สวัสดีครับ ผมขอแบ่งปันประสบการณ์ที่เพิ่งเจอมาหมาดๆ เรียกว่าแผลค่อนข้างสด
ผมกับแฟนเก่า เป็นคู่รักชายรักชายครับ
ผมก็เป็นผู้ชายทั่วไป หน้าตาดี หน้าที่การงานดี
แฟนผมเป็นนายแบบครับ รูปร่างหน้าตา ไม่ต้องพูดถึง
เริ่มต้นคบกันยังไงหรอครับ ผม Direct IG ไปหาเค้า ไม่รู้ผีตัวไหนเข้าสิง ดลจิตดลใจให้ทำอะไรแบบนั้น
คุยกันไปกันมาระยะหนึ่ง เรียกว่าเต๊าะจะเหมาะกว่าครับ ทีเล่นทีจริงไปเรื่อยเปื่อย
จนวันนึงนัดเจอกัน ที่โรงแรมหรูแห่งหนึ่งย่านวิทยุครับ ก็ไม่นึกว่าจะมา แต่ก็มาครับ (เหตุการณ์ต่อจากนี้แล้วแต่จินตนาการ)
วันรุ่งขึ้นก็เริ่มคุยกันจริงจังมากขึ้น มีการแลก Line แลก เบอร์โทร
และตกลงว่าจะคุยกันแบบค่อยเป็นค่อยไป เป็นเพื่อนห่วงใย พัฒนาความสัมพันธ์
ถ้าวันไหนมันไม่เวิร์ค ก็กลับมาเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม
ตกลงกันเสร็จสรรพ ก็เริ่มต้นคุยกันมาตั้งแต่นั้น
จากนั้นไม่นานก็เริ่มไปไหนมาไหนด้วยกันแบบออกหน้าออกตา
ยังจำวันแรกที่เดิน CTW ด้วยกันได้อยู่เลยครับ ชาวเก้งทั้ง CTW มองมาเป็นสายตาเดียว
ไอ้เราก็ยืดอกภูมิใจสิครับ หารู้ไม่ความที่เค้ามีคนรู้จักเยอะเนี่ยแหละ คือปัญหาในความสัมพันธ์ในระยะยาว
ช่วงแรกหวานหยดย้อยเลยครับเรียกได้ว่าตัวติดกันแบบแยกกันไม่ออก
ขับรถไปหาทุกวัน แค่พาเค้าไปฟิตเนส ไปทานข้าวเล็กๆน้อยๆ วันละ 2-3 ชั่วโมง
กลับบ้านมาก็โทรคุย VDO Call บอกนอนฝันดี บอกตรงๆว่าดีต่อหัวใจดวงน้อยๆเหลือเกิน
ระหว่างที่เราคบกันต้องบอกเลยนะครับ ว่าไม่มีการออกสื่อใดๆ มีแต่ผมที่ลง Social ของผม
แต่ก็จะ Tag ในวิธีที่มันจะไม่ไปขึ้นใน Feed ของเค้า เพราะผมเป็นห่วงเรื่องงานของเค้าจะได้รับผลกระทบ
แต่มีการเข้านอกออกในบ้าน ครอบครัว เพื่อนฝูง รับรู้การมีตัวตนของเรา
ปัญหาแรกที่เข้ามาคือการที่เค้าเป็นนายแบบเนี่ยแหละครับ
การรับงานเอนเป็นเรื่องปกติมาก งานแรกวันเกิดดีลไว้ถึงเที่ยงคืน
ผมก็ไปรับไปส่ง ด้วยความเป็นห่วงแหละครับ เค้าก็บอกไม่ต้องเป็นห่วง เค้ารู้ลิมิตตัวเองดี
ก็เข้าใจแหละครับ ก่อนที่คบกันเค้าผ่านเรื่องราวเหล่านี้มานับไม่ถ้วนแล้วแหละ เขี้ยวเล็บน่าจะพอสมควร
สรุปคืนนั้น จากเที่ยงคืน เลทเป็นตีสอง ผมนั่งรอรับในรถ ลงมานี่อย่างหมาเลยครับ
แบกกลับบ้านตามระเบียบ
หลังจากนั้นก็มีมาเรื่อยๆแหละครับ ถ้าผมไม่ติดงานอะไรก็พยายามไปรับไปส่ง
เพราะเสร็จงานแต่ละครั้งก็สติไม่ค่อยจะสมประกอบ เลยไม่อยากให้ไปคนเดียว
ระหว่างทางความสัมพันธ์ของเราก็พัฒนามาเรื่อยๆตามลำดับแหละครับ
จนมาวันนึง เค้าเริ่มบอกผมว่า "เราอย่าเจอกันบ่อยได้ไหม เค้ากลัวว่าจะเบื่อผม"
อ้าวยังไงหละทีนี้ ความคิดแตกออกเป็นสามทางละ
1. เค้าคิดอย่างนั้นจริงๆ
2. เค้าเกรงใจเรา ที่เราไปรับไปส่งในทุกที่
3. เค้าเริ่มตีตัวออกห่าง
คิดหนักอยุ่หลายวันครับสุดท้ายก็ถามออกไปว่ามันหมายความว่าอย่างไร
สิ่งที่ได้รับกลับมาเป็นคำตอบคือ...
