สงครามกลางเมืองของอเมริกา (American Civil War) เกิดขึ้นในช่วง ค.ศ.1861-1865 จากข้อโต้แย้งยืดเยื้อเกี่ยวกับการถือครองทาส ระหว่างฝ่ายสหภาพ (ฝ่ายเหนือ) ซึ่งต้องการให้เลิกทาส แต่ฝ่ายสมาพันธรัฐ (ฝ่ายใต้) ที่ต้องการให้มีทาสไว้ เหตุการณ์นี้ถือเป็นอีกหนึ่งหน้าประวัติศาสตร์สำคัญยิ่งของสหรัฐฯ เนื่องจากในช่วงเวลาดังกล่าว มีเหตุการณ์เกิดขึ้นมากมาย วีรบุรุษหลายคนได้ฝากชื่อไว้ในประวัติศาสตร์ และ John Clem ที่อายุน้อยที่สุดคนนี้
สงครามเริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 12 เมษายน ค.ศ.1861 เมื่อกองทัพสมาพันธรัฐ (ฝ่ายใต้) โจมตีที่ตั้งทหารฝ่ายเหนือ ที่ฟอร์ตซัมเทอร์ เซาท์, แคโรไลนา ประธานาธิบดีลินคอล์นได้เรียกระดมพลอาสาสมัครจากแต่ละรัฐ หนึ่งในผู้ที่เสนอตัวรับใช้ชาติคือ John Clem เด็กชายวัย 9 ขวบ จากรัฐโอไฮโอ ซึ่งหนีออกจากบ้านหลังจากที่แม่ของเขาเสียชีวิตจากอุบัติเหตุรถไฟ แต่เขาถูกปฏิเสธจากหน่วยโอไฮโอที่ 3 ซึ่งเป็นหน่วยที่เพิ่งถูกตั้งขึ้น
เด็กชายไม่ละความพยายาม เขาสมัครอีกหลายครั้งในหลายหน่วย จนเจ้าหน้าที่ยินยอมให้เขาเข้ากองทัพในฐานะตัวนำโชค และรับหน้าที่เป็นพลทหารตีกลองอย่างไม่เป็นทางการ (หน้าที่พลทหารตีกลองส่วนมากเป็นเด็กวัยรุ่น) โดยให้สังกัดในหน่วยมิชิแกนที่ 22 ซึ่งเขาได้รับค่าตอบแทน เดือนละ 13 ดอลลาร์ (ราว 400 บาท) ก่อนที่จะได้รับการบรรจุอยู่ในกองทัพอย่างเป็นทางการในปี ค.ศ.1863 เมื่อเขาอายุได้ 10 ขวบ
สงครามดำเนินต่อเนื่องมายาวนานจน Clem อายุ 12 ปี ในช่วงเวลานั้นเขาโด่งดังอย่างมากจากวีรกรรมที่สมรภูมิชิกาโมกา (Battle of Chickamauga) โดย Clem ได้เข้าร่วมภารกิจป้องกันเมือง Horseshoe Ridge ซึ่งเหตุการณ์สร้างชื่อของเขาเริ่มขึ้นในตอนบ่ายวันที่ 20 กันยายน1865 ขณะนั้นหน่วยของเขาถูกล้อมด้วยทหารของศัตรู พันเอกของกองทัพฝ่ายใต้คนหนึ่งซึ่งอยู่บนหลังม้าเมื่อเห็น Clem ก็ขี่ม้าเข้าไปใกล้และตะโกนบอก Clem ว่า
