
คุณเคยเจอหรือเคยมีเพื่อนแบบนี้บ้างหรือเปล่า ชอบคุยโวโอ้อวดต่อหน้า ชอบอวดอ้างว่าตนมีสิ่งนั้นสิ่งนี้มากมาย ชอบมาคุยให้ฟังว่าเก่งอย่างนั้นอย่างนี้ ฯลฯ กล่าวคือ “ขี้โม้” นั่นเอง
แทบไม่ต้องถามเลยว่าคนที่ต้องฟังสิ่งเหล่านี้จะรู้สึกอย่างไร แน่นอนว่าคนส่วนใหญ่ไม่มีใครชอบเป็นแน่ เป็นไปได้ก็อยากจะเดินหนีหรืออุดหูให้มันรู้แล้วรู้รอดไปซะ
ซึ่งจะเอาตัวรอดแบบไหนก็คงต้องแล้วแต่เทคนิคส่วนบุคคลว่ากันเป็นครั้ง ๆ ไป แต่คุณเคยลองสังเกต เคยลองปัดหูจากคำโม้เหล่านั้นเปลี่ยนมาฟังสิ่งที่แฝงอยู่ในคำพูดมั้ย ทำไมคนแบบนี้จึงสามารถเล่าเรื่องได้เป็นฉาก ๆ อีกทั้งยังไม่มีทีท่าว่าจะเหน็ดเหนื่อยหรือลำบากในการบรรยายตัวเองเลย
มีตัวอย่างอยู่ 3 มุมที่อยากจะพาสังเกตและมองไปด้วยกัน
1. คนเหล่านี้ทำไปเพราะอยากจะโดดเด่นขึ้นมาภายในกลุ่ม การที่คอยอวดอ้างว่าตนนั้นมีอะไรหรือเก่งเรื่องนั้น ๆ มากแค่ไหน เขาคิดว่าจะสามารถทำให้คนรอบข้างหันมาและมอบความสนอกสนใจให้
คนแบบนี้จะกลัวว่าตัวเองจะจืดจางเมื่ออยู่ต่อหน้าคนเป็นกลุ่ม จึงต้องคอยยกสิ่งที่คิดว่าตนมีเหนือกว่ามาป่าวประกาศ หมายต้องการแค่เพียงความสนใจแม้สิ่งที่พูดนั้นจะจริงหรือไม่จริงก็ตาม
2. อีกแบบหนึ่งของการคุยให้ใหญ่โต คุยในเชิงของการกดอีกฝ่ายให้ด้อยกว่า ดูมีน้อยกว่า ความสามารถต่ำกว่า เพื่อหวังซึ่งผลประโยชน์บางอย่าง การพูดการแสดงให้เห็นว่าฉันมีเยอะนะ ฉันเก่งมากขนาดนี้เลยนะ ฉะนั้นฉันจะทำอะไรหรือพูดอะไร เธอที่ด้อยกว่าก็ต้องเชื่อและทำตามฉัน
เป็นการพูดกรอกหูอีกฝ่ายไปเรื่อย ๆ เพื่อสะกดให้อีกฝ่ายคล้อยตามและสามารถบงการหรือเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ได้ โดยอาจจะอยู่ในรูปแบบของเงิน ผู้ติดตามคอยรับใช้ หรืออื่น ๆ คนแบบนี้โปรดระวัง
3. แบบนี้คือการพูดเพื่อกลบปมหรือแผลในใจ สิ่งที่ไม่เคยมีครอบครองไม่ว่าจะเป็นทรัพย์สิน ความสามารถหรือสติปัญญา เมื่อวันหนึ่งได้มันมาแล้วแต่กลับพบว่าคนรอบข้างนั้นแลดูจะมีมากกว่า เลยจำเป็นต้องเอ่ยขึ้นมาเพื่อกดอีกฝ่ายเอาไว้ก่อน
กลัวว่าตัวเองจะกลับไปดูด้อยกว่าคนอื่น ๆ อยากจะบอกว่าฉันก็มีนะและฉันก็มีมากกว่าเธอ ไม่อยากให้ปมที่ตนเคยขาดแคลนนั้นถูกมองเห็น กลัวว่าจะไม่มีใครยอมรับตน
จะแบบไหนเชื่อว่าทุกคนก็คงไม่อยากเจอหรอก เพราะนอกจากบางครั้งจะมากเกินจนน่ารำคาญแล้ว มันยังส่งผลเสียกับการทำงานด้วย เพราะคนเหล่านี้มีโอกาสสูงมากที่จะไม่รับฟังคนอื่น เนื่องด้วยความมั่นใจมากเกิน การมองว่าคนอื่นด้อยกว่าและสะกดจิตตัวเองไปแล้วว่าตนเหนือกว่าใคร
อย่างที่ได้กล่าวมาข้างต้นแล้วว่าการรับมือหรืออยู่ร่วมกับคนแบบนี้อย่างไร ก็คงต้องแล้วแต่เทคนิคส่วนบุคคลไป เพราะว่าระดับความสัมพันธ์ของแต่ละคนก็ไม่เท่ากันอยู่แล้ว จะไม้อ่อน ไม้แข็ง ก็ให้คิดและมองให้ขาดก่อนว่าที่เขาขี้โม้แบบนั้นมันเพื่ออะไร จะช่วยให้ทั้งเราและเขาอยู่ได้อย่างสบายใจกันทั้งสองฝ่าย
แล้วคุณล่ะมองแบบไหน
