เหตุเกิดที่ลานเกียร์???

กระทู้คำถาม
ขอเกริ่นก่อนว่าเรื่องที่เราจะเล่าต่อไปนี้เป็นความเชื่อส่วนบุคคล จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ได้ แต่ทั้งหมดที่เล่ามาจากประสบการณ์ตรงที่เราเจอกับตัวเองจริงๆ 

  
ต้องบอกก่อนว่าเราเป็นสายมู ชอบฟังเรื่องลี้ลับชอบดูดวง ชอบบนบานศาลกล่าวกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่ก็ไม่ได้เป็นคนมีเซ้นต์อะไร จัดอยู่ในโหมดคนปกติ ที่จะเจอได้ช่วงที่ทำบุญบ่อยๆ(แต่พอรู้ว่าจะเจอช่วงๆหลังคือไม่ค่อยได้ทำ เพราะไม่อยากเจอเท่าไร)

เรื่องเริ่มจากที่เราได้เข้ามาเรียนในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในโซนภาคเหนือตอนล่าง  ซึ่งก่อนจะเปิดเทอมพวกนิสิตปี1 จะต้องเข้าค่ายที่ทางมหาวิทยาจัดขึ้น เป็นค่ายที่จัดให้เด็กปี1 เข้าด้วยกันทั้งหมด และในค่ายก็จะมีการแบ่งเป็นกลุ่มๆอีกที ภายในค่ายก็จะมีเรื่องเล่าต่างๆที่รุ่นพี่มักเล่าสืบทอดกันมาและมีอยู่เรื่องหนึ่งที่เราจำได้ขึ้นใจเลยคือเรื่องลูบเกียร์  ซึ่งมันก็เป็นความเชื่อของเด็กที่นี่ว่าถ้าใครอยากได้แฟนเป็นวิศวะให้ไปลูบเกียร์ที่ลานเกียร์หน้าคณะวิศวะหลังเที่ยงคืนและต้องห้ามให้ใครเห็นตอนที่เราลูบด้วย ซึ่งสายมูอยากเราก็ไม่พลาดอยู่แล้ว(ถ้าไม่ได้ด้วยเล่ห์ต้องเอาด้วยกล เอาด้วยมนต์ เอาด้วยคาถา) เราก็แบบเอาเลย ของแบบนี้มันต้องลอง ซึ่งช่วงนั้นก็เป็นช่วงสอบมิดเทอมพอดี เราก็เลยชวนเพื่อน สมมติว่าชื่อบีแล้วกัน เราชวนบีไปอ่านหนังสือที่หอสมุดแล้วขากลับก็จะแวะลูบเกียร์     ใช่ค่ะ!!! ทุกอย่างมันเป็นไปตามแผนที่เราวางไว้ หลังจากที่กลับจากหอสมุดเรากับบีก็แวะที่คณะวิศวะ โดยจอดรถไว้ข้างตึกที่อยู่ติดกับคณะเกษตร ตอนนั้นคือไปด้วยความเด้อ ไม่รู้ว่าต้องไปลูบตรงไหน รุ่นพี่บอกว่าเป็นเกียร์ที่อยู่หน้าคณะ ส่วนเมทที่อยู่ห้องเดียวกันบอกว่าเป็นเกียร์ที่หมุนได้ ไอ้เราก็งง สรุปมันอันไหนกันแน่ ด้วยความที่มาถึงที่แล้ว มีกี่เกียร์กูก็จะลูบให้หมด เราก็ประเดิมเกียร์หน้าคณะก่อน หลังจากนั้นก็เดินหาเกียร์ที่เพื่อนบอกว่ามันหมุนได้ เดินจนทั่วสรุปไม่เจอ จนเรากับบีเดินมาหยุดที่ลานพระวิษณุฯ ตอนนั้นคือไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ เราเลยชวนบีเข้าไปไหว้พระวิษณุ (ในเวลาเที่ยงคืนกว่าๆ) เราก็ขอพรให้สอบผ่านบลาๆ แล้วบอกท่านว่าจะมาไหว้ทุกครั้งก่อนสอบ หลังจากที่เราพูดจบ นกที่เกาะบนต้นไม้ใกล้ๆลานก็บินออกจากต้นไม้เสียงดังมากเหมือนมันตกใจอะไรสักอย่าง ในใจเราก็แบบท่านคงตอบรับเราสินะ แต่เราก็ไม่คิดอะไรก่อนจะชวนบีกลับหอเพราะหอในมันปิดตี1 กลัวป้ายามจะกินหัวเอา หลังจากนั้นเราก็ใช้ชีวิตในมหาลัยตามปกติ จนขึ้นปี 2 คำพูดในคืนนั้นเรายังจำได้และทำตามที่พูดไว้ตลอด คือไปไหว้ท่านเทอมละ2ครั้ง ก่อนมิดเทอมกับไฟนอล แต่ด้วยความที่เราเป็นเด็กกิจกรรมทำให้เราห่างจากบีค่อนข้างมาก ไม่รู้ว่าบียังได้ไปอยู่ไหม และด้วยความที่บีเป็นคนเงียบๆโลกส่วนตัวสูง เราเลยไม่ค่อยได้ไปไหนมาไหนด้วยกันเหมือนช่วงที่อยู่ปี1  แต่อยู่มาวันหนึ่งในช่วงของการสอบไฟนอลของปี 2 อยู่ๆบีก็ทักเรามาบอกว่าให้พาไปลานพระวิษณุฯหน่อย ตอนนั้นเป็นเวลาประมาณ 2 ทุ่มกว่าๆ เราก็แบบมันก็มืดแล้วนะจะไปตอนนี้เลยหรอ แต่ในเมื่อเพื่อนอยากไป เราก็โอเค ตกลงจะไปเป็นเพื่อน โดยบีมารับที่หอแล้วแวะซื้อพวงมาลัยก่อนเข้าไป พอบีมารับพวกเราก็ไปกินข้าวแวะนู้นนี้กว่าจะได้เขามอก็ประมาณสามทุ่มแล้ว เราจอดรถกันไว้ที่เดิมคือหน้าตึกของคณะเกษตร แล้วเดินเข้าไป ต้องบอกว่าความรู้สึกแรกที่เราไปถึงคือรู้สึกว่าทำไมบรรยากาศน่ากลัวจัง มันเงียบแบบเงียบมาก ทั้งๆที่ยังไม่ดึกมากด้วยซ้ำ ระหว่างทางที่เดินจากที่จอดรถไปลานพระวิษณุก็ไม่ไม่ไกลกันมาก โถงทางเดินที่ต้องเดินผ่านก็ไม่ได้สว่างอะไรมาก อารมณ์แบบสว่างเป็นระยะๆ เราก็เลยชวนบีรีบไหว้รีบกลับกันเถอะ เพราะตอนนั้นเหมือนรู้สึกไม่ดีมากๆ รู้สึกเหมือนมีคนมองอยู่ตลอดเวลา แต่พอหันไปดูก็ไม่เจออะไร หลังจากไหว้เสร็จเราก็ชวนบีกลับทันที  บีก็โอเค สตาร์ทรถเตรียมจะกลับแล้ว พอจะเลี้ยวรถออกบีกลับพาเราไปอีกทาง ขับไปจบสุดถนนที่เป็นทางตันรถมอไซค์ไม่สามารถผ่านได้ ถนนข้างหน้าเป็นถนนขนาดเล็กที่ไว้สำหรับแค่จักรยานเท่านั้น โดยทางหนึ่งจะไปหอสมุด ส่วนอีกทางจะไปโพล่ที่หน้าคณะวิทยฯ บีจอดรถตรงนั้น ตรงสามแยก และด้านขวามือของพวกเราก็มีต้นไม้ต้นหนึ่ง เราจะรู้จักกันในชื่อว่าต้นโพธิ์น้ำแดง ใช่!! บีจอดรถและกำลังจะเดินไปตรงนั้น เราเลยเรียกบีไว้ก่อน และถามบีว่าจะไปไหน บีบอกว่าอยากไปตรงนั้น ตอนนั้นเราเริ่มคิดว่าบีเริ่มไม่ปกติแล้ว เราไม่รู้จะทำไงเลยบอกบีไปว่าไม่ต้องไป จะไม่ทำไม กลับกันเถอะ หลังจากที่ได้ยินเราพูดบีเหมือนจะลังเล แต่ก็ยอมเดินกลับมา ตอนนั้นคือคิดในใจว่าถ้าบีไม่ฟังกูจะทำไวว่ะ กำพระแน่อะพูดเลย ก่อนจะกลับเราเลยบอกบีว่าเราอยากไหว้สมเด็จฯ แวะลานสมเด็จฯให้หน่อย บีก็โอเค เราสองคนขับรถมาได้ถึงหน้าคณะนิติฯ อยู่ๆบีก็วนรถกับไปและขับไปจอดที่เดิม ใช่แล้ว!!!  