“ไอ้เจ้าปีศาจตัวน้อย ฉันว่าแกทิ้งปืนไปเถอะไอ้หนู” แต่ Clem ไม่มีความเกรงกลัวและใช้ปืนประจำตัวเล็งไปยังพันเอกคนนั้นและยิงนายทหารฝ่ายใต้ยศใหญ่เสียชีวิตทันที ผลงานในครั้งนั้นทำให้ Clem ได้รับการเลื่อนขั้นเป็นจ่าทหารที่อายุน้อยที่สุดในกองทัพสหรัฐฯ และเป็นที่รู้จักในฉายาชื่อ “เจ้าหนูมือกลองแห่งชิกาโมกา” (Drummer Boy of Chickamauga) มานับแต่นั้น
ตำนานของจ่า Clem ยังมีอีกหลายเรื่อง แม้บางเรื่องจะไม่มีหลักฐานชัดเจน เช่น ครั้งหนึ่งกลองของเขาถูกทำลายที่สมรภูมิชิโลห์ (Battle of Shiloh)
เขาเกือบสิ้นชีวิตที่นั่นแต่รอดมาได้ โดยกลองของเขาถูกทำลายโดยชิ้นส่วนจากกระสุนปืนใหญ่ที่แตกในระยะห่างไม่กี่ฟุต ชิ้นส่วนของกระสุนชนผ่านกลองของเขาและแรงกระแทกจากระเบิดทำให้เขาหมดสติลงกับพื้นซึ่งเขาถูกพบและช่วยเหลือจากสหายร่วมรบ ทำให้เขาได้รับฉายา “Johnny Shiloh” (เป็นการตั้งฉายาว่าเก่งเกินตัว) ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจให้กับเพลง "The Drummer Boy of Shiloh" ที่แต่งโดย William S.Hays และขับร้องโดย Bobby Horton
(Cr.Library of Congress)
ขณะที่อายุ 12 ปี Clem ได้เข้าร่วมสมรภูมิรบต่าง ๆ มากมายทั้ง Perryville, Murfreesboro, Kennesaw และ Atlanta ซึ่งเขาได้รับบาดเจ็บจากการสู้รบถึงสองครั้งแต่โชคดีที่ไม่ถึงแก่ชีวิต ด้วยเหตุนี้เมื่อสงครามจบลง Clem จึงถูกปลดประจำการจากกองทัพ ซึ่งตอนนั้นเขาอายุครบ 13 ปี
หลังจากนั้นอีก 6 ปีเมื่อจบจากไฮสกูล Clem พยายามสอบเข้า “West Point” โรงเรียนเตรียมทหารในประเทศสหรัฐอเมริกาหลายครั้ง แต่ก็ไม่ผ่านการสอบคัดเลือก ก่อนที่ประธานาธิบดีคนที่ 18 ของสหรัฐอเมริกา ยูลิสซีส เอส. แกรนต์ (Ulysses Simpson Grant) จะแต่งตั้งเขาเป็นทหารในตำแหน่งร้อยตรีประจำกองทัพสหรัฐฯ ในปี 1871 เพราะได้ทราบถึงวีรกรรมของเขาในอดีต
แม้ว่า Clem จะไม่สามารถสอบเข้าได้ในครั้งแรก แต่ในปี 1906 เขาก็ประสบความสำเร็จในอาชีพทหารครั้งที่สอง Clemในวัย 54 ปี ได้ขึ้นสู่ยศพันเอกและเป็นผู้ช่วยสัสดีเรือนจำ เขาเกษียณก่อนสงครามโลกครั้งที่หนึ่งด้วยยศพลเอก เป็นทหารผ่านศึกสงครามกลางเมืองคนสุดท้ายที่ได้รับใช้กองทัพสหรัฐ
