ตำนานรัก ข้ามจักรวาล......บทที่ 1

กระทู้สนทนา


แรงขับเคลื่อน  นิยายเรื่องนี้ คือ  ความรัก

 
    ตำนานรัก ข้ามจักรวาล

 
         ขณะที่ยาน Tanya (แทนยา) กำลังพุ่งลงสู่ดาว V- 666 หรือดาวดำมรณะ  ผมรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังหลุดพ้นจากโลกใบหนึ่ง และกำลังดำดิ่งลงไปสู่โลกใบใหม่ จะว่าไปดาว V-666 ก็ไม่ใช่ดาวเคราะห์ดวงใหม่ นักดาราศาสตร์ค้นพบโดยบังเอิญตั้งแต่ปี ค.ศ. 2050 แล้วว่า มันซ่อนตัวอยู่ด้านหลังของดวงอาทิตย์หลบพ้นสายตาชาวโลกตลอดเวลา ด้วยขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางน้อยกว่าโลกของเราห้าเท่า แต่ชดเชยด้วยความหนาแน่นสูง 
 
             ยานแทนยาไม่ได้ลดความเร็ว ขณะพุ่งลงไปยังพื้นผิว
 
             ผมหลับตาลง สงบจิตใจกับวาระสุดท้าย
 
             เสียงสัญญาณเตือนภัยดังลั่น ได้ยินเสียงของจอห์นรายงานอะไรบางอย่าง ก่อนยานจะลดความเร็วลงชนิดตั้งตัวแทบไม่ทัน ไม่ต้องสงสัย นั่นเป็นการเข้าควบคุมยานของจอห์น  ผมพลาดไปถนัดใจ ไม่นึกว่าจอห์นที่ถูกปิดโปรแกรมไปแล้ว จะกลับมาทำงานเองได้ในภาวะฉุกเฉิน
 
             แผนการฆ่าตัวตายพิสดารของผม จึงล้มเหลวไม่เป็นท่า
 
             ยานแทนยา เป็นกระสวยอวกาศ ขนาดเท่ากับเครื่องบินโดยสารขนาดใหญ่ลำหนึ่ง เชื้อเพลิงใช้ปฏิสสารในการขับเคลื่อนความเร็วสูง ทำให้แทนยาบินอ้อมดวงอาทิตย์มาหาดาว V- 666   โดยใช้เวลาไม่นาน
 
             นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าดาวดวงนี้ เป็นดาวอันตราย ถึงขนาดตั้งชื่อเล่นด้วยสัญญลักษณ์ของหมายเลขแห่งปีศาจร้าย  The number of the beast. 
มนุษย์เคยส่งยานสำรวจไร้นักบิน มาสำรวจหลายครั้ง พร้อมกับรายงานว่า ดาว V- 666  ถูกปกคลุมด้วยสารพิษ สสารมืด พลังงานมืด สารพัด มองจากอวกาศเกือบเป็นสีดำกลมกลืนฉากหลัง จนไม่น่าเชื่อว่าจะมีสิ่งมีชีวิตอาศัยและสามารถหลบซ่อนตัวเองจากการสำรวจตรวจพบเป็นเวลายาวนาน  
ผมเป็นนักบินอวกาศคนเดียว ที่กล้าขอทำหน้าที่ลงสำรวจพื้นผิวของดาวมรณะดวงนี้
 
             แทนยาชะลอความเร็วลงทันเวลาเมื่อเข้าใกล้พื้นผิว  พุ่งผ่านกลุ่มหมอกหมอกดำหนาแน่นไปด้วยอนุภาคอันตรายและประจุไฟฟ้า จะว่าไปการเดินทางครั้งนี้ก็แทบไม่ผิดกับการฆ่าตัวตาย แต่ผมไม่ได้หวาดวิตกอะไร ใครจะไปรู้บ้างว่า ผมเลือกที่จะฆ่าตัวตายอย่างแนบเนียน ด้วยอาศัยงบประมาณมหาศาลของนาซา จอห์นก็ไม่ทราบ เพราะฐานข้อมูลของเขาไม่มีเรื่องของอัตวินิบาตกรรม
 
