื่อเธอยังอยู่พร้อมหน้าสงฆ์ไม่พึงสวดปาติโมกข์ ดังนี้ การ
งดปาติโมกข์เป็นธรรม ฯ
[๔๙๐] เมื่องดปาติโมกข์แก่ภิกษุแล้ว บริษัทเลิกประชุมเพราะอันตราย
๑๐ อย่างใดอย่างหนึ่ง คือ:-
๑. อันตรายแต่พระราชา
๒. อันตรายแต่โจร
๓. อันตรายแต่ไฟ
๔. อันตรายแต่น้ำ
๕. อันตรายแต่มนุษย์
๖. อันตรายแต่อมนุษย์
๗. อันตรายแต่สัตว์ร้าย
๘. อันตรายแต่สัตว์เลื้อยคลาน
๙. อันตรายต่อชีวิต
๑๐. อันตรายต่อพรหมจรรย์
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุหวังอยู่ เมื่อบุคคลนั้นอยู่พร้อมหน้าสงฆ์ใน
อาวาสนั้นหรือในอาวาสอื่น พึงประกาศในท่ามกลางสงฆ์ว่า
ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า กถาปรารภอาบัติปาราชิกของบุคคลมีชื่อ
นี้ยังค้างอยู่ เรื่องนั้นยังมิได้วินิจฉัย ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว สงฆ์พึง
วินิจฉัยเรื่องนั้น
ถ้าได้การวินิจฉัยนั้นอย่างนี้ นั่นเป็นการดี ถ้าไม่ได้ ครั้นถึงวันอุโบสถ
๑๔ ค่ำ หรือ ๑๕ ค่ำ เมื่อบุคคลนั้นอยู่พร้อมหน้าสงฆ์ พึงประกาศในท่ามกลางสงฆ์ว่า
ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า กถาปรารภอาบัติปาราชิกของบุคคลมี
ชื่อนี้ยังค้างอยู่ เรื่องนั้นยังมิได้วินิจฉัย ข้าพเจ้างดปาติโมกข์แก่เธอ เมื่อเธอยัง
อยู่พร้อมหน้าสงฆ์ ไม่พึงสวดปาติโมกข์ ดังนี้ การงดปาติโมกข์เป็นธรรม
[๔๙๑] อย่างไร ภิกษุผู้บอกลาสิกขา ชื่อว่านั่งอยู่ในบริษัทนั้น ดูกร
ภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุในธรรมวินัยนี้ บอกลาสิกขาด้วยอาการ ด้วยเพศ ด้วย
นิมิตเหล่าใด ภิกษุเห็นภิกษุบอกลาสิกขาด้วยอาการ ด้วยเพศ ด้วยนิมิตเหล่านั้น
ก็ภิกษุไม่เคยเห็นภิกษุผู้บอกลาสิกขาเลย แต่ภิกษุบอกแก่ภิกษุว่า ท่าน ภิกษุ
มีชื่อนี้บอกลาสิกขา ก็ภิกษุไม่เคยเห็นภิกษุผู้บอกลาสิกขาเลย แม้ภิกษุอื่นก็ไม่เคย
บอกแก่ภิกษุว่า ท่าน ภิกษุรูปนี้บอกลาสิกขา แต่ภิกษุนั้นแหละบอกแก่ภิกษุว่า
ท่าน ผมบอกลาสิกขาแล้ว ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุหวังอยู่ ครั้นถึงวันอุโบสถ
๑๔ ค่ำ หรือ ๑๕ ค่ำ เมื่อบุคคลนั้นอยู่พร้อมหน้าสงฆ์ พึงประกาศในท่ามกลาง
สงฆ์ ด้วยได้เห็น ด้วยได้ยิน ด้วยรังเกียจนั้นว่า
ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า บุคคลมีชื่อนี้ บอกลาสิกขาแล้ว
ข้าพเจ้างดปาติโมกข์แก่เธอ เมื่อเธอยังอยู่พร้อมหน้าสงฆ์ ไม่พึงสวดปาติโมกข์
ดังนี้ การงดปาติโมกข์เป็นธรรม ฯ
[๔๙๒] เมื่องดปาติโมกข์แก่ภิกษุแล้ว บริษัทเลิกประชุมเพราะอันตราย
๑๐ อย่างใดอย่างหนึ่ง คือ อันตรายแต่พระราชา ... อันตรายต่อพรหม-
*จรรย์ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุหวังอยู่ เมื่อบุคคลนั้นอยู่พร้อมหน้าสงฆ์ ใน
อาวาสนั้น หรือในอาวาสอื่น พึงประกาศในท่ามกลางสงฆ์ว่า
ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า กถาปรารภการบอกลาสิกขา ของบุคคล
มีชื่อนี้ยังค้างอยู่ เรื่องนั้นยังไม่ได้วินิจฉัย ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว
สงฆ์พึงวินิจฉัยเรื่องนั้น
ถ้าได้การวินิจฉัยนั้นอย่างนี้ นั่นเป็นการดี ถ้าไม่ได้ ครั้นถึงวันอุโบสถ
๑๔ ค่ำ หรือ ๑๕ ค่ำ เมื่อบุคคลนั้นอยู่พร้อมหน้าสงฆ์ พึงประกาศในท่ามกลาง
สงฆ์ว่า
ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า กถาปรารภการบอกลาสิกขา ของบุคคล
มีชื่อนี้ยังค้างอยู่ เรื่องนั้นยังมิได้วินิจฉัย ข้าพเจ้างดปาติโมกข์แก่เธอ เมื่อเธอ
ยังอยู่พร้อมหน้าสงฆ์ ไม่พึงสวดปาติโมกข์ ดังนี้ การงดปาติโมกข์เป็นธรรม ฯ