John Clem เสียชีวิตในปี 1937 ด้วยอายุ 85 ปี และฝังศพในสุสานแห่งชาติอาลิงตัน ชีวประวัติของเขาถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ฉายทางโทรทัศน์ ในประเทศอังกฤษเรื่อง “Johnny Shiloh” เมื่อปี 1963 และเป็นภาพยนตร์ฮอลลีวู้ดเรื่อง “Johnny” ในปี 2007
ในสงครามกลางเมืองของอเมริกามีทหารเสียชีวิตประมาณ 620,000 นาย ส่วนพลเรือนไม่ทราบจำนวนที่ชัดเจน และแม้ว่าประธานาธิบดีลินคอล์น ( Abraham Lincoln, ปธน. คนที่ 16) จะสามารถยกเลิกกฏหมายค้าทาสได้สำเร็จ แต่ในปีเดียวกันนั้น 14 เมษายน 1865 เขาก็ถูกลอบสังหารด้วย
ปืนสั้นเดอริงเจอร์ ณ โรงละครฟอร์ด เธียเตอร์ ในวอซิงตัน ดี.ซี จากชายชื่อว่า John Wilkes Booth จากฝ่ายใต้ที่สนับสนุนการค้าทาส
Drummer Boy ในสงครามไม่ได้มีไว้เพื่อแสดงเท่านั้น พวกเขามีบทบาทสำคัญสำหรับทั้งสองกองทัพ ซึ่งการควบคุมทหารในสงครามกลางเมืองเหนือดินแดนแห่งสนามรบนั้นจะใช้เสียงกลองในการส่งคำสั่ง ยกตัวอย่างเช่น เสียงกลองยาวเป็นสัญญาณว่าตกอยู่ในวงล้อม, ใช้เรียกกองทหารไปรับประทานอาหารในค่าย, รวมตัวกัน และให้จังหวะที่มีชีวิตชีวาเพื่อกระตุ้นขวัญกำลังใจแก่ทหาร
มีวีรกรรมหนึ่งสำหรับ Drummer Boy นั่นคือ Willie Johnston แห่งเวอร์มอนต์ที่ 3 ที่ได้รับรางวัล Medal of Honor เมื่ออายุ 13 ปี โดยเขาเป็นมือกลองเพียงคนเดียวที่ยังคงตีกลองของเขาในระหว่างการล่าถอยของสหภาพ จากการรบที่ Malvern Hill ในปี 1862
“ เขาคลานไปข้างหลังปืนใหญ่และหน้าซีดและซีดขึ้นเรื่อย ๆ ” เป็นคำบรรยายสำหรับภาพวาดนี้ที่นำเสนอในหนังสือ Ballads of Famous Fights ในปี 1920 โดยเด็กชายมือกลองคนนี้ได้คลานไปข้างหลังปืนใหญ่เพื่อพยุงขาที่บาดเจ็บ แต่ยังคงเล่นต่อไปอย่างกล้าหาญ (คอลเลกชันส่วนตัวของ Stapleton / Cr.รูปภาพ Bridgeman)
(Cr.Getty Images)
มือกลองมักถูกวาดโดยศิลปินในสนามรบสงครามกลางเมืองที่ติดตามกองทัพ และวาดภาพซึ่งใช้เป็นพื้นฐานสำหรับงานศิลปะในหนังสือทั่วไปเพื่อเป็นภาพประกอบ ภาพนี้โดย Winslow Homer ศิลปินชาวอเมริกันผู้ยิ่งใหญ่ผู้ซึ่งเคยเข้าร่วมสงครามในฐานะศิลปินร่างภาพวางมือกลองไว้ในงานภาพวาดคลาสสิกของเขา "Drum and Bugle Corps" (Cr.