เค้าชินกับการอยู่คนเดียว เพราะไม่ได้มีแฟนมานานมาก เค้ากลัวเค้าจะอึดอัดและเบื่อเรา
รวมถึงเค้าเกรงใจ และกลัวเราเหนื่อยกับการที่ต้องไปรับไปส่งเค้าไปไหนต่อไหนมากมาย
วันนั้นเราได้เคลียร์กันครับ
ประเด็นความอึดอัด ความเบื่อ เราจะเจอกันเฉพาะวันที่เราว่างตรงกันจริงๆ
ประเด็นเรื่องกลัวผมเหนื่อย ผมก็บอกว่าอันนี้เป็นความสุขของผมที่ผมได้ดูแลเค้า
วันไหนที่ผมเหนื่อย ผมจะบอกเอง และให้เค้าเป็นคนขับรถมารับผมบ้าง
ซึ่งก็มีอยู่บ่อยๆเหมือนกันที่ผมขี้เกียจขับรถ และให้เค้ามารับ
หลังจากนั้นอะไรๆก็เหมือนจะดีครับ ช่วงวันแม่ผมก็เห็นเค้าดูร้อนๆรนๆ
แบบเหมือนจะตัดสินใจอะไรซักอย่าง ได้ความว่าอยากกลับบ้านไปหาแม่
ผมก็บอกเอ้าจะรออะไรหละ ทิ้งบัตรประชาชนไว้ เดี๋ยวจัดการให้
ภายในไม่กี่นาที ผมเทียบราคาสายการบินที่ถูกที่สุดและจองตั๋วสำหรับบินวันที่ 12สิงหาคม ทันที
กลับบ้านไปผมก็ได้รู้แหละครับว่านี่คือสิ่งที่เค้าหวงแหน ครอบครัวของเค้า
เรายิ่งมองเห็นมุมดีๆของเค้าเพิ่มมากขึ้นไปอีก
หลังจากกลับมางานเค้าเริ่มเยอะขึ้นครับ งานในที่นี้คือธุรกิจของที่บ้านที่เค้าต้องไปดูแล
ทำให้เราห่างกันมากขึ้น เอ๊ะ หรือตั้งใจห่างกันมากขึ้นอันนี้ก็ไม่แน่ใจ
แต่ยัง Line คุยกันบ่อย ทั้งโทร ทั้ง VDO Call
ความพีคมาสุดๆในเดือนกันยายนครับ
เปิดเดือนมาก็เรื่องใหญ่เลย
วันที่ 5 กันยายน เรานัดกันไปนอน รร.ริมน้ำครับ ฉลองวันเกิดผม
วันที่ 4 กันยายน เค้ารับงานเอน ที่ผับแห่งหนึ่ง ดีลไว้ตี 2
ผมก็ไปรับไปส่งตามระเบียบแหละครับ ตกลงกันว่าจะกลับไปนอนบ้านผม
เนื่องจากใกล้กับสถานที่ที่เค้าทำงานมากกว่า และสะดวกกว่าที่จะไปต่อ
ตี3 Line มาบอกว่าเลท
ตี3ครึ่ง Line มาบอกว่าใกล้ละ
หลังจากนั้นติดต่อไม่ได้เลย โทรไม่รับ Line ไม่ตอบ ใจไม่ดีแล้วสิครับ
ผมโทรหาพี่นายแบบอีกคนว่าอยู่ด้วยกันรึเปล่า พอตอบว่าแยกกันมานานแล้วยิ่งกังวลครับ
ขับรถฝ่าฝนวนไปดูตามเส้นทางต่างๆ กลัวว่าจะไปเป็นอะไรอยู่ที่ไหน กลับมาบ้านตอน 6 โมงเช้า
สภาพผมคือคนที่ไม่ได้นอนแหละครับ จนตัดใจแล้ว Line ไปบอกว่า เป็นห่วงไม่รู้อยู่ไหน ติดต่อมาด้วย
9 โมงเช้า ครับ ติดต่อกลับมาว่าอยุ่คอนโดพี่นายแบบคนที่ผมโทรหา
ผมเลยบอกว่า เราขอความจริง เลยได้รู้ว่าไปต่อคอนโดลูกค้า
โมโหมากครับ เป็นห่วงมากจริงๆ ตั้งสติซักพัก ค่อยให้เค้าแชร์โลเคชั่นมา แล้วก็ไปรับ
ขึ้นรถมาผมบอกเลยว่าอย่าเพิ่งคุยกัน ผมโกรธอยู่ มันไม่เป็นผลดีเท่าไหร่
กลับถึงบ้านก็คือคนเมาแหละครับ จับให้อ้วก กินยา กินวิตามิน นอน
ระหว่างนั้นผมก็ทิ้งเวลาประมาณนึง แล้วก็ลงไปต้มข้าวต้มให้กิน
ให้พอจะฟื้นคืนสติขึ้นมาบ้าง ลากไปอาบน้ำ เพราะแผนที่จองไว้ก็ยังต้องดำเนินต่อ
สรุปวันนั้นผมได้คนขาดสติไปเป็นเพื่อนครับ อวสานวันเกิด
กว่าจะกู้คืนก็มื้อเย็นแหละครับ ระหว่างนั้นก็มีเรื่องราวนิดหน่อย
คือระหว่างที่นอนพักผ่อนกันอยู่เพราะอดนอนทั้งคู่ ผมก็ร้องไห้ออกมา
