[CR] AD ASTRA: หัวใจที่โดดเดี่ยวพังทลายในห้วงอวกาศ (spoilers)

หนังชีวิตนักบินอวกาศเรื่องใหม่ ที่จะมาตอกย้ำความโดดเดี่ยว และให้ข้อคิดเรื่องการดูแลสิ่งที่เรามีอยู่ให้ดีที่สุดก่อนจะทุ่มทั้งชีวิตตามหาสิ่งที่เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันมีอยู่หรือไม่

Ad Astra เป็นหนังไซไฟดิสโทเปียเอาชีวิตรอดในอวกาศที่เซทฉากในอนาคตที่ไม่ไกลนัก งานภาพสวยงาม เปิดตัวได้สวยงามแปลกใหม่ แทรกแอคชั่นให้ตื่นเต้น 2–3 ซีน ได้กลิ่นไอของ Space Odyssy เป็นระยะๆ ทั้งจากเสียงและสีของหนัง ความหมายของตัวหนังที่ค่อนข้างดีแม้บทสนทนาจะไม่คม แต่โดยรวมแล้ว Ad Astra เป็นหนังที่คุ้มค่าแก่การไปดูเรื่องหนึ่ง



รายละเอียดของหนัง

ผู้กำกับ : James Gray

สรุปอารมณ์ของหนัง : หนังบอกเล่าชีวิตด้านมืดของนักบินอวกาศ สิ่งที่เขาต้องทำในชีวิตประจำวัน ความกดดันทางจิตวิทยาที่ต้องเผชิญ ผลกระทบของความอ้างว้างในอวกาศที่มีต่อพวกเขาและความสัมพันธ์กับคนรอบตัวบนโลก ความบ้าคลั่งต่องานและความฝัน และมีแอคชั่นปะปนเล็กน้อยอิงกับความชอบสงครามของมนุษย์ทุนนิยม ที่แม้จะออกไปนอกโลกเราก็ยังแย่งชิงทรัพยากรกันอยู่

เรื่องย่อ : หลังเกิดเหตุการคลื่นรบกวนจากนอกโลกทำให้สถานีอวกาศมากมายเสียหาย Roy McBride นักบินอวกาศที่ขึ้นชื่อว่าหัวใจไม่เคยเต้นเกินกว่า 80 ครั้งต่อนาที ก็ได้รับภารกิจลับเดินทางไปดาวอังคารเพื่อส่งข้อความพิเศษหาพ่อของเขา หัวหน้าทีมปฏิบัติการลิบร้า Clifford McBride ที่ขาดการติดต่อไปกว่า 20 ปีหลังจากรายงานล่าสุดค้นหาสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาอยู่ที่ดาวเนปจูน




ความโดดเดี่ยวของอาชีพนักบินอวกาศ และปมทางจิตวิทยาของนักแสดง

หนังเล่าผ่านตัวเอก รอย แสดงโดย แบรด พิตต์ ที่รอยเป็นคนควบคุมอารมณ์ภายใต้ความกดดันได้ดีมาก การแสดงของแบรดพิตต์ ทำออกมาได้ดีในหลายๆ องศาของการกระตุกกล้ามเนื้อบนใบหน้า การคุมอารมณ์นั้นเป็นคุณสมบัติสำคัญของงานในอวกาศ แม้ว่าจะมีความเสี่ยงถึงชีวิต โดนแรงระเบิดส่งให้ร่วงจากชั้นบรรยากาศลงมาพื้นโลก หัวใจของรอยก็ไม่เคยแสดงอาการตื่นเต้นเลย

แต่ในทางกลับกัน มันทำให้รอยไม่รู้สึกยินดียินร้ายใดๆ กับชีวิต ไม่กลัวตาย และด้านชากับทุกสิ่งอย่าง ความเย็นชานี้ถูกอธิบายโดยภรรยาของเขา อีฟ (แสดงโดย Liv Tyler)
“ ฉันรู้สึกว่าคุณอยู่ไกลจากฉันเหลือเกิน
แม้ว่าตัวคุณจะอยู่กับฉันตรงนี้
ฉันก็ไม่เคยรู้สึกว่ามีคุณอยู่
เหมือนเราไม่ได้คบกันอยู่จริงๆ”