https://www.thoughtco.com/civil-war-drummer-boys-1773732)
Johnny Shiloh (1963 / television film)
Johnny Shiloh เป็นภาพยนตร์ที่สร้างขึ้นสำหรับภาพยนตร์โทรทัศน์ในปี1963 ซึ่งเดิมออกอากาศสองตอนใน Wonderful World of Disney in Color ได้รับการเผยแพร่ในประเทศอื่น ๆ เป็นเรื่องจริงของ Johnny Clem เด็กชายมือกลองอายุสิบขวบที่กลายเป็นทหารในสงครามกลางเมือง
ผู้อำนวยการ James Neilson นำแสดงโดย
Kevin Corcoran เป็น Johnny Lincoln Clem
Darryl Hickman เป็น ผู้หมวด Jeremiah Sullivan
Brian Keith เป็น จ่า Gabe Trotter
ยังมีเรื่องประหลาดอีกเรื่องหนึ่งคือ เมื่อครั้งสงครามกลางเมืองที่เกิดขึ้นระหว่างปี 1861-1865 ของสหรัฐ ที่คนอเมริกันมีความเห็นไม่ตรงกันนำไปสู่การสู้รบกันเองในสมัยประธานาธิบดี อับราฮัม ลินคอล์น มีทหารอาสาคนหนึ่งที่รอดชีวิตจากการถูกกระสุนปืนยิงเข้ากลางหน้าผาก
โดยหลังจากที่ประธานาธิบดีอับราฮัม ลินคอล์นขึ้นรับตำแหน่งได้ไม่นาน อเมริกาแบ่งแยกเป็นสองฝ่ายคือ รัฐทางฝ่ายเหนือ หรือ “รัฐบาลสหรัฐ” ที่ดูแลโดยประธานาธิบดีสหรัฐฯ และรัฐทางฝ่ายใต้เป็นรัฐที่แต่งตั้งด้วยการร่วมตัวกันเป็น “สมาพันธรัฐอเมริกา” จำนวน 7 รัฐ
เนื่องจากความขัดแย้งทางการเมืองโดยเฉพาะนโยบาย “ยกเลิกทาส” ที่รัฐทางใต้มองว่าพวกเขาจะได้รับผลกระทบเพราะทาสเป็นแรงงานที่จำเป็นอย่างมากในเมืองเกษตรกรรม จึงประกาศแยกตัวเป็นอิสระจากรัฐบาลสหรัฐฯจะขอปกครองกันเอง
เป็นชนวนนำไปสู่สงครามที่ยืดเยื้อกว่าสี่ปี มีทหารและประชาชนสหรัฐอเมริกาของทั้งสองฝ่ายล้มตายกันเป็นจำนวนมากข้อมูลระบุว่าอาจสูงถึง 620,000 คนและบาดเจ็บอีกนับไม่ถ้วน และหนึ่งในผู้รอดชีวิตของทหารอาสาของฝ่ายรัฐบาลสหรัฐฯ คือ Jacob Miller ที่ถูกยิงปืนเข้ากลางหน้าผากแต่ไม่ตาย
จากการปะทะกับทหารของสมาพันธรัฐอเมริกา ที่สมรภูมิชิคามัวกา (Chikamauga) ในรัฐเวอร์จิเนีย Jacob ถูกกระสุนพุ่งเข้ากลางหน้าผาก ก่อนที่หน่วยของเขาจะถอยทัพกลับไปเนื่องจากคิดว่าเขาเสียชีวิตแล้ว เขาเล่าว่าเขาสลบไปแต่เมื่อตื่นมาก็รู้สึกชาไปพร้อมเลือดอาบไปทั้งตัว และรู้ว่าตัวเองกำลังอยู่ในพื้นที่ของฝ่ายศัตรูจึงพยุงตัวเองแล้วหาหนทางจนเดินกลับไปยังฝั่งตัวเองได้สำเร็จ
เมื่อรัฐทางเหนือสามารถปราบฝ่ายใต้จนสำเร็จและประธานาธิบดีสหรัฐฯ อับราฮัม ลินคอล์นก็สามารถผลักดันกฎหมายเลิกทาสได้สำเร็จ ภายหลังจากเสร็จสิ้นสงคราม Jacob ได้รับเหรียญรางวัลในวีรกรรมที่กล้าหาญของทหารอาสา และยังคงใช้ชีวิตตามปกติโดยไม่ได้รับการผ่าตัดกระสุนออกเนื่องจากหมอคิดว่ามันเสี่ยงเกินไป