แล้วบอกเค้าว่า แบบเมื่อคืนไม่เอาอีกแล้วนะ ที่ติดต่อไม่ได้เลย เพราะผมเป็นห่วงมาก
ไม่รู้ที่ทำไปถูกรึเปล่า แต่มันเป็นสิ่งที่ติดในใจจริงๆ และระบายออกมา
และก็ไม่รู้เหมือนกันว่าสำหรับเค้ามันเป็นฟางเส้นสุดท้ายรึเปล่า
ก่อนนอนคืนนั้นผมบอกกับเค้าว่า "เค้าคือของขวัญวันเกิดที่ดีที่สุดของผมในปีนี้เลย"
เช้าวันที่ 6 กันยายน วันเกิดผมครับ
พากันไปกินข้าว เดินไปทำบุญ กลับโรงแรมมาออกกำลังกาย ว่ายน้ำตามปกติ
แล้วก็เช็คเอ้าท์ พาเค้ากลับไปส่งที่บ้าน เพราะผมมีทานข้าวกับที่บ้านตอนเย็น
คืนนั้นเองครับเค้าไปผับแห่งหนึ่งซึ่งโด่งดังในหมู่เก้ง ในช่วงนี้
โดยที่ไม่บอกผมก่อนว่าจะไป ทั้งๆที่ตกลงจะไปด้วยกัน
ในคืนนั้น บุคคลที่3 ก็ปรากฎตัวใน IG Story ของเค้า
ใช่ครับ พิธีกรชื่อดังนั่นแหละ แรกๆก็ไม่คิดอะไร เค้าเป็นคนเพื่อนเยอะ
แต่ช้าแต่
วันที่ 7 กันยายน
ทุกอย่างที่เคยดีเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังเท้าเลยครับ
Line ไปตอบช้ามากกกกกก โทรไม่รับ VDO Call ไม่ได้ อ้างว่างานยุ่ง
แต่ Social ไม่เคยโกหกใครครับ ยังเชคอินลงรูปอยู่ฟิตเนสอยู่เลย
ระหว่างนั้นก็มี Story คู่ขนานกับพิธีกรชื่อดังเป็นระยะๆ
ผ่านจากวันนั้นไปอาทิตย์นึง ไม่ได้เจอกันเลยครับ
โทรไม่รับ Line ไม่ค่อยตอบ จนผมต้องถามว่าสรุปเรายังเป็นเหมือนเดิมรึเปล่า
เค้าตอบมาว่าอยาให้เราถอยคนละก้าว
ผมบอกเลยเรื่องนี้คุยทาง Line ไม่ได้ มันไม่แฟร์กับคู่สนทนา หาเวลามาเจอกันด่วนๆเลย
นัดเจอกันวันจันทร์ถัดไปเลยครับ
ก็ตามสูตร อยากให้เราถอยคนละก้าว ระหว่างนี้ที่เธอเจอใครที่ดีกว่า ก็ไปต่อไป
คืออะไรวะครับ ตลกดี ผมก็เลยมาตีทีละเรื่อง
- ถอยคนละก้าว -
ถามว่ามันต่างจากที่เป็นอยู่ตอนนี้ตรงไหน ผมโคตรให้เกียรติเลยนะ ตั้งแต่วันนั้นที่คุยกัน
ผมก็ให้ Space เค้ามาตลอด แม้ว่าจะน้อยใจบ้าง แต่ก็ยอมรับตามการตัดสินใจของเราทั้งคู่
มันยังไม่พอ หรือเค้าขอเรามากไปครับ
- เจอใครที่ดีกว่า ก็ไปต่อไป -
ผมบอกผมทำไม่ได้ ผมรักใครที่ละคน ทำอย่างงี๊คือนอกใจ ผมไม่ทำ
ถามกลับว่าให้เค้าทำ ทำมั๊ย เค้าก็ตอบว่าไม่ทำ
ยื้อมาได้อีกอาทิตย์ครับ นัดเจอกันวันอาทิตย์
ผมเลยโทรหา 3 ครั้ง เว้นระยะ 20 นาที ไม่รับครับ
ผมเลยตัดสินใจว่าผมยอมแพ้
สองอาทิตย์ที่ผ่านมาเค้าไม่ใช่คนที่ผมรู้จักเลย
เค้าไม่ใช่คนที่ทำให้ผมมีความสุข ทำให้ยิ้ม ทำให้หัวเราะ
ผมไม่มีความสุขเลยครับ รู้สึกสูญเสียคุณค่าในตัวเองไป
เป็นที่มาของการยอมแพ้ ก่อนที่ผมจะเกลียดตัวเองไปมากกว่านี้
ทันทีทันใดเลยครับ คืนนั้นเลยแหละที่เลิกกัน
เหมือนปล่อยผีออกจากหลุม ปล่อยเสือเข้าป่า
ไปเลยครับ ไปกับพิธีกรชื่อดังทันทีเลยครับ
ออกงานด้วยกันบ่อยมาก ลงรูปสลับไปมา
แต่ไม่ลงชัดๆนะครับ คอมเม้นแซะไปมา
โดยมีช่างภาพชื่อดังเป็นตัวชง
ผมควรรู้สึกยังไงหรอครับ โดนสวมเขามาเท่าที่สัมผัสได้ก็ 2 อาทิตย์
ดีที่ไหวตัวออกมาก่อนที่จะเริ่มมีนกน้อยบินมาเกาะที่หัว