บุคลิกของรอยถูกหนังอธิบายโดยทฤษฏีทางจิตวิทยาของ ซิกมัน ฟรอยด์, คลิฟฟอร์ด พ่อของรอย เป็นนักบินอวกาศผู้ยิ่งใหญ่แห่งยุค เขาอุทิศทั้งชีวิตเพื่อการศึกษาอวกาศ ทิ้งครอบครัวออกเดินทางไปสุดขอบจักรวาลแล้วหายไปอย่างไร้ร่องรอย รอยต้องเติบโตมากับความหวังลมๆ แล้งๆ ความโดดเดี่ยว ความเจ็บปวด เขาจึงไม่ต้องการมีลูกหรือสร้างความสัมพันธ์กับใครมากจนเกินไป เพราะเขาไม่ต้องการเป็นต้นเหตุให้ใครเจ็บปวดเหมือนที่พ่อทำกับเขา

ความโดดเดี่ยวของหนังเรื่องนี้ ถูกขยี้ให้หนักขึ้นด้วยลักษณะงานนักบินอวกาศ ในยุคใหม่นี้เราอาจมีภาพฝันของการเดินทางในอวกาศที่ปลอดภัยขึ้น ภาพลักษณ์ของอาชีพนักบินตอนนี้อาจเป็นอาชีพในฝันที่ดูน่าตื่นเต้น อยู่ในยาน มองผ่านกระจก ถ้าไม่ต้องออกไปข้างนอกก็คงปลอดภัยดี แต่ Ad Astra ไม่ได้นำเสนอออกมาแบบนั้น ผู้กำกับ James Gray เล่าถึงอาชีพนี้ในแนวดิสโทเปีย มีหลายฉากที่ลูกเรือเสียชีวิตภายในยานจากสาเหตุต่างๆ ลูกเรือที่เหลือต้องเอาศพโยนทิ้งออกนอกอวกาศไปแล้วกลับมาทำงานต่อ ไม่มีช่องว่างให้พักเศร้า

ไม่ใช่แค่ความตายเท่านั้น สิ่งที่อันตรายที่สุดในห้วงอวกาศคือจิตใจของเราเอง การอยู่ในอวกาศเป็นเวลานาน ไม่มีต้นไม้ แสงแดด สายลม สร้างความกดดันมากกว่าที่คิด นักบินต้องใช้ไฟฟ้ากระตุ้นกล้ามเนื้อ เจาะท้องให้อาหาร ต้องรายงานสภาพจิตทุกวัน ถ้าสภาพจิตใจไม่ผ่านก็จะถูกแนะนำให้งดบินแล้วไปพักผ่อนที่ “ห้องผ่อนคลาย”

คลิฟฟอร์ด หัวหน้าทีมลิบร้า เมื่อเขาและทีมเข้าใกล้เนปจูน ลูกเรือของเขาก็เริ่มเรียกร้องขอกลับบ้านหลังระยะเวลาหลายปีบนยานอวกาศ แต่คลิฟฟอร์ดไม่ยอม เขาไม่ยอมกลับจนกว่าจะพบเอเลี่ยน ลูกเรือเริ่มคลุ้มคลั่งก่อการประท้วงทำลายยาน คลิฟฟอร์ดจึงฆ่าพวกเขาจนเหลือตัวคนเดียวแล้วเดินทางต่อ เขาเริ่มมีสภาพจิตไม่ปกติ แม้ยานจะเสียหายจนปฏิสสารทำปฏิกิริยาส่งรังสีทำลายล้างแผ่ขยายไปเป็นวงกว้าง เขาก็ไม่ยอมกลับโลก ไม่ยอมติดต่อกับใครเพราะกลัวว่าฐานจะสั่งให้เขาล้มเลิกภารกิจแล้วหันหลังกลับ แม้จะต้องตายก็ตาม