[๔๙๓] อย่างไร ภิกษุชื่อว่าไม่ร่วมสามัคคีที่เป็นธรรม ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ก็ในธรรมวินัยนี้ การไม่ร่วมสามัคคีที่เป็นธรรม ย่อมมีด้วยอาการ ด้วยเพศ ด้วย
นิมิตเหล่าใด ภิกษุเห็นภิกษุไม่ร่วมสามัคคีที่เป็นธรรม ด้วยอาการ ด้วยเพศ
ด้วยนิมิตเหล่านั้น ก็ภิกษุไม่เคยเห็นภิกษุผู้ไม่ร่วมสามัคคีที่เป็นธรรมเลย แต่ภิกษุ
อื่นบอกแก่ภิกษุว่า ท่าน ภิกษุมีชื่อนี้ไม่ร่วมสามัคคีที่เป็นธรรม ก็ภิกษุไม่เคย
เห็นภิกษุผู้ไม่ร่วมสามัคคีที่เป็นธรรมเลย แม้ภิกษุอื่นก็มิได้บอกแก่ภิกษุว่า ท่าน
ภิกษุมีชื่อนี้ไม่ร่วมสามัคคีที่เป็นธรรม แต่ภิกษุนั่นแหละบอกแก่ภิกษุว่า ท่าน
ผมไม่ร่วมสามัคคีที่เป็นธรรม ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุหวังอยู่ ครั้นถึงวันอุโบสถ
๑๔ ค่ำ หรือ ๑๕ ค่ำ เมื่อบุคคลนั้นอยู่พร้อมหน้าสงฆ์ พึงประกาศในท่ามกลาง
สงฆ์ ด้วยได้เห็น ด้วยได้ยิน ด้วยรังเกียจนั้นว่า
ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า บุคคลมีชื่อนี้ไม่ร่วมสามัคคีที่เป็นธรรม
ข้าพเจ้างดปาติโมกข์แก่เธอ เมื่อเธออยู่พร้อมหน้าสงฆ์ ไม่พึงสวดปาติโมกข์
ดังนี้ การงดปาติโมกข์ เป็นธรรม ฯ
[๔๙๔] อย่างไร ภิกษุชื่อว่าค้านสามัคคีที่เป็นธรรม ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ในธรรมวินัยนี้ การค้านสามัคคีที่เป็นธรรม ย่อมมีด้วยอาการ ด้วยเพศ ด้วย
นิมิตเหล่าใด ภิกษุเห็นภิกษุผู้ค้านสามัคคีที่เป็นธรรม ด้วยอาการ ด้วยเพศ
ด้วยนิมิตเหล่านั้น ก็ภิกษุไม่เคยเห็นภิกษุผู้ค้านสามัคคีที่เป็นธรรมเลย แต่ภิกษุ
อื่นบอกแก่ภิกษุว่า ท่าน ภิกษุมีชื่อนี้ค้านสามัคคีที่เป็นธรรม ภิกษุมิได้เห็นภิกษุ
ผู้ค้านสามัคคีที่เป็นธรรมเลย แม้ภิกษุอื่นก็มิได้บอกแก่ภิกษุว่า ท่าน ภิกษุมีชื่อนี้
ค้านสามัคคีที่เป็นธรรม แต่ภิกษุนั้นแหละบอกแก่ภิกษุว่า ท่าน ผมค้านสามัคคี
ที่เป็นธรรม ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุหวังอยู่ ครั้นถึงวันอุโบสถ ๑๔ ค่ำ หรือ
๑๕ ค่ำ เมื่อบุคคลนั้นอยู่พร้อมหน้าสงฆ์ พึงประกาศในท่ามกลางสงฆ์ ด้วยได้
เห็น ด้วยได้ยิน ด้วยรังเกียจนั้นว่า
ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า บุคคลมีชื่อนี้ค้านสามัคคีที่เป็นธรรม
ข้าพเจ้างดปาติโมกข์แก่เธอ เมื่อเธอยู่พร้อมหน้าสงฆ์ ไม่พึงสวดปาติโมกข์ ดังนี้
การงดปาติโมกข์เป็นธรรม ฯ
[๔๙๕] เมื่องดปาติโมกข์แล้ว บริษัทเลิกประชุม เพราะอันตราย ๑๐
อย่างใดอย่างหนึ่ง คือ อันตรายแต่พระราชา ... อันตรายต่อพรหมจรรย์ ดูกร
ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุหวังอยู่ เมื่อบุคคลนั้นอยู่พร้อมหน้าสงฆ์ ในอาวาสนั้น หรือ
ในอาวาสอื่น พึงประกาศในท่ามกลางสงฆ์ว่า
ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า กถาปรารภการค้านสามัคคีที่เป็นธรรม
ของบุคคลมีชื่อนี้ยังค้างอยู่ เรื่องนั้นยังมิได้วินิจฉัย ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์
ถึงที่แล้ว สงฆ์พึงวินิจฉัยเรื่องนั้น
ถ้าได้การวินิจฉัยนั้นอย่างนี้ นั่นเป็นการดี ถ้าไม่ได้ ครั้นถึงวันอุโบสถ
๑๔ ค่ำ หรือ ๑๕ ค่ำ เมื่อบุคคลนั้นอยู่พร้อมหน้าสงฆ์ พึงประกาศในท่ามกลาง
สงฆ์ว่า
ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า กถาปรารภการค้านสามัคคีที่เป็นธรรม
ของบุคคลมีชื่อนี้ยังค้างอยู่ เรื่องนั้นยังไม่ได้วินิจฉัย ข้าพเจ้างดปาติโมกข์แก่เธอ
เมื่อเธออยู่พร้อมหน้าสงฆ์ ไม่พึงสวดปาติโมกข์ ดังนี้ การงดปาติโมกข์
เป็นธรรม ฯ
[๔๙๖] อย่างไร ภิกษุชื่อว่ามีผู้ได้เห็น ได้ยิน และรังเกียจ ด้วย
ศีลวิบัติ...
...