ความพีคคือผมยอมแพ้ออกมาก่อนวันครบรอบ 10 วัน ของขวัญทำไว้ให้แล้ว แต่ยังไม่ได้ให้ ตราบาปติดตัวชัดๆ
ในระหว่างนั้นเค้าก็บ่ายเบี่ยงผมไปเรื่อยๆ จนผมต้องหาวันที่เค้าไม่อยู่บ้านแล้วเอาไปไว้ในห้องนอนของเค้า
จากวันนั้นโลกขอกผมก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เหมือนมีเมฆฝนลอยอยู่บนหัวตลอดเวลา
ผมหาทางออกทุกทางทั้ง การ Coaching ที่ทำให้ผมร้องไห้ระบายอย่างเป็นบ้าเป็นหลัง
พบจิตแพทย์ พบนักจิตวิทยา ดูดวง ไหว้พระ สวดมนต์ เป็นเวลา 20 กว่าวันที่ผมร้องไห้ทุกวัน ทุกคืน
ไปทำงานก็หลบไปนั่งร้องไห้ในห้องเงียบๆ น้ำหนักก็ลดลงเรื่อยๆ จนถึงตอนนี้ก็ 16 กิโลแล้วครับ
กลายเป็นหนุ่มหล่อเลยตอนนี้ 555555 (นอกเรื่อง)
ระหว่างช่วงเวลา Deep Down นั้นเรากลายเป็นข่าวซุบซิปในเพจๆหนึ่งครับ
ไม่รู้ได้ข้อมูลมายังไง แต่ก็เป็นข่าวไปแล้ว
ตัวละคร 3 คน มีผมเป็นคนนอกอยู่คนเดียว
สิ่งที่ได้รับกลับมาคือคำถามครับ ว่าผมไปให้ข่าวอะไรรึเปล่า?
ไม่ถงไม่ถามสุขภาพจิตผมซักคำ กระจ่างใจเลยครับทีนี้
ในใจเค้าไม่ได้คิดถึงเราแม้แต่เศษเสี้ยวธุลีนึงเลยด้วยซ้ำ
มาพบทางออกจริงๆคือการไปวิปัสสนาครับ ไม่ได้มาโฆษณาชวนเชื่อครับ
แต่คุณเคยเห็นคนที่ใบหน้ามีเมตตาแผ่ออกมามั๊ยครับ อาจารย์สอนวิปัสสนาผมเป็นแบบนั้น
เจอหน้าท่านปุ๊ปผมร้องไห้ทันทีเลย ระบายทุกสิ่งอย่างออกจากหัวใจ ก่อนที่ท่านจะเริ่มสอน
และวันนั้นเป็นวันสุดท้ายครับที่ผมร้องไห้ จากนั้นไม่มีน้ำตาอีกเลย
มีความคิดถึง แต่มีสติ ที่จะไม่โหยหาจนทุกข์ใจ มองบางเรื่องเป็นเรื่องตลกได้
กลับมาเข้าสังคมเดิมๆได้ 80% แล้วครับ พอผมปฏิบัติแล้วเย็น แล้วสบายใจ
ขั้นต่อไปผมตัดสินใจจะบวชครับ ผมส่ง Line ไปแจ้งข่าวเค้าด้วย
บอกว่าวันไหนที่ผมพร้อมจะให้อภัยก่อนบวช ผมจะบอกไป
ในด้านจิตวิทยา
ผมเข้าบำบัดไปแล้ว 3 ครั้ง มีพัฒนาการดีขึ้นอย่างก้าวกระโดด
ครั้งที่1 ผมไปด้วยความสูญเสีย ความเศร้าหมอง
ครั้งที่2 ผมไปด้วยความเศร้าหมอง ความโกรธ ความแค้น
ครั้งที่3 ผมไปด้วยเหตุผล และสติ ไม่มีน้ำตาซักหยด ยิ้มได้ หัวเราะได้
ครั้งหน้าถ้าไม่มีอะไรมากระทบจิตใจ จะเป็นการยุติการบำบัดแล้วครับ
นักจิตวิทยาบอกว่า ผมโชคดีที่ผมรักตัวเอง มากกว่ารักเค้า
เลยทำให้ตัวเองพยายามทุกหนทางในการก้าวผ่านช่วงเวลานี้ไป
จากที่ประเมินไว้ว่า 3 เดือน กลายเป็น 1 เดือนผมกลับมาแทบจะปกติ
เพิ่มเติมครับ
ระหว่างที่อยู่กับผมเค้าไม่มีเวลาครับ
หลังจากเลิกกัน ไปเชียงใหม่กับพิธีกรชื่อดัง มา 2 อาทิตย์ติดแล้วครับ ตลกดี
ไปทานอาหารด้วยกันไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง
ก็ขอให้ไปได้ดีละกันครับ กับทางที่เลือกเดิน ทางที่เหยียบลงบนใจของคนหนึ่งคน
นี่แหละครับประสบการณ์ที่นำมาแบ่งปัน
ตอนนี้อย่างที่บอกว่าผมเกือบปกติแล้วครับ 80% แล้ว
เผื่อใจไว้ในสิ่งที่ไม่อาจคาดเดาอีก 20%
ย้ำอีกครั้งแชร์ประสบการณ์นะครับ ไม่ใช่ให้ไปล่าแม่มด