Jacob ต้องใช้ชีวิตโดยมีกระสุนอยู่ในหัวไปอีก 54 ปี และเสียชีวิตลงด้วยอายุ 77 ปี
(ขอขอบคุณที่มาของข้อมูลทั้งหมดและขออนุญาตนำมา)
Drummer Boy แห่งชิกาโมกาในสงครามกลางเมืองของอเมริกา
สงครามเริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 12 เมษายน ค.ศ.1861 เมื่อกองทัพสมาพันธรัฐ (ฝ่ายใต้) โจมตีที่ตั้งทหารฝ่ายเหนือ ที่ฟอร์ตซัมเทอร์ เซาท์, แคโรไลนา ประธานาธิบดีลินคอล์นได้เรียกระดมพลอาสาสมัครจากแต่ละรัฐ หนึ่งในผู้ที่เสนอตัวรับใช้ชาติคือ John Clem เด็กชายวัย 9 ขวบ จากรัฐโอไฮโอ ซึ่งหนีออกจากบ้านหลังจากที่แม่ของเขาเสียชีวิตจากอุบัติเหตุรถไฟ แต่เขาถูกปฏิเสธจากหน่วยโอไฮโอที่ 3 ซึ่งเป็นหน่วยที่เพิ่งถูกตั้งขึ้น
เด็กชายไม่ละความพยายาม เขาสมัครอีกหลายครั้งในหลายหน่วย จนเจ้าหน้าที่ยินยอมให้เขาเข้ากองทัพในฐานะตัวนำโชค และรับหน้าที่เป็นพลทหารตีกลองอย่างไม่เป็นทางการ (หน้าที่พลทหารตีกลองส่วนมากเป็นเด็กวัยรุ่น) โดยให้สังกัดในหน่วยมิชิแกนที่ 22 ซึ่งเขาได้รับค่าตอบแทน เดือนละ 13 ดอลลาร์ (ราว 400 บาท) ก่อนที่จะได้รับการบรรจุอยู่ในกองทัพอย่างเป็นทางการในปี ค.ศ.1863 เมื่อเขาอายุได้ 10 ขวบ
สงครามดำเนินต่อเนื่องมายาวนานจน Clem อายุ 12 ปี ในช่วงเวลานั้นเขาโด่งดังอย่างมากจากวีรกรรมที่สมรภูมิชิกาโมกา (Battle of Chickamauga) โดย Clem ได้เข้าร่วมภารกิจป้องกันเมือง Horseshoe Ridge ซึ่งเหตุการณ์สร้างชื่อของเขาเริ่มขึ้นในตอนบ่ายวันที่ 20 กันยายน1865 ขณะนั้นหน่วยของเขาถูกล้อมด้วยทหารของศัตรู พันเอกของกองทัพฝ่ายใต้คนหนึ่งซึ่งอยู่บนหลังม้าเมื่อเห็น Clem ก็ขี่ม้าเข้าไปใกล้และตะโกนบอก Clem ว่า
“ไอ้เจ้าปีศาจตัวน้อย ฉันว่าแกทิ้งปืนไปเถอะไอ้หนู” แต่ Clem ไม่มีความเกรงกลัวและใช้ปืนประจำตัวเล็งไปยังพันเอกคนนั้นและยิงนายทหารฝ่ายใต้ยศใหญ่เสียชีวิตทันที ผลงานในครั้งนั้นทำให้ Clem ได้รับการเลื่อนขั้นเป็นจ่าทหารที่อายุน้อยที่สุดในกองทัพสหรัฐฯ และเป็นที่รู้จักในฉายาชื่อ “เจ้าหนูมือกลองแห่งชิกาโมกา” (Drummer Boy of Chickamauga) มานับแต่นั้น
เขาเกือบสิ้นชีวิตที่นั่นแต่รอดมาได้ โดยกลองของเขาถูกทำลายโดยชิ้นส่วนจากกระสุนปืนใหญ่ที่แตกในระยะห่างไม่กี่ฟุต ชิ้นส่วนของกระสุนชนผ่านกลองของเขาและแรงกระแทกจากระเบิดทำให้เขาหมดสติลงกับพื้นซึ่งเขาถูกพบและช่วยเหลือจากสหายร่วมรบ ทำให้เขาได้รับฉายา “Johnny Shiloh” (เป็นการตั้งฉายาว่าเก่งเกินตัว) ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจให้กับเพลง "The Drummer Boy of Shiloh" ที่แต่งโดย William S.Hays และขับร้องโดย Bobby Horton