**********
ความคิดเห็นที่ 6
---- 1. http://www.watpamafai.org/index.php?mo=3&art=41929419
การลงอุโบสถเพื่อฟังปาฏิโมกข์
การลงอุโบสถ คือ การที่พระภิกษุสงฆ์ร่วมประชุมกันที่พระอุโบสถเพื่อฟังปาฏิโมกข์ตามพระวินัย เป็นการทบทวนศีล ๒๒๗ ข้อ ของพระภิกษุ โดยจะมีการสวดทุก ๑๕ วัน คือ ในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ และวันแรม ๑๕ ในเดือนเต็ม หรือวันแรม ๑๔ ค่ำ ในเดือนขาด(1) นอกจากนั้น ยังอนุญาตให้ทำอุโบสถเป็นพิเศษในคราวที่ภิกษุแตกความสามัคคี เมื่อภิกษุกลับมาสามัคคีกันอีกครั้ง แม้จะยังไม่ถึงวันปาฏิโมกข์ ก็ให้สวดปาฏิโมกข์ได้ เรียกว่า สามัคคีอุโบสถ
ปาฏิโมกข์นั้นมี ๒ อย่าง คือ
(๑) โอวาทปาฏิโมกข์ คือ หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนาที่พระพุทธเจ้าแสดงไว้เป็นหลัก พระพุทธเจ้าแสดงด้วยพระองค์เอง
(๒) อาณาปาฏิโมกข์ คือ ข้อห้าม ข้อบัญญัติ หรือพระวินัยที่พระพุทธเจ้าบัญญัติเป็นหลัก ทรงอนุญาตให้พระสงฆ์สาวกแสดง
โอวาทปาฏิโมกข์ เป็นหลักการทางพระพุทธศาสนาอย่างกว้างๆ ที่ทรงแสดงไว้ให้พระสาวกยึดเป็นแนวทางในการสั่งสอนประชาชน โอวาทปาฏิโมกข์นั้นพระพุทธเจ้าแสดงด้วยพระองค์เองท่ามกลางที่ประชุมพระสงฆ์สาวก ๑,๒๕๐ รูป ณ พระเวฬุวันวิหาร หลังตรัสรู้ได้ ๙ เดือน วันนั้นเป็นวันมาฆบุรณมี ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓ พระจันทร์เต็มดวงเสวยมาฆฤกษ์ ภิกษุทั้ง ๑,๒๕๐ รูปมาประชุมกันโดยมิได้นัดหมาย ภิกษุที่ร่วมประชุมในครั้งนั้นล้วนเป็นพระอรหันต์ และเป็นภิกษุที่พระพุทธเจ้าบวชให้ทุกรูป จึงเรียกวันนั้นว่า วันจาตุรงคสันนิบาต คือ วันที่มีเหตุอัศจรรย์เกิดขึ้น ๔ ประการ
ในวันนั้น พระพุทธองค์ทรงสถาปนาพระสารีบุตร และพระโมคคัลลานะให้เป็นคู่พระอัครสาวก จากนั้น พระองค์ได้ทรงแสดงหลักการแห่งพระพุทธศาสนา เรียกว่า โอวาทปาฏิโมกข์ ดังนี้
ขนตี ปรมํ ตโป ตีติกขา
นิพพานํ ปรมํ วทนติ พุทธา
น หิ ปพพชิโต ปรูปฆาตี
สมโณ โหติ ปรํ วิเหฐยนโต.
สพพปาปสส อกรณํ กุสลสสูปสมปทา
สจิตตปริโยทปนํ เอตํ พุทธานสาสนํ.
อนูปวาโท อนูปฆาโต ปาฏิโมกเข จ สํวโร
มตตญญุตา จ ภตตสมึ ปนตญจ สยนาสนํ
อธิจิตเต จ อาโยโค เอตํ พุทธานสาสนํ.
แปลว่า
ขันติ คือ ความอดกลั้นเป็นธรรมเครื่องเผากิเลสอย่างยิ่ง
พระพุทธเจ้าทั้งหลายตรัสพระนิพพานว่าเป็นยอด
ผู้ยังทำร้ายผู้อื่นอยู่ ไม่ชื่อว่าบรรพชิต
ผู้ยังเบียดเบียนผู้อื่นอยู่ ไม่ชื่อว่าสมณะ
การไม่ทำบาปทั้งปวง ๑ การทำกุศลให้ถึงพร้อม ๑
ความยังจิตให้ผ่องแผ้ว ๑
ธรรม ๓ ประการนี้ เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
การไม่ว่าร้าย ๑ การไม่ทำร้าย ๑ ความสำรวม
ในพระปาฏิโมกข์ ๑ ความเป็นผู้รู้ประมาณในโภชนะ ๑
การอยู่ในที่นั่งที่นอนอันสงัด ๑
การประกอบความเพียรในการพัฒนาการจิตให้ยิ่ง ๑
ธรรม ๖ ประการนี้ เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลายฯ
การแสดงโอวาทปาฏิโมกข์ของพระพุทธเจ้า ได้มีขึ้นครั้งนี้เพียงครั้งเดียว หลังจากนั้นพระองค์ก็ไม่ได้แสดงอีกเลย แต่พระพุทธองค์ทรงอนุญาตให้ประชุมสงฆ์กันเองทุก ๑๕ วัน ต่อมาภายหลัง เมื่อทรงบัญญัติสิกขาบทแล้ว ทรงอนุญาตให้พระสาวกที่อยู่ร่วมกัน ๔ รูปขึ้นไป นำสิกขาบท ๒๒๗ ข้อมาสวดทบทวนท่ามกลางที่ประชุมสงฆ์ ในวันอุโบสถ จึงเกิดอาณาปาฏิโมกข์ เป็นแบบแห่งการลงอุโบสถเพื่อฟังปาฏิโมกข์ถึงปัจจุบัน