             พอยานอวกาศเจาะผ่านบรรยากาศอันน่ากลัวของดาวปีศาจลงไป สิ่งปรากฏเบื้องล่างทำให้ผมถึงกับตื่นตะลึง  ดาวที่ควรเป็นดาวนรกกลับไม่ใช่อย่างที่คิด  สภาพแทบไม่ต่างจากโลกมนุษย์ เพียงแต่ดูค่อนข้างแห้งแล้ง มีสีเขียวของพืชประปราย ท่ามกลางสีน้ำตาลอ่อนของพื้นผิว นี่จะต้องเป็นสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์คาดไม่ถึงเป็นแน่  
 
            แผงหน้าปัทม์บริเวณคอนโซลด้านหน้า รายงานผลวิเคราะห์ข้อมูลอัตโนมัติไม่หยุดยั้ง บรรยากาศใกล้เคียงกับบรรยากาศของโลกแบบเหลือเชื่อ ระดับความปลอดภัยสูง
 
             ยานแทนยาเลือกตำแหน่งลานกว้างแห่งหนึ่ง เป็นลานจอดยานอย่างนุ่มนวล แทนการเร่งเครื่องปะทะแบบดับเครื่องชน อย่างที่ตั้งใจไว้แต่แรก ใช่...ผมตั้งใจจะทำอย่างนั้นจริง ๆ  แต่เวลานี้ ดวงดาวประหลาดเหมือนมีมนตร์ขลังบางอย่าง ทำให้อยากมีชีวิตต่อไปอีกสักนิด ซึ่งอาจเป็นนิสัยความอยากรู้อยากเห็น ตามสัญชาตญาณก็เป็นได้

             ไม่นานเครื่องยนต์ค่อยดับลง เป็นสัญญาณว่าการลงจอดเป็นไปอย่างเรียบร้อย จอห์นไม่ได้พูดถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ สมองกลอย่างเขาอาจคิดว่า ผมควบคุมยานผิดพลาดก็เป็นได้

            “ผมช่วยชีวิตคุณ และช่วยเหลือยานเอาไว้”  นั่นเป็นเสียงสังเคราะห์ของเขา ผ่านลำโพงจากมุมบนของห้องบังคับยาน หน้าจอมอนิเตอร์ภาพปรากฏภาพหน้ากลม ๆ ยิ้มลอยวนไปมา  ผมนึกด่าในใจ  บังอาจขัดขวางการตาย ยังมีหน้าพูดแบบทวงบุญคุณอีก
 
             “ขอบใจ” ผมว่าไปตามน้ำ เรื่องอะไรจะไปสารภาพความจริง  ”เฮ้ จอห์น แกจะรายงานความผิดพลาดไปยังศูนย์บัญชาการก็ได้นะ”
 
             “ผมเพียงบันทึกข้อมูล ยังไม่ส่งรายงาน มนุษย์มีการทำงานผิดพลาดได้เสมอ ผมเข้าใจ”

             นั่น...ฟังดูประหนึ่งว่าจอห์นคุยข่มอยู่ในที เริ่มพูดจาเหมือนมนุษย์มากขึ้นทุกวัน 

             “เกิดเหตุฉุกเฉิน ผมเลือกลงจอด แทนที่จะเลือกโคจรรอบดาวเพื่อวิเคราะห์ข้อมูลตามโปรแกรม เพื่อรักษาความปลอดภัย”  จอห์นยังคงพูดต่อไป ไม่สนใจว่าจะใครฟังหรือไม่ฟัง 

             ผมละความสนใจจากข้อมูลที่จอห์นเริ่มพรรณนา เปิดหน้าต่างโลหะพิเศษ มองผ่านกระจกนิรภัยออกไปนอกยาน  รู้สึกถึงความเงียบสงบอย่างแปลก ๆ กับความรู้สึกว่าดาวดวงนี้มันรอผมอยู่ และมันยังไม่ต้องการให้ผมตาย 
 
              ก่อนตายผมก็ควรจะรู้อะไรเกี่ยวกับดาวบ้าง เผื่อว่าจะได้มีข้อมูลไปเล่าให้ผีนรกฟังเมื่ออยู่ในยมโลก ถ้าโลกหน้ามีจริงละนะ...