ระยะเวลาเกือบสี่เดือนที่รอยเดินทางจากดาวอังคารไปดาวเนปจูน เขาอยู่คนเดียวในรัศมีไม่รู้ว่ากี่ล้านปีแสง หนังแสดงให้เห็นความสับสนของจิตใจเขาจนผู้เขียนเกิดความรู้สึกไม่แน่ใจขึ้นมาในแวบแรกว่า พ่อที่เขาเห็นในยานลิบร้าเป็นคนจริงหรือภาพหลอนกันแน่ แม้สุดท้ายจะเป็นเรื่องจริง แต่หลังจากการสูญเสียพ่อไปในวินาทีสุดท้ายก็ทำให้รอยหมดกำลังใจ เขาถามตัวเองซ้ำๆ ว่าเขาพยายามทั้งหมดนี่ไปเพื่ออะไร จนสุดท้ายเขาตอบตัวเองได้ว่าเขาอยากกลับบ้านมาหาคนที่รักเขา วินาทีที่เขากลับมาโลกนั้น ผลกระทบจากสภาวะไร้น้ำหนักนานนับปีทำให้เขาเดินด้วยตัวเองไม่ไหวด้วยซ้ำ




สิ่งที่เรามีอยู่แล้ว กับสิ่งใหม่ที่เรากำลังเสาะแสวงหา สิ่งไหนกันแน่ที่มีคุณค่ากับชีวิต

รอยได้พบกับพ่อของเขาในที่สุด บทสนทนาในยานลิบร้าเป็นบทสนทนาที่ปวดร้าวใจ คลิฟฟอร์ดบอกลูกชายของเขาว่า ตอนที่ตัดสินใจรับภารกิจนี้ เขาไม่คิดจะกลับไปอยู่แล้ว ทุกๆ วินาทีบนยานอวกาศเขาไม่เคยนึกถึงภรรยาและลูกเลยแม้แต่ครั้งเดียว

“พ่ออาจยังไม่เจอมนุษย์ต่างดาวก็จริง
แต่ระหว่างทางที่ผ่านมา พ่อได้บันทึกข้อมูลมากมายที่ไม่มีใครเคยได้รู้
ดาวดวงใหม่หลายดวงที่ไม่เคยมีใครได้เห็น
แทนที่พ่อจะโฟกัสกับฝันที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะเป็นจริงได้หรือเปล่า
ผมอยากให้พ่อหันมามองสิ่งที่พ่อมีอยู่ตรงหน้าบ้าง”
คนอย่างคลิฟฟอร์ดเป็นคนน่านับถือในวงการวิทยาศาสตร์ การทุ่มเทเพื่อความรู้ใหม่ของมนุษยชาติโดยไม่ยอมให้เรื่องส่วนตัวมารบกวน แต่สิ่งนั้นลบความผิดที่ว่าเขาทอดทิ้งภรรยากับลูกได้หรือไม่? รอยมีความคิดแบบหนึ่ง คลิฟฟอร์ดมีอีกแบบ ใครเป็นฝ่ายผิดกันแน่ ชีวิตของคนเรามีการตีความหมายหลากหลายซับซ้อนอย่างนั้นเอง แม้ว่าหนังจะค่อนข้างปูให้คลิฟฟอร์ดเป็นฝ่ายผิด และบอกอ้อมๆ ว่ามนุษย์ควรให้ความสำคัญกับสิ่งที่มีไปพร้อมๆ กับตามหาสิ่งใหม่ก็ตาม
สุดท้ายแล้วจุดกึ่งกลางของอาชีพนักบินอวกาศอยู่ที่ไหน คำที่นักอวกาศใช้กล่าวต่อเครื่องตรวจสอบสภาพจิตใจที่ว่าจะปฏิบัติภารกิจอย่างแน่วแน่นั้นสำคัญแค่ไหน คุ้มแค่ไหนกับการทำตามความฝัน ไล่ตามหาสิ่งที่เราไม่เคยรู้ ไม่มีข้อมูลมาก่อน และอาจไม่มีจริงในห้วงอวกาศอันเวิ้งว้างนั้น

คำตอบหนังได้ให้มาอยู่แล้ว ในฉากสุดท้ายที่รอยกล่าวประโยคปฏิญาณว่าเขาจะทำงานนี้ด้วยความรัก





ทุนนิยมและการขยายอาณานิคมสู่อวกาศ

แนวคิดเรื่อง “ดูแลสิ่งที่มีอยู่ให้ดีเสียก่อน” ถูกนำมาล้อกับประเด็นทุนนิยมเช่นกัน ฉากหลังของหนังถูกเซทขึ้นในอนาคตที่ไม่ไกลจนเกินไป มนุษย์โลกเริ่มมีการไปท่องเที่ยวพักร้อนที่ดวงจันทร์ และการแย่งชิงทรัพยากรในต่างดาว