____________________________________
(1) เดือนขาด หมายถึง เดือนที่มีไม่ครบ ๓๐ วัน ตามปกติการนับวันทางจันทรคติ หนึ่งเดือนจะมี ๓๐ วัน แบ่งเป็นข้างขึ้น ๑๕ วัน ข้างแรม ๑๕ วัน รวมเป็น ๓๐ วัน แต่มีวันข้างแรมบางเดือนที่มีเพียง ๑๔ วัน เรียกว่า แรม ๑๔ ค่ำ เดือนนั้นจะมีแค่ ๒๙ วัน เรียกว่า "เดือนขาด" ทรงอนุญาตให้สวดปาฏิโมกข์ในวัน แรม ๑๔ ค่ำ ได้
เหตุจำเป็นที่ต้องเลิกสวดปาฏิโมกข์
การสวดปาฏิโมกข์ เป็นทั้งสังฆกรรมตามพระวินัย และเป็นกิจสงฆ์ที่สำคัญอย่างหนึ่ง ผู้ที่บวชในพระพุทธศาสนา ควรมีโอกาสได้ร่วมฟัง
ในวินัยระบุว่า วัดหนึ่งจะต้องมีภิกษุสวดปาฏิโมกข์ได้หนึ่งรูป หากไม่มีเจ้าอาวาสต้องขวนขวายให้มี หากไม่ขวนขวายเป็นอาบัติ ถ้าขวนขวายแล้วยังไม่มี พอถึงวันปาฏิโมกข์ต้องไปร่วมฟังในวัดที่มีการ
สวดปาฏิโมกข์ ถ้าในย่านนั้นไม่มีวัดที่มีภิกษุสวดปาฏิโมกข์ หรือมีภิกษุไม่ครบ ๔ รูป ไม่ต้องสวดปาฏิโมกข์ แต่ให้อธิษฐานอุโบสถแทน โดยตั้งใจว่า "วันนี้เป็นวันอุโบสถ"
ในระหว่างที่มีการสวดปาฏิโมกข์ ผู้ที่จะอยู่ในที่ประชุมสงฆ์ได้ต้องเป็นภิกษุเท่านั้น ไม่มีเหตุจำเป็นจะหยุดสวดปาฏิโมกข์ในระหว่างไม่ได้
เหตุจำเป็นที่ทำให้ต้องหยุดสวดปาฏิโมกข์มี ๑๐ อย่าง คือ
๑. พระราชาเสด็จมา ให้เลิกสวดปาฏิโมกข์เพื่อจะรับเสด็จได้
๒. โจรมาปล้น เลิกสวดปาฏิโมกข์เพื่อหนีภัยได้
๓. ไฟไหม้ เลิกสวดปาฏิโมกข์เพื่อไปดับไฟได้
๔. น้ำหลากมา เลิกสวดปาตฏิโมกข์เพื่อหนีน้ำได้ ถ้าสวดกลางแจ้ง เกิดฝนตกในระหว่าง เลิกได้เหมือนกัน
๕. คนมามาก เลิกสวดปาฏิโมกข์ เพื่อไปต้อนรับปฏิสันถาร
๖. ผีเข้าภิกษุ เลิกสวดปาฏิโมกข์ เพื่อขับผีออกจากภิกษุ
๗. สัตว์ร้ายเช่น เสือ เป็นต้น เข้ามาในอาราม เลิกสวดปาฏิโมกข์เพื่อไล่สัตว์ได้
๘. งูร้ายเลื้อยเข้ามาในที่ชุมนุม ก็เหมือนกัน
๙. ภิกษุอาพาธด้วยโรคร้ายขึ้นในที่ชุมนุมสงฆ์ อันจะเป็นอันตรายแก่ชีวิต เลิกสวดปาฏิโมกข์เพื่อช่วยแก้ไขได้ ถ้ามีเหตุอันจะเป็นอันตรายเกิดขึ้นในที่นั้นก็หยุดได้
๑๐. มีอันตรายแก่พรหมจรรย์ เช่น มีใครมาเพื่อจับภิกษุรูปใดรูปหนึ่ง ให้เลิกสวดปาฏิโมกข์ เพราะความสับสนอลหม่าน
การฟังปาฏิโมกข์
เนื่องจากการฟังปาฏิโมกข์เป็นกิจสงฆ์ที่สำคัญ และเป็นสังฆกรรมเฉพาะพระภิกษุเท่านั้น แม้สามเณรก็เข้าร่วมไม่ได้ ในระหว่างที่กำลังสวดปาฏิโมกข์ หากมีผู้มิใช่ภิกษุเข้ามาในหัตถบาสต้องเริ่มสวดปาฏิโมกข์ใหม่ เพราะเป็นสังฆกรรมวิบัติ
ในปัจจุบันบางวัดที่ถือเคร่งถึงกับต้องปิดโบสถ์สวดปาฏิโมกข์ เพราะเกรงผู้สวดปาฏิโมกข์จะต้องอาบัติเนื่องจากมีผู้มิใช่ภิกษุได้ยิน แต่บางวัดก็เปิดโบสถ์ตามปกติ เพราะถือเจตนาว่าสวดปาฏิโมกข์ให้ภิกษุฟัง ไม่ได้สวดให้ชาวบ้านฟัง ถ้าชาวบ้านเผอิญผ่านมาได้ยิน หรือเห็นก็ไม่เป็นไร เพียงอย่าให้ล่วงเข้ามาในหัตถบาสเท่านั้น บางคนจึงมีโอกาสได้เห็นพระสวดปาฏิโมกข์
การที่ทรงห้ามภิกษุไม่ให้สวดปาฏิโมกข์ให้ผู้ที่ไม่ใช่ภิกษุฟัง เนื่องจากสวดปาฏิโมกข์เป็นการสวดทบทวนสิกขาบทที่พระพุทธเจ้าบัญญัติห้ามภิกษุตามความผิดที่เกิดขึ้น ซึ่งก็มีหนักบ้างเบาบ้างตามความผิด หากชาวบ้านไม่เข้าใจ เนื่องจากอินทรีย์ยังอ่อน และหนักในศรัทธาจริต จะเกิดความคิดว่าทำไมภิกษุทำความผิดได้ขนาดนั้น เกิดเสื่อมศรัทธาในพระศาสนาลง ก็ห่างไกลจากความไฝ่ใจในธรรมได้ (1) การห้ามภิกษุไม่ให้สวดปาฏิโมกข์ให้ผู้ที่มิใช่ภิกษุฟัง จึงไม่ใช่การกีดกัน หรือจำกัดสิทธิและเสรีภาพในการเรียนรู้ศาสนา แต่เพื่ออนุเคราะห์ เพื่อเกื้อกูลผู้ที่ยังอ่อนปัญญา