ตรงต้นโพธิ์น้ำแดง รอบนี้เรารู้เลยว่าบีไม่ปกติแน่ๆ คือเราโคตรกลัว กลัวทั้งสถานที่ กลัวทั้งเพื่อนตัวเอง ในใจคือสวดมนต์แล้ว บีก็มีอาการเหมือนเดิม คือจอดรถแล้วจะเดินไปตรงต้นโพธิ์ เราก็ถามบีเหมือนเดิมว่าจะไปไหน แต่คร่าวนี้บีไม่ตอบ เราก็คือกลัวกว่าเดิม แล้วเราเลยบอกบีไปว่าถ้าจะไปบีไปคนเดียวนะ เราจะรออยู่ตรงนี้  บีก็เหมือนลังเลอีกครั้ง แต่ก็ยังจ้องไปที่ต้นโพธิ์นานมาก และสุดท้ายบีก็ยอมเดินกลับมาที่รถ เราเลยบอกบีไปว่าเราจะไปลานสมเด็จ พาเราไปลานสมเด็จหน่อย ตอนนั้นคิดได้อย่างเดียวคือต้องไปลานสมเด็จฯ พอบีขับรถพาเรามาถึงเราก็ชวนบีขึ้นไปไหว้สมเด็จฯ ด้วยกัน แต่บีปฏิเสธไม่ยอมขึ้นลานไปกับเรา เราก็เลยขึ้นไปคนเดียว จากนั้นเราก็จุดธูปไหว้สมเด็จฯ ตามปกติ แล้วขอให้สมเด็จช่วยเพื่อนเราด้วย เพราะอาการของบีไม่ปกติมากๆ พอไหว้เสร็จปักธูปลงกระถางเรียบร้อย บีจากที่บอกจะรออยู่นอกลานก็เดินขึ้นมาหาเราบนลาน เรากับบีเลยได้นั่งคุยกันว่าเมื่อกี้ไปทำอะไรตรงนั้น บีตอบเราว่าไม่รู้ แค่รู้สึกว่าต้องไปตรงนั้น หลังจากนั้น เรากับบีก็แยกย้ายกันกลับหอ เราก็ไม่ได้คิดอะไรมาก เพราะต้องอ่านหนังสือสอบ (อ่านนังสือไม่ทัน ไฟไหม้ เลยไม่ได้ใส่ใจกับเหตุการที่เกิดขึ้นมาก อีกอย่างก็คิดว่าคงไม่มีอะไรแล้ว) พอตอนเช้าเราก็ไปสอบปกติ หลังสอบเสร็จเราก็กลับมานอนสลบอยู่ที่หอเพราะเมื่ออ่านหนังสือทั้งคืน (ไม่ดีนะ อย่าเอาเป็นตัวอย่าง)  หลังจากที่หลับไปเราตื่นมาช่วงประมาณสามทุ่ม เราได้รับข้อความจากเพื่อนว่า บีแอดมิดเข้า รพ. เมื่อเข้า แล้วก็ไม่ได้ไปสอบด้วย เพื่อนโทรมาเล่าอาการบีให้ฟังคือเราตกใจมาก บีจำอะไรไม่ได้เลย จำใครไม่ได้เลย พูดคนเดียวและคิดว่าตัวเองตายไปแล้ว และสิ่งที่ทำให้เราเสียใจที่สุดคือเราเป็นคนอยู่กับบีเป็นคนสุดท้าย รู้ว่าเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้น รู้ว่าอาการเพื่อนไม่ดี แต่เราเองที่ไม่ใส่ใจปล่อยให้เพื่อนกลับหอไป  จนวันที่เราไปเยี่ยมบีที่รพ. ได้ไปเจอกับแม่ของบี แต่ตอนนั้นเรายังไม่ได้เล่าอะไรให้ใครฟัง ยังไม่มีใครรู้ว่าเราอยู่กับบีคนสุดท้ายก่อนเกิดเรื่อง จนแม่บีพูดออกมาว่าเหมือนบีโดนของหรือต้องไปทำอะไรมาสักอย่างมาแน่ๆและก็ฝากให้เราอยู่เป็นเพื่อนบีหน่อยแม่จะไปย้ายหอ แม่บีคิดว่าอาจจะเป็นเพราะหอพัก เหมือนบีจะเคยเล่าของเรื่องที่เคยเจอในหอพักให้แม่ฟัง ตอนนั้นเราก็ยังไม่พูดอะไรเหมือนเดิม คือรอให้แม่บีย้ายของเสร็จก่อนถึงจะเล่า   

>>>>มีต่ออีกตอนที่เราเล่าเรื่องคืนนั้นให้แม่บีฟัง<<<<
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่