ปล่อยเค้าไปตามทางที่เค้าเลือกเดินครับ
เมื่อแฟนหนุ่มนายแบบบอกเลิก ไปคั่วกับพิธีกรคนดัง
ผมกับแฟนเก่า เป็นคู่รักชายรักชายครับ
ผมก็เป็นผู้ชายทั่วไป หน้าตาดี หน้าที่การงานดี
แฟนผมเป็นนายแบบครับ รูปร่างหน้าตา ไม่ต้องพูดถึง
เริ่มต้นคบกันยังไงหรอครับ ผม Direct IG ไปหาเค้า ไม่รู้ผีตัวไหนเข้าสิง ดลจิตดลใจให้ทำอะไรแบบนั้น
คุยกันไปกันมาระยะหนึ่ง เรียกว่าเต๊าะจะเหมาะกว่าครับ ทีเล่นทีจริงไปเรื่อยเปื่อย
จนวันนึงนัดเจอกัน ที่โรงแรมหรูแห่งหนึ่งย่านวิทยุครับ ก็ไม่นึกว่าจะมา แต่ก็มาครับ (เหตุการณ์ต่อจากนี้แล้วแต่จินตนาการ)
วันรุ่งขึ้นก็เริ่มคุยกันจริงจังมากขึ้น มีการแลก Line แลก เบอร์โทร
และตกลงว่าจะคุยกันแบบค่อยเป็นค่อยไป เป็นเพื่อนห่วงใย พัฒนาความสัมพันธ์
ถ้าวันไหนมันไม่เวิร์ค ก็กลับมาเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม
ตกลงกันเสร็จสรรพ ก็เริ่มต้นคุยกันมาตั้งแต่นั้น
จากนั้นไม่นานก็เริ่มไปไหนมาไหนด้วยกันแบบออกหน้าออกตา
ยังจำวันแรกที่เดิน CTW ด้วยกันได้อยู่เลยครับ ชาวเก้งทั้ง CTW มองมาเป็นสายตาเดียว
ไอ้เราก็ยืดอกภูมิใจสิครับ หารู้ไม่ความที่เค้ามีคนรู้จักเยอะเนี่ยแหละ คือปัญหาในความสัมพันธ์ในระยะยาว
ช่วงแรกหวานหยดย้อยเลยครับเรียกได้ว่าตัวติดกันแบบแยกกันไม่ออก
ขับรถไปหาทุกวัน แค่พาเค้าไปฟิตเนส ไปทานข้าวเล็กๆน้อยๆ วันละ 2-3 ชั่วโมง
กลับบ้านมาก็โทรคุย VDO Call บอกนอนฝันดี บอกตรงๆว่าดีต่อหัวใจดวงน้อยๆเหลือเกิน
ระหว่างที่เราคบกันต้องบอกเลยนะครับ ว่าไม่มีการออกสื่อใดๆ มีแต่ผมที่ลง Social ของผม
แต่ก็จะ Tag ในวิธีที่มันจะไม่ไปขึ้นใน Feed ของเค้า เพราะผมเป็นห่วงเรื่องงานของเค้าจะได้รับผลกระทบ
แต่มีการเข้านอกออกในบ้าน ครอบครัว เพื่อนฝูง รับรู้การมีตัวตนของเรา
ปัญหาแรกที่เข้ามาคือการที่เค้าเป็นนายแบบเนี่ยแหละครับ
การรับงานเอนเป็นเรื่องปกติมาก งานแรกวันเกิดดีลไว้ถึงเที่ยงคืน
ผมก็ไปรับไปส่ง ด้วยความเป็นห่วงแหละครับ เค้าก็บอกไม่ต้องเป็นห่วง เค้ารู้ลิมิตตัวเองดี
ก็เข้าใจแหละครับ ก่อนที่คบกันเค้าผ่านเรื่องราวเหล่านี้มานับไม่ถ้วนแล้วแหละ เขี้ยวเล็บน่าจะพอสมควร
สรุปคืนนั้น จากเที่ยงคืน เลทเป็นตีสอง ผมนั่งรอรับในรถ ลงมานี่อย่างหมาเลยครับ
แบกกลับบ้านตามระเบียบ
หลังจากนั้นก็มีมาเรื่อยๆแหละครับ ถ้าผมไม่ติดงานอะไรก็พยายามไปรับไปส่ง
เพราะเสร็จงานแต่ละครั้งก็สติไม่ค่อยจะสมประกอบ เลยไม่อยากให้ไปคนเดียว
ระหว่างทางความสัมพันธ์ของเราก็พัฒนามาเรื่อยๆตามลำดับแหละครับ
จนมาวันนึง เค้าเริ่มบอกผมว่า "เราอย่าเจอกันบ่อยได้ไหม เค้ากลัวว่าจะเบื่อผม"
อ้าวยังไงหละทีนี้ ความคิดแตกออกเป็นสามทางละ
1. เค้าคิดอย่างนั้นจริงๆ
2. เค้าเกรงใจเรา ที่เราไปรับไปส่งในทุกที่
3. เค้าเริ่มตีตัวออกห่าง
คิดหนักอยุ่หลายวันครับสุดท้ายก็ถามออกไปว่ามันหมายความว่าอย่างไร
สิ่งที่ได้รับกลับมาเป็นคำตอบคือ...