สำหรับปาฏิโมกข์ที่ภิกษุร่วมกันฟังทุกวันอุโบสถในปัจจุบันมีแบบแผนที่ควรทราบ ดังนี้
เมื่อภิกษุประชุมพร้อมกันตามเวลาที่ทางวัดกำหนดไว้แล้ว เรียกชื่อ หรือนับจำนวนพระภิกษุที่ร่วมฟังปาฏิโมกข์ เนื่องจากการสวดปาฏิโมกข์ทุกครั้งจะต้องทราบจำนวนพระภิกษุที่ร่วมลงอุโบสถจึงจะสวดปาฏิโมกข์ได้
การนับจำนวนภิกษุสมัยก่อน บางครั้งก็นับโดยการวางไม้หรือก่อนหินไว้ด้านหน้าอุโบสถ ก่อนเข้าอุโบสถก็หยิบไม้หรือก้อนหินเข้าไปวางไว้ ภิกษุที่ทำหน้าที่นับจำนวนไม้ที่ถูกหยิบเข้ามา ท่อนไม้หรือก้อนหินมีจำนวนเท่าไร ภิกษุที่ร่วมฟังปาฏิโมกข์ก็มีจำนวนเท่านั้น แต่ปัจจุบันนิยมเรียกชื่อตามลำดับ
จากนั้นพระเถระผู้เป็นประธานจุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย แล้วนำพระภิกษุทั้งนั้นกราบ ๓ หน แล้วสวดบททำวัตรพระต่อไป
________________________________
(1) การห้ามไม่ให้ภิกษุสวดปาฏิโมกข์แก่ผู้ที่ไม่ใช้ภิกษุฟัง แต่ไม่ได้ห้ามให้ผู้มิใช่ภิกษุศึกษาปาฏิโมกข์ พุทธบริษัทสามารถศึกษาพระวินัยได้ตามกำลังสติปัญญา
หัตถบาส ความหมาย (น.)ระยะระหว่างพระสงฆ์ที่นั่งทําสังฆกรรมหรือระหว่างพระภิกษุสามเณร กับคฤหัสถ์ผู้ถวายของ ห่างกันไม่เกินศอกหนึ่ง. (ป. หตฺถปาส).
ที่มา : จากหนังสือ ลูกผู้ชายต้องบวช
ผู้แต่ง ญาณวชิระ
คำแปล
นิททานุทเทส
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาค อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์นั้น (ว่า๓ จบ)
ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้าอุโบสถวันนี้ที่ ๑๕ ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้วสงฆ์พึงทำอุโบสถพึง แสดงซึ่งปาฏิโมกข์ บุรพกิจอะไรๆของสงฆ์ก็ทำสำเร็จแล้ว ท่านทั้งหลายพึงบอกความบริสุทธิ์ ข้าพเจ้าจักแสดงซึ่งปาฏิโมกข์พวกเราบรรดาที่มีอยู่ทั้งหมด จงฟัง จงใส่ใจซึ่งปาฏิโมกข์นั้น ให้สำเร็จประโยชน์.
ผู้ใดหากมีอาบัติ ผู้นั้นก็พึง เปิดเผยเสียเมื่ออาบัติไม่มี ก็พึงนิ่งอยู่ ก็เพราะความเป็นผู้นิ่งแล ข้าพเจ้าจักทราบท่านทั้งหลายว่า เป็นผู้บริสุทธ์ ก็การสวดประกาศให้ได้ยินมี กำหนด ๓ ในบริษัทเห็นปานนี้อย่างนี้ เป็นเหมือนถูกถามตอบเฉพาะองค์ ก็ภิกษุใดเมื่อสวดประกาศจบครั้งที่ ๓ ระลึก(อาบัติ) ได้อยู่ ไม่ เปิดเผยอาบัติซึ่งมีอยู่ สัมปชานมุสาวาททุกกฎ ย่อมมีแก่เธอนั้น ท่าน ทั้งหลาย ก็สัมปชานมุสาวาทแล พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า เป็นธรรมทำอันตราย เพราะฉะนั้น เมื่อภิกษุต้องอาบัติแล้วระลึกได้ หวังความบริสุทธิ์ พึงเปิดเผยอาบัติซึ่งมีอยู่ เพราะเปิดเผยอาบัติแล้ว ความสบายย่อมมีแก่เธอ
ข้อความเบื้องต้น จบ.
ปาราชิกุทเทส
(ปาราชิก ๔)
...
...
...
2. เหตุให้งดสวด พระปาฏิโมกข์
และ เหตุฉุกเฉิน ที่ต้องหยุดสวด(ในขณะที่สวดอยู่) แล้วสวดแบบย่อแทน
**********
https://84000.org/tipitaka/read/r.php?B=07&A=5572
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๗ พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๗
จุลวรรค ภาค ๒
การงดปาติโมกข์ไม่เป็นธรรมและเป็นธรรม
[๔๖๘] ...