ภายเหล่านั้นถูกวางพื้นมาจากเหตุการณ์ในปัจจุบัน ที่การแข่งขันพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศสูง ทัวร์ต่างดวงวันสุดสัปดาห์ไม่ใช่เรื่องจินตนาการอีกต่อไป เริ่มมีการริเริ่มพูดคุยเกี่ยวกับการทำเหมืองบนดาวดวงอื่น เป็นต้น ทั้งหมดนี้ถูกนำไปแสดงให้เห็นใน Ad Astra  เริ่มตั้งแต่ความแตกต่างทางชนชั้น คุณต้องรวยเท่านั้นถึงจะไปเที่ยวต่างดาวได้ บนยานอวกาศให้เช่าผ้าห่มและหมอนในราคาร้อยกว่าดอลล่าร์ รอย พระเอกของเราจ่ายร้อยดอล่าร์โดยไม่กระตุกแม้แต่นิดเดียว

สถานีอวกาศดวงจันทร์ ซึ่งสภาพเหมือนสนามบินนานาชาติ เต็มไปด้วยสินค้าแบรนด์แบบเดิมๆ โครงสร้างเดิมๆ ให้ฟีลลิ่งเหมือนทัวร์จีนที่ไม่ว่าจะไปประเทศไหนก็จะแวะไชน่าทาวน์ยังไงยังงั้น ชวนให้สงสัยว่า นักท่องเที่ยวบนดวงจันทร์ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ต้องการไปเห็นดวงจันทร์จริงๆ หรือแค่อยากได้นั่งยานอวกาศไปเช็คอินกูเกิ้ลแมปบนดวงจันทร์กันแน่

เมื่อดวงจันทร์มีมนุษย์ สิ่งที่ตามมาคือสงคราม การออกนอกสถานีอวกาศดวงจันทร์เป็นเรื่องอันตราย เพราะมีกลุ่มก่อการร้ายหลายกลุ่มเริ่มทำสงครามยึดครองดินแดนเพื่อขุดค้นทรัพยากร

เราได้ยินเสียงในใจของรอยตลอดเวลาตั้งแต่ต้นเรื่องจนจบเรื่อง หลายๆ คำพูดที่บอกว่าเขาเหนื่อยหน่ายกับมนุษย์โลกมากแค่ไหนในตอนต้นเรื่อง เปรียบเทียบกับตอนท้ายเรื่องที่ยอมรับในที่สุดว่าเขารักและอยากกลับโลกมากแค่ไหนนั้น เป็นไปได้หรือเปล่าที่ผู้กำกับไม่ได้อยากสื่อแค่ในเรื่องของความสัมพันธ์ แต่ยังกระซิบไปบอกกลุ่มคนหลายคนที่คิดว่าโลกกำลังล่มสลายไม่มีทางฟื้นฟู ดังนั้นการออกไปสำรวจทรัพยากรจากดาวอื่นจึงเป็นทางออกที่ดีที่สุดว่า ไม่ว่าความฝันข้างนอกบ้านจะยิ่งใหญ่แค่ไหน แต่จงอย่าหลงลืมดูแลบ้านของตัวเอง

หลายๆ ฉากของโลกในมุมมองแสนไกลจากอวกาศ ถูกทำให้อบอุ่นสวยงาม เปรียบเทียบชัดเจนกับอวกาศที่มืดมิด ทำให้ผู้ชมย้อนกลับมามองโลกในระยะใกล้ที่เราเห็นกันทุกวันตอนนี้ ว่ามันกำลังล่มสลายลงอย่างรวดเร็วอย่างไร ชวนให้เราเศร้า

เราจะสร้างอาณานิคมที่ดีกว่าได้ยังไง ถ้าโลกของเรายังดูแลไม่ดีเลย
ชื่อสินค้า:   Ad Astra
คะแนน:     

CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้

  • - จ่ายเงินซื้อเอง หรือได้รับจากคนรู้จักที่ไม่ใช่เจ้าของสินค้า เช่น เพื่อนซื้อให้
  • - ไม่ได้รับค่าจ้างและผลประโยชน์ใดๆ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่