             “อากาศใกล้เคียงอากาศบนโลก คุณสามารถออกไปด้านนอก โดยไม่ต้องสวมชุดอวกาศ”  จอห์นแนะนำในเรื่องที่ผมมั่นใจอยู่แล้ว ก็ข้อมูลรายละเอียดปรากฏอยู่หน้าจอสามมิติเบื้องหน้านี่เอง

            “งั้นแกเฝ้ายานให้ดีก็แล้วกัน ฉันจะออกไปข้างนอก”  ผมบอกจอห์น รู้สึกกระตือรือล้นเป็นพิเศษ ไม่ต้องเสียเวลาเอ้อระเหยลอยชาย เปิดประตูยานเพื่อรับอากาศภายนอก ไม่ได้วิตกหวั่นเกรงอะไรมากนัก ว่าจะเป็นหรือตาย ผมถอดชุดอวกาศ อยู่ในชุดลำลองของนักบิน ราวกับจะออกไปชมสวนมากกว่าจะออกสำรวจโลกใหม่ที่น่าพิศวง 
 
        อากาศสดชื่นอย่างที่คิด เป็นไปตามการรายงานของจอห์นอากาศชนิดที่ไม่เคยผ่านปอดของมนุษย์คนใดมาก่อน นี่สิจึงเรียกว่าอากาศบริสุทธิ์แท้จริง  ท้องฟ้าเป็นสีคราม ไม่ใช่สีดำคล้ำอย่างสังเกตเห็นจากอวกาศ จะต้องมีอะไรพิเศษบางอย่างนอกเหนือความรู้ทางฟิสิกส์

มองเห็นแนวไม้และภูเขาลิบลับ สดชื่นสงบ ทำให้ผมอยากจะคิดในทางวิปลาสว่า ความจริงยานอวกาศแทนยาโหม่งผิวดวงดวง ระเปิดเป็นจุณไปแล้ว ผมเสียชีวิตในหน้าที่แบบไม่รู้ตัว กลายเป็นวิญญาณ ล่องลอยอยู่ในความทรงจำขมขื่น สร้างมายาภาพหลอนขึ้นในดวงจิตคิดไปเอง  

             แต่ไม่ใช่!  ผมแน่ใจในสิ่งที่เห็นและสัมผัสได้   

             วูบหนึ่ง ผมนึกถึงแอนนา

             ไม่อยากจะเชื่อว่า ผู้หญิงคนเดียว จะทำให้ผมคิดอยากฆ่าตัวตายด้วยวิธีสุดพิสดาร แต่นั่นละครับ... ไม่ว่าโลกและเทคโนโลยีจะก้าวไกลเพียงใด จิตใจของมนุษย์ก็ยังคงเป็นจิตใจของมนุษที่หลายครั้งมันนอกเหนือตรรกะเหตุผล ความเจ็บปวดผิดหวังสิ้นหวังจึงคงอยู่กับมนุษยชาติเสมอมา ไม่ว่าจะเป็นยุคใดสมัยใด โดยเฉพาะคนโดดเดี่ยวกับงานและงาน สูญเสียครอบครัวไปกับสงครามโลกครั้งที่สาม ชีวิตหลังจากนั้นยังหาคำตอบไม่ได้ว่า อยู่ไปเพื่ออะไร
 
             แอนนา เป็นแรงยึดเหนี่ยวสุดท้ายที่ทำให้ผมมีพลังผสานร่างกายและจิตใจ ไม่ให้แตกความสามัคคี อยู่ร่วมกันได้อย่างสันติ แต่เมื่อเธอจากไป ผมคงไม่อธิบายความรู้สึกส่วนนี้ เอาเป็นว่าทำให้ผมไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไป สมควรตาย หลุดพ้นจากความทรมานที่เคี่ยวเข็ญแทบทุกเวลา แน่นอนว่าความเจ็บปวดทางจิตใจไม่ได้ทำให้เนื้อหนังหลุดเป็นชิ้น ๆ  แต่มันเจ็บลึกร้าวลงไปในความรู้สึกอันละเอียดอ่อนที่สุด
 