การลงอุโบสถเพื่อฟังปาฏิโมกข์
การลงอุโบสถ คือ การที่พระภิกษุสงฆ์ร่วมประชุมกันที่พระอุโบสถเพื่อฟังปาฏิโมกข์ตามพระวินัย เป็นการทบทวนศีล ๒๒๗ ข้อ ของพระภิกษุ โดยจะมีการสวดทุก ๑๕ วัน คือ ในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ และวันแรม ๑๕ ในเดือนเต็ม หรือวันแรม ๑๔ ค่ำ ในเดือนขาด(1) นอกจากนั้น ยังอนุญาตให้ทำอุโบสถเป็นพิเศษในคราวที่ภิกษุแตกความสามัคคี เมื่อภิกษุกลับมาสามัคคีกันอีกครั้ง แม้จะยังไม่ถึงวันปาฏิโมกข์ ก็ให้สวดปาฏิโมกข์ได้ เรียกว่า สามัคคีอุโบสถ
ปาฏิโมกข์นั้นมี ๒ อย่าง คือ
(๑) โอวาทปาฏิโมกข์ คือ หลักคำสอนทางพระพุทธศาสนาที่พระพุทธเจ้าแสดงไว้เป็นหลัก พระพุทธเจ้าแสดงด้วยพระองค์เอง
(๒) อาณาปาฏิโมกข์ คือ ข้อห้าม ข้อบัญญัติ หรือพระวินัยที่พระพุทธเจ้าบัญญัติเป็นหลัก ทรงอนุญาตให้พระสงฆ์สาวกแสดง
โอวาทปาฏิโมกข์ เป็นหลักการทางพระพุทธศาสนาอย่างกว้างๆ ที่ทรงแสดงไว้ให้พระสาวกยึดเป็นแนวทางในการสั่งสอนประชาชน โอวาทปาฏิโมกข์นั้นพระพุทธเจ้าแสดงด้วยพระองค์เองท่ามกลางที่ประชุมพระสงฆ์สาวก ๑,๒๕๐ รูป ณ พระเวฬุวันวิหาร หลังตรัสรู้ได้ ๙ เดือน วันนั้นเป็นวันมาฆบุรณมี ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓ พระจันทร์เต็มดวงเสวยมาฆฤกษ์ ภิกษุทั้ง ๑,๒๕๐ รูปมาประชุมกันโดยมิได้นัดหมาย ภิกษุที่ร่วมประชุมในครั้งนั้นล้วนเป็นพระอรหันต์ และเป็นภิกษุที่พระพุทธเจ้าบวชให้ทุกรูป จึงเรียกวันนั้นว่า วันจาตุรงคสันนิบาต คือ วันที่มีเหตุอัศจรรย์เกิดขึ้น ๔ ประการ
ในวันนั้น พระพุทธองค์ทรงสถาปนาพระสารีบุตร และพระโมคคัลลานะให้เป็นคู่พระอัครสาวก จากนั้น พระองค์ได้ทรงแสดงหลักการแห่งพระพุทธศาสนา เรียกว่า โอวาทปาฏิโมกข์ ดังนี้
ขนตี ปรมํ ตโป ตีติกขา
นิพพานํ ปรมํ วทนติ พุทธา
น หิ ปพพชิโต ปรูปฆาตี
สมโณ โหติ ปรํ วิเหฐยนโต.
สพพปาปสส อกรณํ กุสลสสูปสมปทา
สจิตตปริโยทปนํ เอตํ พุทธานสาสนํ.
อนูปวาโท อนูปฆาโต ปาฏิโมกเข จ สํวโร
มตตญญุตา จ ภตตสมึ ปนตญจ สยนาสนํ
อธิจิตเต จ อาโยโค เอตํ พุทธานสาสนํ.
แปลว่า
ขันติ คือ ความอดกลั้นเป็นธรรมเครื่องเผากิเลสอย่างยิ่ง
พระพุทธเจ้าทั้งหลายตรัสพระนิพพานว่าเป็นยอด
ผู้ยังทำร้ายผู้อื่นอยู่ ไม่ชื่อว่าบรรพชิต
ผู้ยังเบียดเบียนผู้อื่นอยู่ ไม่ชื่อว่าสมณะ
การไม่ทำบาปทั้งปวง ๑ การทำกุศลให้ถึงพร้อม ๑
ความยังจิตให้ผ่องแผ้ว ๑
ธรรม ๓ ประการนี้ เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
การไม่ว่าร้าย ๑ การไม่ทำร้าย ๑ ความสำรวม
ในพระปาฏิโมกข์ ๑ ความเป็นผู้รู้ประมาณในโภชนะ ๑
การอยู่ในที่นั่งที่นอนอันสงัด ๑
การประกอบความเพียรในการพัฒนาการจิตให้ยิ่ง ๑
ธรรม ๖ ประการนี้ เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลายฯ
การแสดงโอวาทปาฏิโมกข์ของพระพุทธเจ้า ได้มีขึ้นครั้งนี้เพียงครั้งเดียว หลังจากนั้นพระองค์ก็ไม่ได้แสดงอีกเลย แต่พระพุทธองค์ทรงอนุญาตให้ประชุมสงฆ์กันเองทุก ๑๕ วัน ต่อมาภายหลัง เมื่อทรงบัญญัติสิกขาบทแล้ว ทรงอนุญาตให้พระสาวกที่อยู่ร่วมกัน ๔ รูปขึ้นไป นำสิกขาบท ๒๒๗ ข้อมาสวดทบทวนท่ามกลางที่ประชุมสงฆ์ ในวันอุโบสถ จึงเกิดอาณาปาฏิโมกข์ เป็นแบบแห่งการลงอุโบสถเพื่อฟังปาฏิโมกข์ถึงปัจจุบัน