หลังจากนั้นอีก 6 ปีเมื่อจบจากไฮสกูล Clem พยายามสอบเข้า “West Point” โรงเรียนเตรียมทหารในประเทศสหรัฐอเมริกาหลายครั้ง แต่ก็ไม่ผ่านการสอบคัดเลือก ก่อนที่ประธานาธิบดีคนที่ 18 ของสหรัฐอเมริกา ยูลิสซีส เอส. แกรนต์ (Ulysses Simpson Grant) จะแต่งตั้งเขาเป็นทหารในตำแหน่งร้อยตรีประจำกองทัพสหรัฐฯ ในปี 1871 เพราะได้ทราบถึงวีรกรรมของเขาในอดีต
แม้ว่า Clem จะไม่สามารถสอบเข้าได้ในครั้งแรก แต่ในปี 1906 เขาก็ประสบความสำเร็จในอาชีพทหารครั้งที่สอง Clemในวัย 54 ปี ได้ขึ้นสู่ยศพันเอกและเป็นผู้ช่วยสัสดีเรือนจำ เขาเกษียณก่อนสงครามโลกครั้งที่หนึ่งด้วยยศพลเอก เป็นทหารผ่านศึกสงครามกลางเมืองคนสุดท้ายที่ได้รับใช้กองทัพสหรัฐ
John Clem เสียชีวิตในปี 1937 ด้วยอายุ 85 ปี และฝังศพในสุสานแห่งชาติอาลิงตัน ชีวประวัติของเขาถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ฉายทางโทรทัศน์ ในประเทศอังกฤษเรื่อง “Johnny Shiloh” เมื่อปี 1963 และเป็นภาพยนตร์ฮอลลีวู้ดเรื่อง “Johnny” ในปี 2007
ในสงครามกลางเมืองของอเมริกามีทหารเสียชีวิตประมาณ 620,000 นาย ส่วนพลเรือนไม่ทราบจำนวนที่ชัดเจน และแม้ว่าประธานาธิบดีลินคอล์น ( Abraham Lincoln, ปธน. คนที่ 16) จะสามารถยกเลิกกฏหมายค้าทาสได้สำเร็จ แต่ในปีเดียวกันนั้น 14 เมษายน 1865 เขาก็ถูกลอบสังหารด้วย
ปืนสั้นเดอริงเจอร์ ณ โรงละครฟอร์ด เธียเตอร์ ในวอซิงตัน ดี.ซี จากชายชื่อว่า John Wilkes Booth จากฝ่ายใต้ที่สนับสนุนการค้าทาส
มีวีรกรรมหนึ่งสำหรับ Drummer Boy นั่นคือ Willie Johnston แห่งเวอร์มอนต์ที่ 3 ที่ได้รับรางวัล Medal of Honor เมื่ออายุ 13 ปี โดยเขาเป็นมือกลองเพียงคนเดียวที่ยังคงตีกลองของเขาในระหว่างการล่าถอยของสหภาพ จากการรบที่ Malvern Hill ในปี 1862
ผู้อำนวยการ James Neilson นำแสดงโดย
Kevin Corcoran เป็น Johnny Lincoln Clem
Darryl Hickman เป็น ผู้หมวด Jeremiah Sullivan
Brian Keith เป็น จ่า Gabe Trotter
เนื่องจากความขัดแย้งทางการเมืองโดยเฉพาะนโยบาย “ยกเลิกทาส” ที่รัฐทางใต้มองว่าพวกเขาจะได้รับผลกระทบเพราะทาสเป็นแรงงานที่จำเป็นอย่างมากในเมืองเกษตรกรรม จึงประกาศแยกตัวเป็นอิสระจากรัฐบาลสหรัฐฯจะขอปกครองกันเอง
เป็นชนวนนำไปสู่สงครามที่ยืดเยื้อกว่าสี่ปี มีทหารและประชาชนสหรัฐอเมริกาของทั้งสองฝ่ายล้มตายกันเป็นจำนวนมากข้อมูลระบุว่าอาจสูงถึง 620,000 คนและบาดเจ็บอีกนับไม่ถ้วน และหนึ่งในผู้รอดชีวิตของทหารอาสาของฝ่ายรัฐบาลสหรัฐฯ คือ Jacob Miller ที่ถูกยิงปืนเข้ากลางหน้าผากแต่ไม่ตาย