เค้าชินกับการอยู่คนเดียว เพราะไม่ได้มีแฟนมานานมาก เค้ากลัวเค้าจะอึดอัดและเบื่อเรา
รวมถึงเค้าเกรงใจ และกลัวเราเหนื่อยกับการที่ต้องไปรับไปส่งเค้าไปไหนต่อไหนมากมาย
วันนั้นเราได้เคลียร์กันครับ
ประเด็นความอึดอัด ความเบื่อ เราจะเจอกันเฉพาะวันที่เราว่างตรงกันจริงๆ
ประเด็นเรื่องกลัวผมเหนื่อย ผมก็บอกว่าอันนี้เป็นความสุขของผมที่ผมได้ดูแลเค้า
วันไหนที่ผมเหนื่อย ผมจะบอกเอง และให้เค้าเป็นคนขับรถมารับผมบ้าง
ซึ่งก็มีอยู่บ่อยๆเหมือนกันที่ผมขี้เกียจขับรถ และให้เค้ามารับ
หลังจากนั้นอะไรๆก็เหมือนจะดีครับ ช่วงวันแม่ผมก็เห็นเค้าดูร้อนๆรนๆ
แบบเหมือนจะตัดสินใจอะไรซักอย่าง ได้ความว่าอยากกลับบ้านไปหาแม่
ผมก็บอกเอ้าจะรออะไรหละ ทิ้งบัตรประชาชนไว้ เดี๋ยวจัดการให้
ภายในไม่กี่นาที ผมเทียบราคาสายการบินที่ถูกที่สุดและจองตั๋วสำหรับบินวันที่ 12สิงหาคม ทันที
กลับบ้านไปผมก็ได้รู้แหละครับว่านี่คือสิ่งที่เค้าหวงแหน ครอบครัวของเค้า
เรายิ่งมองเห็นมุมดีๆของเค้าเพิ่มมากขึ้นไปอีก
หลังจากกลับมางานเค้าเริ่มเยอะขึ้นครับ งานในที่นี้คือธุรกิจของที่บ้านที่เค้าต้องไปดูแล
ทำให้เราห่างกันมากขึ้น เอ๊ะ หรือตั้งใจห่างกันมากขึ้นอันนี้ก็ไม่แน่ใจ
แต่ยัง Line คุยกันบ่อย ทั้งโทร ทั้ง VDO Call
ความพีคมาสุดๆในเดือนกันยายนครับ
เปิดเดือนมาก็เรื่องใหญ่เลย
วันที่ 5 กันยายน เรานัดกันไปนอน รร.ริมน้ำครับ ฉลองวันเกิดผม
วันที่ 4 กันยายน เค้ารับงานเอน ที่ผับแห่งหนึ่ง ดีลไว้ตี 2
ผมก็ไปรับไปส่งตามระเบียบแหละครับ ตกลงกันว่าจะกลับไปนอนบ้านผม
เนื่องจากใกล้กับสถานที่ที่เค้าทำงานมากกว่า และสะดวกกว่าที่จะไปต่อ
ตี3 Line มาบอกว่าเลท
ตี3ครึ่ง Line มาบอกว่าใกล้ละ
หลังจากนั้นติดต่อไม่ได้เลย โทรไม่รับ Line ไม่ตอบ ใจไม่ดีแล้วสิครับ
ผมโทรหาพี่นายแบบอีกคนว่าอยู่ด้วยกันรึเปล่า พอตอบว่าแยกกันมานานแล้วยิ่งกังวลครับ
ขับรถฝ่าฝนวนไปดูตามเส้นทางต่างๆ กลัวว่าจะไปเป็นอะไรอยู่ที่ไหน กลับมาบ้านตอน 6 โมงเช้า
สภาพผมคือคนที่ไม่ได้นอนแหละครับ จนตัดใจแล้ว Line ไปบอกว่า เป็นห่วงไม่รู้อยู่ไหน ติดต่อมาด้วย
9 โมงเช้า ครับ ติดต่อกลับมาว่าอยุ่คอนโดพี่นายแบบคนที่ผมโทรหา
ผมเลยบอกว่า เราขอความจริง เลยได้รู้ว่าไปต่อคอนโดลูกค้า
โมโหมากครับ เป็นห่วงมากจริงๆ ตั้งสติซักพัก ค่อยให้เค้าแชร์โลเคชั่นมา แล้วก็ไปรับ
ขึ้นรถมาผมบอกเลยว่าอย่าเพิ่งคุยกัน ผมโกรธอยู่ มันไม่เป็นผลดีเท่าไหร่
กลับถึงบ้านก็คือคนเมาแหละครับ จับให้อ้วก กินยา กินวิตามิน นอน
ระหว่างนั้นผมก็ทิ้งเวลาประมาณนึง แล้วก็ลงไปต้มข้าวต้มให้กิน
ให้พอจะฟื้นคืนสติขึ้นมาบ้าง ลากไปอาบน้ำ เพราะแผนที่จองไว้ก็ยังต้องดำเนินต่อ
สรุปวันนั้นผมได้คนขาดสติไปเป็นเพื่อนครับ อวสานวันเกิด
กว่าจะกู้คืนก็มื้อเย็นแหละครับ ระหว่างนั้นก็มีเรื่องราวนิดหน่อย
คือระหว่างที่นอนพักผ่อนกันอยู่เพราะอดนอนทั้งคู่ ผมก็ร้องไห้ออกมา