____________________________________
(1) เดือนขาด หมายถึง เดือนที่มีไม่ครบ ๓๐ วัน ตามปกติการนับวันทางจันทรคติ หนึ่งเดือนจะมี ๓๐ วัน แบ่งเป็นข้างขึ้น ๑๕ วัน ข้างแรม ๑๕ วัน รวมเป็น ๓๐ วัน แต่มีวันข้างแรมบางเดือนที่มีเพียง ๑๔ วัน เรียกว่า แรม ๑๔ ค่ำ เดือนนั้นจะมีแค่ ๒๙ วัน เรียกว่า "เดือนขาด" ทรงอนุญาตให้สวดปาฏิโมกข์ในวัน แรม ๑๔ ค่ำ ได้
เหตุจำเป็นที่ต้องเลิกสวดปาฏิโมกข์
การสวดปาฏิโมกข์ เป็นทั้งสังฆกรรมตามพระวินัย และเป็นกิจสงฆ์ที่สำคัญอย่างหนึ่ง ผู้ที่บวชในพระพุทธศาสนา ควรมีโอกาสได้ร่วมฟัง
ในวินัยระบุว่า วัดหนึ่งจะต้องมีภิกษุสวดปาฏิโมกข์ได้หนึ่งรูป หากไม่มีเจ้าอาวาสต้องขวนขวายให้มี หากไม่ขวนขวายเป็นอาบัติ ถ้าขวนขวายแล้วยังไม่มี พอถึงวันปาฏิโมกข์ต้องไปร่วมฟังในวัดที่มีการ
สวดปาฏิโมกข์ ถ้าในย่านนั้นไม่มีวัดที่มีภิกษุสวดปาฏิโมกข์ หรือมีภิกษุไม่ครบ ๔ รูป ไม่ต้องสวดปาฏิโมกข์ แต่ให้อธิษฐานอุโบสถแทน โดยตั้งใจว่า "วันนี้เป็นวันอุโบสถ"
ในระหว่างที่มีการสวดปาฏิโมกข์ ผู้ที่จะอยู่ในที่ประชุมสงฆ์ได้ต้องเป็นภิกษุเท่านั้น ไม่มีเหตุจำเป็นจะหยุดสวดปาฏิโมกข์ในระหว่างไม่ได้
เหตุจำเป็นที่ทำให้ต้องหยุดสวดปาฏิโมกข์มี ๑๐ อย่าง คือ
๑. พระราชาเสด็จมา ให้เลิกสวดปาฏิโมกข์เพื่อจะรับเสด็จได้
๒. โจรมาปล้น เลิกสวดปาฏิโมกข์เพื่อหนีภัยได้
๓. ไฟไหม้ เลิกสวดปาฏิโมกข์เพื่อไปดับไฟได้
๔. น้ำหลากมา เลิกสวดปาตฏิโมกข์เพื่อหนีน้ำได้ ถ้าสวดกลางแจ้ง เกิดฝนตกในระหว่าง เลิกได้เหมือนกัน
๕. คนมามาก เลิกสวดปาฏิโมกข์ เพื่อไปต้อนรับปฏิสันถาร
๖. ผีเข้าภิกษุ เลิกสวดปาฏิโมกข์ เพื่อขับผีออกจากภิกษุ
๗. สัตว์ร้ายเช่น เสือ เป็นต้น เข้ามาในอาราม เลิกสวดปาฏิโมกข์เพื่อไล่สัตว์ได้
๘. งูร้ายเลื้อยเข้ามาในที่ชุมนุม ก็เหมือนกัน
๙. ภิกษุอาพาธด้วยโรคร้ายขึ้นในที่ชุมนุมสงฆ์ อันจะเป็นอันตรายแก่ชีวิต เลิกสวดปาฏิโมกข์เพื่อช่วยแก้ไขได้ ถ้ามีเหตุอันจะเป็นอันตรายเกิดขึ้นในที่นั้นก็หยุดได้
๑๐. มีอันตรายแก่พรหมจรรย์ เช่น มีใครมาเพื่อจับภิกษุรูปใดรูปหนึ่ง ให้เลิกสวดปาฏิโมกข์ เพราะความสับสนอลหม่าน
การฟังปาฏิโมกข์
เนื่องจากการฟังปาฏิโมกข์เป็นกิจสงฆ์ที่สำคัญ และเป็นสังฆกรรมเฉพาะพระภิกษุเท่านั้น แม้สามเณรก็เข้าร่วมไม่ได้ ในระหว่างที่กำลังสวดปาฏิโมกข์ หากมีผู้มิใช่ภิกษุเข้ามาในหัตถบาสต้องเริ่มสวดปาฏิโมกข์ใหม่ เพราะเป็นสังฆกรรมวิบัติ
ในปัจจุบันบางวัดที่ถือเคร่งถึงกับต้องปิดโบสถ์สวดปาฏิโมกข์ เพราะเกรงผู้สวดปาฏิโมกข์จะต้องอาบัติเนื่องจากมีผู้มิใช่ภิกษุได้ยิน แต่บางวัดก็เปิดโบสถ์ตามปกติ เพราะถือเจตนาว่าสวดปาฏิโมกข์ให้ภิกษุฟัง ไม่ได้สวดให้ชาวบ้านฟัง ถ้าชาวบ้านเผอิญผ่านมาได้ยิน หรือเห็นก็ไม่เป็นไร เพียงอย่าให้ล่วงเข้ามาในหัตถบาสเท่านั้น บางคนจึงมีโอกาสได้เห็นพระสวดปาฏิโมกข์
การที่ทรงห้ามภิกษุไม่ให้สวดปาฏิโมกข์ให้ผู้ที่ไม่ใช่ภิกษุฟัง เนื่องจากสวดปาฏิโมกข์เป็นการสวดทบทวนสิกขาบทที่พระพุทธเจ้าบัญญัติห้ามภิกษุตามความผิดที่เกิดขึ้น ซึ่งก็มีหนักบ้างเบาบ้างตามความผิด หากชาวบ้านไม่เข้าใจ เนื่องจากอินทรีย์ยังอ่อน และหนักในศรัทธาจริต จะเกิดความคิดว่าทำไมภิกษุทำความผิดได้ขนาดนั้น เกิดเสื่อมศรัทธาในพระศาสนาลง ก็ห่างไกลจากความไฝ่ใจในธรรมได้ (1) การห้ามภิกษุไม่ให้สวดปาฏิโมกข์ให้ผู้ที่มิใช่ภิกษุฟัง จึงไม่ใช่การกีดกัน หรือจำกัดสิทธิและเสรีภาพในการเรียนรู้ศาสนา แต่เพื่ออนุเคราะห์ เพื่อเกื้อกูลผู้ที่ยังอ่อนปัญญา