             เวลาประมาณก่อนเที่ยง แต่คล้ายรุ่งอรุณบนโลก อากาศเย็นสบาย สายลมเฉื่อยฉิว ดวงอาทิตย์ใหญ่กลมโตแต่เลือนราง ม่านหมอกประหลาดที่ปกคลุมด้านบนกรองแสงดวงอาทิตย์เอาไว้
 
             ผมมองเห็นแสงประหลาดระยิบวับวาวปรากฏในระยะห่างออกไปไม่ถึงห้าสิบเมตร ทำให้ต้องมองอย่างแปลกใจ กลุ่มประกายไฟสีเหลืองแปลกพิสดารเหมือนมีชีวิตวูบไหวไปมา บางครั้งแตกกระจายเป็นดอกดวง แล้วกลับมารวมกลุ่มกันได้อย่างน่าทึ่ง สวยงาม อาจเป็นกลุ่มแก๊สบางอย่างทำปฏิกิริยากันเกิดเป็นประกายไฟ

            เอาไว้วิเคราะห์ตอนหลัง ยังไม่ว่าง...
 
             ความจริงก็ว่าง แต่หาเหตุผลอ้างไปอย่างนั้นเอง 
 
             “แอนนา...”  ผมสูดลมหายใจลึก เงยหน้าตะโกนดัง ๆ  “เสียใจด้วยนะ คุณไม่ได้เห็นอย่างที่ผมเห็นในตอนนี้”

             ผมตะโกนแล้วรู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย มองดูกลุ่มสะเก็ดไฟลอยไปมาครู่หนึ่งก่อนสลายตัวไป แม้ไม่รู้ว่าความจริงคืออะไรกันแน่ แต่ท่าทางไม่มีอันตราย  ไม่ได้ และไม่มีเหตุผลอะไรจะรีบร้อนบันทึกข้อมูล 

              ลองเดินสำรวจไปทางทิศตะวันออกเรื่อย ๆ  บรรยากาศเหมือนยามอรุณรุ่ง ไม่สว่างจัดจ้า แต่ก็ไม่ได้ถึงกับมืดหม่น เป็นช่วงที่ดีที่สุดของรอยต่อระหว่างกลางวันและกลางคืน ถ้าอยู่บนโลกเราจะสัมผัสช่วงเวลาแบบนี้ไม่นาน แต่ผมมีเวลาสัมผัสยาวนานเหลือเฟือบนดวงดาวของผม  
ใช่...ต้องเป็น ‘ดวงดาวของผม’  เท่านั้น เพราะมาสำรวจเป็นคนแรก จึงควรมีสิทธิ์เป็นเจ้าของแต่เพียงผู้เดียว
 
              เดินเรื่อยเปื่อยไปได้ประมาณครึ่งกิโลเมตร พบป่าโปร่งแห่งหนึ่ง  มีไม้ยืนต้นและไม้ล้มลุกบริเวณกว้าง บางต้นออกผลลักษณะคล้ายผลส้มขนาดเท่ากำปั้น กลิ่นคล้ายแอปเปิล ลองแกะเปลือกออก พบว่าเนื้อสีขาวแบบแป้ง ชิมดูมีรสหวานเล็กน้อย น่าจะเป็นอาหารพื้นฐานได้ นอกจากนี้ยังมีผลไม้อีกหลายชนิดที่ดูไม่น่ามีพิษ 

             ถ้าไม่ชิงตายเสียก่อน ก็คงเอาชีวิตรอดได้นาน เมื่ออาหารบนยานหมดไป ยังมีปัจจัยพื้นฐาน  ผมมั่นใจในความคิดของตัวเอง ไม่แน่..ผมอาจเปลี่ยนใจไม่อยากตายก็เป็นได้ อกหักแล้วฆ่าตัวตาย โง่ชะมัด!