แล้วบอกเค้าว่า แบบเมื่อคืนไม่เอาอีกแล้วนะ ที่ติดต่อไม่ได้เลย เพราะผมเป็นห่วงมาก
ไม่รู้ที่ทำไปถูกรึเปล่า แต่มันเป็นสิ่งที่ติดในใจจริงๆ และระบายออกมา
และก็ไม่รู้เหมือนกันว่าสำหรับเค้ามันเป็นฟางเส้นสุดท้ายรึเปล่า
ก่อนนอนคืนนั้นผมบอกกับเค้าว่า "เค้าคือของขวัญวันเกิดที่ดีที่สุดของผมในปีนี้เลย"
เช้าวันที่ 6 กันยายน วันเกิดผมครับ
พากันไปกินข้าว เดินไปทำบุญ กลับโรงแรมมาออกกำลังกาย ว่ายน้ำตามปกติ
แล้วก็เช็คเอ้าท์ พาเค้ากลับไปส่งที่บ้าน เพราะผมมีทานข้าวกับที่บ้านตอนเย็น
คืนนั้นเองครับเค้าไปผับแห่งหนึ่งซึ่งโด่งดังในหมู่เก้ง ในช่วงนี้
โดยที่ไม่บอกผมก่อนว่าจะไป ทั้งๆที่ตกลงจะไปด้วยกัน
ในคืนนั้น บุคคลที่3 ก็ปรากฎตัวใน IG Story ของเค้า
ใช่ครับ พิธีกรชื่อดังนั่นแหละ แรกๆก็ไม่คิดอะไร เค้าเป็นคนเพื่อนเยอะ
แต่ช้าแต่
วันที่ 7 กันยายน
ทุกอย่างที่เคยดีเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังเท้าเลยครับ
Line ไปตอบช้ามากกกกกก โทรไม่รับ VDO Call ไม่ได้ อ้างว่างานยุ่ง
แต่ Social ไม่เคยโกหกใครครับ ยังเชคอินลงรูปอยู่ฟิตเนสอยู่เลย
ระหว่างนั้นก็มี Story คู่ขนานกับพิธีกรชื่อดังเป็นระยะๆ
ผ่านจากวันนั้นไปอาทิตย์นึง ไม่ได้เจอกันเลยครับ
โทรไม่รับ Line ไม่ค่อยตอบ จนผมต้องถามว่าสรุปเรายังเป็นเหมือนเดิมรึเปล่า
เค้าตอบมาว่าอยาให้เราถอยคนละก้าว
ผมบอกเลยเรื่องนี้คุยทาง Line ไม่ได้ มันไม่แฟร์กับคู่สนทนา หาเวลามาเจอกันด่วนๆเลย
นัดเจอกันวันจันทร์ถัดไปเลยครับ
ก็ตามสูตร อยากให้เราถอยคนละก้าว ระหว่างนี้ที่เธอเจอใครที่ดีกว่า ก็ไปต่อไป
คืออะไรวะครับ ตลกดี ผมก็เลยมาตีทีละเรื่อง
- ถอยคนละก้าว -
ถามว่ามันต่างจากที่เป็นอยู่ตอนนี้ตรงไหน ผมโคตรให้เกียรติเลยนะ ตั้งแต่วันนั้นที่คุยกัน
ผมก็ให้ Space เค้ามาตลอด แม้ว่าจะน้อยใจบ้าง แต่ก็ยอมรับตามการตัดสินใจของเราทั้งคู่
มันยังไม่พอ หรือเค้าขอเรามากไปครับ
- เจอใครที่ดีกว่า ก็ไปต่อไป -
ผมบอกผมทำไม่ได้ ผมรักใครที่ละคน ทำอย่างงี๊คือนอกใจ ผมไม่ทำ
ถามกลับว่าให้เค้าทำ ทำมั๊ย เค้าก็ตอบว่าไม่ทำ
ยื้อมาได้อีกอาทิตย์ครับ นัดเจอกันวันอาทิตย์
ผมเลยโทรหา 3 ครั้ง เว้นระยะ 20 นาที ไม่รับครับ
ผมเลยตัดสินใจว่าผมยอมแพ้
สองอาทิตย์ที่ผ่านมาเค้าไม่ใช่คนที่ผมรู้จักเลย
เค้าไม่ใช่คนที่ทำให้ผมมีความสุข ทำให้ยิ้ม ทำให้หัวเราะ
ผมไม่มีความสุขเลยครับ รู้สึกสูญเสียคุณค่าในตัวเองไป
เป็นที่มาของการยอมแพ้ ก่อนที่ผมจะเกลียดตัวเองไปมากกว่านี้
ทันทีทันใดเลยครับ คืนนั้นเลยแหละที่เลิกกัน
เหมือนปล่อยผีออกจากหลุม ปล่อยเสือเข้าป่า
ไปเลยครับ ไปกับพิธีกรชื่อดังทันทีเลยครับ
ออกงานด้วยกันบ่อยมาก ลงรูปสลับไปมา
แต่ไม่ลงชัดๆนะครับ คอมเม้นแซะไปมา
โดยมีช่างภาพชื่อดังเป็นตัวชง
ผมควรรู้สึกยังไงหรอครับ โดนสวมเขามาเท่าที่สัมผัสได้ก็ 2 อาทิตย์
ดีที่ไหวตัวออกมาก่อนที่จะเริ่มมีนกน้อยบินมาเกาะที่หัว