สำหรับปาฏิโมกข์ที่ภิกษุร่วมกันฟังทุกวันอุโบสถในปัจจุบันมีแบบแผนที่ควรทราบ ดังนี้
เมื่อภิกษุประชุมพร้อมกันตามเวลาที่ทางวัดกำหนดไว้แล้ว เรียกชื่อ หรือนับจำนวนพระภิกษุที่ร่วมฟังปาฏิโมกข์ เนื่องจากการสวดปาฏิโมกข์ทุกครั้งจะต้องทราบจำนวนพระภิกษุที่ร่วมลงอุโบสถจึงจะสวดปาฏิโมกข์ได้
การนับจำนวนภิกษุสมัยก่อน บางครั้งก็นับโดยการวางไม้หรือก่อนหินไว้ด้านหน้าอุโบสถ ก่อนเข้าอุโบสถก็หยิบไม้หรือก้อนหินเข้าไปวางไว้ ภิกษุที่ทำหน้าที่นับจำนวนไม้ที่ถูกหยิบเข้ามา ท่อนไม้หรือก้อนหินมีจำนวนเท่าไร ภิกษุที่ร่วมฟังปาฏิโมกข์ก็มีจำนวนเท่านั้น แต่ปัจจุบันนิยมเรียกชื่อตามลำดับ
จากนั้นพระเถระผู้เป็นประธานจุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย แล้วนำพระภิกษุทั้งนั้นกราบ ๓ หน แล้วสวดบททำวัตรพระต่อไป
________________________________
(1) การห้ามไม่ให้ภิกษุสวดปาฏิโมกข์แก่ผู้ที่ไม่ใช้ภิกษุฟัง แต่ไม่ได้ห้ามให้ผู้มิใช่ภิกษุศึกษาปาฏิโมกข์ พุทธบริษัทสามารถศึกษาพระวินัยได้ตามกำลังสติปัญญา
หัตถบาส ความหมาย (น.)ระยะระหว่างพระสงฆ์ที่นั่งทําสังฆกรรมหรือระหว่างพระภิกษุสามเณร กับคฤหัสถ์ผู้ถวายของ ห่างกันไม่เกินศอกหนึ่ง. (ป. หตฺถปาส).
ที่มา : จากหนังสือ ลูกผู้ชายต้องบวช
ผู้แต่ง ญาณวชิระ
คำแปล
นิททานุทเทส
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาค อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์นั้น (ว่า๓ จบ)
ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้าอุโบสถวันนี้ที่ ๑๕ ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้วสงฆ์พึงทำอุโบสถพึง แสดงซึ่งปาฏิโมกข์ บุรพกิจอะไรๆของสงฆ์ก็ทำสำเร็จแล้ว ท่านทั้งหลายพึงบอกความบริสุทธิ์ ข้าพเจ้าจักแสดงซึ่งปาฏิโมกข์พวกเราบรรดาที่มีอยู่ทั้งหมด จงฟัง จงใส่ใจซึ่งปาฏิโมกข์นั้น ให้สำเร็จประโยชน์.
ผู้ใดหากมีอาบัติ ผู้นั้นก็พึง เปิดเผยเสียเมื่ออาบัติไม่มี ก็พึงนิ่งอยู่ ก็เพราะความเป็นผู้นิ่งแล ข้าพเจ้าจักทราบท่านทั้งหลายว่า เป็นผู้บริสุทธ์ ก็การสวดประกาศให้ได้ยินมี กำหนด ๓ ในบริษัทเห็นปานนี้อย่างนี้ เป็นเหมือนถูกถามตอบเฉพาะองค์ ก็ภิกษุใดเมื่อสวดประกาศจบครั้งที่ ๓ ระลึก(อาบัติ) ได้อยู่ ไม่ เปิดเผยอาบัติซึ่งมีอยู่ สัมปชานมุสาวาททุกกฎ ย่อมมีแก่เธอนั้น ท่าน ทั้งหลาย ก็สัมปชานมุสาวาทแล พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า เป็นธรรมทำอันตราย เพราะฉะนั้น เมื่อภิกษุต้องอาบัติแล้วระลึกได้ หวังความบริสุทธิ์ พึงเปิดเผยอาบัติซึ่งมีอยู่ เพราะเปิดเผยอาบัติแล้ว ความสบายย่อมมีแก่เธอ
ข้อความเบื้องต้น จบ.
ปาราชิกุทเทส
(ปาราชิก ๔)
...
...
...
2. เหตุให้งดสวด พระปาฏิโมกข์
และ เหตุฉุกเฉิน ที่ต้องหยุดสวด(ในขณะที่สวดอยู่) แล้วสวดแบบย่อแทน
**********
https://84000.org/tipitaka/read/r.php?B=07&A=5572
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๗ พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๗
จุลวรรค ภาค ๒
การงดปาติโมกข์ไม่เป็นธรรมและเป็นธรรม
[๔๖๘] ...
แสดงความคิดเห็น
ทำไมต้องประกาศให้สาธารณชนรับรู้ ?
https://www.facebook.com/phamquockhanh.khanh.25/posts/851266848992036