3 เหตุผล คนขี้โม้ไม่เคยบอกคุณ
คุณเคยเจอหรือเคยมีเพื่อนแบบนี้บ้างหรือเปล่า ชอบคุยโวโอ้อวดต่อหน้า ชอบอวดอ้างว่าตนมีสิ่งนั้นสิ่งนี้มากมาย ชอบมาคุยให้ฟังว่าเก่งอย่างนั้นอย่างนี้ ฯลฯ กล่าวคือ “ขี้โม้” นั่นเอง
แทบไม่ต้องถามเลยว่าคนที่ต้องฟังสิ่งเหล่านี้จะรู้สึกอย่างไร แน่นอนว่าคนส่วนใหญ่ไม่มีใครชอบเป็นแน่ เป็นไปได้ก็อยากจะเดินหนีหรืออุดหูให้มันรู้แล้วรู้รอดไปซะ
ซึ่งจะเอาตัวรอดแบบไหนก็คงต้องแล้วแต่เทคนิคส่วนบุคคลว่ากันเป็นครั้ง ๆ ไป แต่คุณเคยลองสังเกต เคยลองปัดหูจากคำโม้เหล่านั้นเปลี่ยนมาฟังสิ่งที่แฝงอยู่ในคำพูดมั้ย ทำไมคนแบบนี้จึงสามารถเล่าเรื่องได้เป็นฉาก ๆ อีกทั้งยังไม่มีทีท่าว่าจะเหน็ดเหนื่อยหรือลำบากในการบรรยายตัวเองเลย
มีตัวอย่างอยู่ 3 มุมที่อยากจะพาสังเกตและมองไปด้วยกัน
1. คนเหล่านี้ทำไปเพราะอยากจะโดดเด่นขึ้นมาภายในกลุ่ม การที่คอยอวดอ้างว่าตนนั้นมีอะไรหรือเก่งเรื่องนั้น ๆ มากแค่ไหน เขาคิดว่าจะสามารถทำให้คนรอบข้างหันมาและมอบความสนอกสนใจให้
คนแบบนี้จะกลัวว่าตัวเองจะจืดจางเมื่ออยู่ต่อหน้าคนเป็นกลุ่ม จึงต้องคอยยกสิ่งที่คิดว่าตนมีเหนือกว่ามาป่าวประกาศ หมายต้องการแค่เพียงความสนใจแม้สิ่งที่พูดนั้นจะจริงหรือไม่จริงก็ตาม
2. อีกแบบหนึ่งของการคุยให้ใหญ่โต คุยในเชิงของการกดอีกฝ่ายให้ด้อยกว่า ดูมีน้อยกว่า ความสามารถต่ำกว่า เพื่อหวังซึ่งผลประโยชน์บางอย่าง การพูดการแสดงให้เห็นว่าฉันมีเยอะนะ ฉันเก่งมากขนาดนี้เลยนะ ฉะนั้นฉันจะทำอะไรหรือพูดอะไร เธอที่ด้อยกว่าก็ต้องเชื่อและทำตามฉัน
เป็นการพูดกรอกหูอีกฝ่ายไปเรื่อย ๆ เพื่อสะกดให้อีกฝ่ายคล้อยตามและสามารถบงการหรือเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ได้ โดยอาจจะอยู่ในรูปแบบของเงิน ผู้ติดตามคอยรับใช้ หรืออื่น ๆ คนแบบนี้โปรดระวัง
3. แบบนี้คือการพูดเพื่อกลบปมหรือแผลในใจ สิ่งที่ไม่เคยมีครอบครองไม่ว่าจะเป็นทรัพย์สิน ความสามารถหรือสติปัญญา เมื่อวันหนึ่งได้มันมาแล้วแต่กลับพบว่าคนรอบข้างนั้นแลดูจะมีมากกว่า เลยจำเป็นต้องเอ่ยขึ้นมาเพื่อกดอีกฝ่ายเอาไว้ก่อน
กลัวว่าตัวเองจะกลับไปดูด้อยกว่าคนอื่น ๆ อยากจะบอกว่าฉันก็มีนะและฉันก็มีมากกว่าเธอ ไม่อยากให้ปมที่ตนเคยขาดแคลนนั้นถูกมองเห็น กลัวว่าจะไม่มีใครยอมรับตน
จะแบบไหนเชื่อว่าทุกคนก็คงไม่อยากเจอหรอก เพราะนอกจากบางครั้งจะมากเกินจนน่ารำคาญแล้ว มันยังส่งผลเสียกับการทำงานด้วย เพราะคนเหล่านี้มีโอกาสสูงมากที่จะไม่รับฟังคนอื่น เนื่องด้วยความมั่นใจมากเกิน การมองว่าคนอื่นด้อยกว่าและสะกดจิตตัวเองไปแล้วว่าตนเหนือกว่าใคร
อย่างที่ได้กล่าวมาข้างต้นแล้วว่าการรับมือหรืออยู่ร่วมกับคนแบบนี้อย่างไร ก็คงต้องแล้วแต่เทคนิคส่วนบุคคลไป เพราะว่าระดับความสัมพันธ์ของแต่ละคนก็ไม่เท่ากันอยู่แล้ว จะไม้อ่อน ไม้แข็ง ก็ให้คิดและมองให้ขาดก่อนว่าที่เขาขี้โม้แบบนั้นมันเพื่ออะไร จะช่วยให้ทั้งเราและเขาอยู่ได้อย่างสบายใจกันทั้งสองฝ่าย
แล้วคุณล่ะมองแบบไหน