ความพีคคือผมยอมแพ้ออกมาก่อนวันครบรอบ 10 วัน ของขวัญทำไว้ให้แล้ว แต่ยังไม่ได้ให้ ตราบาปติดตัวชัดๆ
ในระหว่างนั้นเค้าก็บ่ายเบี่ยงผมไปเรื่อยๆ จนผมต้องหาวันที่เค้าไม่อยู่บ้านแล้วเอาไปไว้ในห้องนอนของเค้า
จากวันนั้นโลกขอกผมก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เหมือนมีเมฆฝนลอยอยู่บนหัวตลอดเวลา
ผมหาทางออกทุกทางทั้ง การ Coaching ที่ทำให้ผมร้องไห้ระบายอย่างเป็นบ้าเป็นหลัง
พบจิตแพทย์ พบนักจิตวิทยา ดูดวง ไหว้พระ สวดมนต์ เป็นเวลา 20 กว่าวันที่ผมร้องไห้ทุกวัน ทุกคืน
ไปทำงานก็หลบไปนั่งร้องไห้ในห้องเงียบๆ น้ำหนักก็ลดลงเรื่อยๆ จนถึงตอนนี้ก็ 16 กิโลแล้วครับ
กลายเป็นหนุ่มหล่อเลยตอนนี้ 555555 (นอกเรื่อง)
ระหว่างช่วงเวลา Deep Down นั้นเรากลายเป็นข่าวซุบซิปในเพจๆหนึ่งครับ
ไม่รู้ได้ข้อมูลมายังไง แต่ก็เป็นข่าวไปแล้ว
ตัวละคร 3 คน มีผมเป็นคนนอกอยู่คนเดียว
สิ่งที่ได้รับกลับมาคือคำถามครับ ว่าผมไปให้ข่าวอะไรรึเปล่า?
ไม่ถงไม่ถามสุขภาพจิตผมซักคำ กระจ่างใจเลยครับทีนี้
ในใจเค้าไม่ได้คิดถึงเราแม้แต่เศษเสี้ยวธุลีนึงเลยด้วยซ้ำ
มาพบทางออกจริงๆคือการไปวิปัสสนาครับ ไม่ได้มาโฆษณาชวนเชื่อครับ
แต่คุณเคยเห็นคนที่ใบหน้ามีเมตตาแผ่ออกมามั๊ยครับ อาจารย์สอนวิปัสสนาผมเป็นแบบนั้น
เจอหน้าท่านปุ๊ปผมร้องไห้ทันทีเลย ระบายทุกสิ่งอย่างออกจากหัวใจ ก่อนที่ท่านจะเริ่มสอน
และวันนั้นเป็นวันสุดท้ายครับที่ผมร้องไห้ จากนั้นไม่มีน้ำตาอีกเลย
มีความคิดถึง แต่มีสติ ที่จะไม่โหยหาจนทุกข์ใจ มองบางเรื่องเป็นเรื่องตลกได้
กลับมาเข้าสังคมเดิมๆได้ 80% แล้วครับ พอผมปฏิบัติแล้วเย็น แล้วสบายใจ
ขั้นต่อไปผมตัดสินใจจะบวชครับ ผมส่ง Line ไปแจ้งข่าวเค้าด้วย
บอกว่าวันไหนที่ผมพร้อมจะให้อภัยก่อนบวช ผมจะบอกไป
ในด้านจิตวิทยา
ผมเข้าบำบัดไปแล้ว 3 ครั้ง มีพัฒนาการดีขึ้นอย่างก้าวกระโดด
ครั้งที่1 ผมไปด้วยความสูญเสีย ความเศร้าหมอง
ครั้งที่2 ผมไปด้วยความเศร้าหมอง ความโกรธ ความแค้น
ครั้งที่3 ผมไปด้วยเหตุผล และสติ ไม่มีน้ำตาซักหยด ยิ้มได้ หัวเราะได้
ครั้งหน้าถ้าไม่มีอะไรมากระทบจิตใจ จะเป็นการยุติการบำบัดแล้วครับ
นักจิตวิทยาบอกว่า ผมโชคดีที่ผมรักตัวเอง มากกว่ารักเค้า
เลยทำให้ตัวเองพยายามทุกหนทางในการก้าวผ่านช่วงเวลานี้ไป
จากที่ประเมินไว้ว่า 3 เดือน กลายเป็น 1 เดือนผมกลับมาแทบจะปกติ
เพิ่มเติมครับ
ระหว่างที่อยู่กับผมเค้าไม่มีเวลาครับ
หลังจากเลิกกัน ไปเชียงใหม่กับพิธีกรชื่อดัง มา 2 อาทิตย์ติดแล้วครับ ตลกดี
ไปทานอาหารด้วยกันไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง
ก็ขอให้ไปได้ดีละกันครับ กับทางที่เลือกเดิน ทางที่เหยียบลงบนใจของคนหนึ่งคน
นี่แหละครับประสบการณ์ที่นำมาแบ่งปัน
ตอนนี้อย่างที่บอกว่าผมเกือบปกติแล้วครับ 80% แล้ว
เผื่อใจไว้ในสิ่งที่ไม่อาจคาดเดาอีก 20%
ย้ำอีกครั้งแชร์ประสบการณ์นะครับ ไม่ใช่ให้ไปล่าแม่มด
ปล่อยเค้าไปตามทางที่เค้าเลือกเดินครับ