             ทำไมเพิ่งมาคิดตอนนี้ ผมรู้สึกขำตัวเอง 

             เอาละน่า คนเราก็ต้องมีช่วงจังหวะแห่งความโง่ด้วยกันทั้งนั้น ผมนึกถึงคำว่าโง่มาก่อนฉลาด
 
             การห่างไกลจากโลกมนุษย์ บ่อเกิดแห่งความเจ็บปวดทางใจ ทำให้จิตใจสงบลงได้บ้าง  สถานที่แห่งใหม่ไม่มีเงาอดีตติดฝังคอยกัดกร่อนให้ร้าวใจ บางทีผมอาจจะทบทวนแผนการฆ่าตัวตายใหม่ หรืออาจยกเลิกก็ได้

             ยังมีเวลาเหลือเฟือ ผมเดินตัดผ่านป่าโปรงมุ่งหน้าตรงไประยะหนึ่ง พบแอ่งน้ำขนาดเกือบเท่าสระอาบน้ำตามโรงแรมใหญ่  
 
             “นี่ตูข้าหลงขับยาน วกกลับลงมาอยู่บนโลกมนุษย์ไม่รู้ตัวหรือยังไง...”   ผมร้องออกมาแบบไม่อยากเชื่อ  มีแอ่งน้ำบนดาวดำมรณะ ที่นักวิทยาศาสตร์บอกว่าเป็นดาวมหันตภัย
 
             น้ำใสสะอาด ลองใช้มือตักขึ้นมาทดลองชิม จืดสนิทแบบน้ำฝน ผมผิวปากหวือแบบไม่ตั้งใจ  มีอาหาร มีน้ำ มีอากาศ ปัจจัยพื้นฐานในการดำรงชีวิตพร้อม ไม่ต้องลงเวลาทำงาน ไม่ต้องทะเลาะกับใคร  นี่มันโลกส่วนตัวชัด ๆ  แต่ความอยากฆ่าตัวตายยังพอมีอยู่  จึงลองมองหาทำเลเหมาะสมสำหรับขุดหลุมฝังศพให้ตัวเอง แต่ยังไม่ตัดสินใจฟันธง เพราะการสำรวจเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น 
 
             ถัดจากป่าโปร่งเป็นเหมือนทะเลทรายกว้าง มองเห็นเนินเขาอยู่ลิบ ๆ สุดสายตา  ทำให้ผมยกเลิกการมุ่งหน้าสำรวจ แม้ว่าแรงโน้มถ่วงจะน้อยกว่าโลกอยู่บ้าง การเดินเหินไม่ค่อยออกแรงมาก แต่ก็รู้สึกอยากพักผ่อน
 
             ผมหันหลังกลับ มุ่งหน้าสู่ยานอวกาศ เริ่มสนุกกับแรงโน้มถ่วงที่น้อยกว่าโลกมนุษย์แบบรู้สึกได้  ประตูยานเปิดกว้างรับลม ผมไม่ได้วิตกว่าจะมีโจรขโมย ถ้าโจรขโมยมันอยากขโมย จะลงทุนแอบตามมาจากโลกก็ให้รู้ไป เสียงสังเคราะห์ของจอห์น โปรแกรมอัตโนมัติพูดต้อนรับตามปกติ ผมนึกฉุนตัวเองที่ลืมปิดเจ้าโปรแกรมผู้ช่วยจอมจุ้นจ้าน นี่มันคงส่งข้อมูลเกี่ยวกับดาวดวงนี้ไปยังโลกเรียบร้อยแล้ว
 
             และก็เป็นจริงดังคาด ผมตรวจดูการทำงานของระบบสื่อสาร พบว่าจอห์นส่งข้อมูลยาวเป็นหางว่าวออกไปยังโลก ทว่าล้มเหลว ข้อมูลส่งออกไปไม่พ้นบรรยากาศของดวงดาว ระดับความแรงของสัญญาณไม่สามารถทะลุชั้นบรรยากาศออกไปได้  ถ้าจะมีใครทำได้ คนนั้นต้องเป็นผม ผู้ที่จะปรับเปลี่ยนสัญญาณให้เหมาะสม จอห์นถูกล็อกความสามารถไว้หลายอย่าง เพื่อไม่ให้มีปัญหา

              พวกชาวโลกยังไม่รู้ข้อมูล ผมคิดอย่างสาแก่ใจเล็กน้อย
.....
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่